บทที่ 99 ลวงหลอกซ้อนหลอกลวง
หนิงเทียนนั้นคิดถึงสาเหตุนี้มานานแล้วแต่มันกำลังชั่งใจอยู่ว่า ด้วยพลังของม้วนภาพเทพยุทธ์ในภาพพยัคฆ์ทมิฬกลืนจันทราที่มีคุณสมบัติในการกลั่นและขยายทะเลลมปราณออกนั้น
จะสามารถใช้มันกลั่นความบริสุทธิ์ของลมปราณในหยกนิลได้หรือไม่
ถ้าเป็นยามปกติแน่นอนว่าหนิงเทียนจะต้องลองเสี่ยงให้รู้ชัดไปแล้วว่าตัวมันสามารถทำเช่นนั้นได้หรือไม่ แต่สถานการณ์ตอนนี้นั้นต่างออกไป ถ้ามันตัดสินใจดูดซับหยกนิลแล้วเกิดผิดพลาดขึ้นมา
มันไม่รู้ว่าจะมีผลกระทบใดต่อกระบวนการเติมเต็มตะวันทั้งแปดในร่างของมันหรือไม่
สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด มันอาจจะต้องทนเป็นคนพิการลมปราณเพิ่มไปอีกเป็นเดือนๆ ด้วยเหตุนี้เองมันจึงไม่กล้าตัดสินใจที่จะดูดซับพลังจากหยกนิล
ครั้งนี้ก็เช่นกันมันได้แต่คิดและหยิบหยกนิลออกมาพิจารณาก่อนจะเก็บมันเข้าแหวนมิติดังเดิม
เช้าวันรุ่งขึ้น หนิงเทียนและมู่เสวี่ยเก็บข้าวของและเตรียมตัวออกเดินทาง พวกมันทั้งสองเดินออกมานอกเมือง เพื่อจะรอรถม้าที่เชียนเชียนได้จัดหาไว้ให้
จากกำหนดการที่มันได้ฟังมานั้น ระยะทางระหว่างเมืองฉางผิงไปประตูมิติเย่อู่เหมิน ใช้เวลาราวๆ 6ชั่วยาม นั้นก็เท่ากับว่าพวกมันทั้งคู่จะไปถึงในยามค่ำพอดี
ระหว่างการเดินทางตลอด6ชั่วยามนั้นหนิงเทียนและมู่เสวี่ยทั้งคู่ไม่ได้ปล่อยเวลาให้สูญเปล่าเลยแม้แต่น้อย พวกมันทั้งคู่ปิดตาทำสมาธิบ่มเพาะพลังกันทุกช่วงลมหายใจ
เมื่อแสงของตะวันใกล้จะหมดลงมันเป็นสัญญาณบ่งบอกให้รู้กลายๆว่าพวกมันกำลังจะถึงประตูเย่อู่เหมินแล้ว ทั้งสองเปิดตาขึ้นและจับจ้องไปยังทิวทัศน์รอบข้างทันที
เวลานี้สายตาของทั้งคู่มองไปยังหอคอยเหล็กคู่ที่สูงจนเกือบจะแตะก้อนเมฆได้และยิ่งเข้าใกล้มากเพียงใดความใหญ่โตของมันยิ่งประจักษ์แก่สายตามากขึ้นตามไปด้วย
หนิงเทียนเห็นเช่นนั้นมันอดตกตะลึงไม่ได้ เห็นได้ชัดเลยว่าหอคอยเหล็กนั้นเกิดจากฝีมือของมนุษย์ พวกมันจะต้องมีความก้าวหน้าล้ำลึกในทักษะการก่อสร้างเพียงใดถึงจะสร้างหอคอยที่สูงเสียดฟ้าเช่นนี้ได้
ยิ่งเข้าใกล้ประตูเย่อู่เหมินเพียงใดมันคล้ายกับว่าทั้งคู่กำลังก้าวเข้าสู่โลกใบใหม่ ที่มันคิดเช่นนั้นก็ไม่แปลก
เพราะว่าประตูมิติเย่อู่เหมินนั้นเป็นสถานที่ปกครองของอาณาจักรฟ้าสวรรค์ เพียงแห่งเดียวที่ได้ตั้งอยู่ภายในดินแดนรอบนอกนี้ ทั้งคู่อดคิดไม่ได้ว่าภายในอาณาจักรฟ้าสวรรค์นั้นจะมีความเจริญรุ่งเรืองมากถึงเพียงใด
ระหว่างทางทหารในชุดเกราะปรากฎอยู่เป็นกลุ่มก้อนอย่างไม่ขาดสาย เพียงแค่มองด้วยสายตาหนิงเทียนสามารถบอกได้เลยว่าพวกมันมีพลังในระดับวีรชนกันหมดทุกคน
ผู้ฝึกตนที่เข้าถึงดินแดนวีรชนได้นั้นนับว่าเป็นตัวตนระดับสูงในดินแดนรอบนอกแม้แต่ในเมืองใหญ่ทั้งสามยังบูชาพวกมันประดุจเทพเซียน แต่สำหรับผู้คนในอาณาจักรฟ้าสวรรค์นั้นระดับวีรชนเป็นได้เพียงแค่ทหารยามทั่วไปเท่านั้น
เมื่อรถม้าของหนิงเทียนวิ่งข้ามผ่านหอคอยเหล็กคู่ที่ตั้งตระหง่านคล้ายกับว่ามันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นจุดกำหนดเขตแดน
“หยุด” เสียงของทหารผู้คุมหอคอยดังขึ้นมา จากนั้นมันกล่าวต่อ “ตั้งแต่หอคอยคู่เป็นต้นไปนับเป็นเขตแดนของประตูเย่อู่เหมิน เจ้าไม่สามารถใช้พาหนะในการเดินทางได้ และไม่อนุญาตให้ใครหน้าไหนชักอาวุธออกจากฝักเด็ดขาด”
ได้ยินเช่นนั้นหนิงเทียนและมู่เสวี่ยกระโดดลงจากรถม้าทันที พวกมันทั้งสองเปลี่ยนเป็นเดินเท้าเข้าไปตามคำสั่งของทหารนายนั้น
เมื่อพวกมันก้าวข้ามหอคอยคู่นั้นมา หนิงเทียนต้องพบกับสิ่งก่อสร้างต่างๆมากมายเช่น โรงเตี๊ยม ร้านตีเหล็ก เหลาอาหาร รวมถึงร้านค้าต่างๆ
แม้ว่าพื้นที่ของมันจะไม่กว้างขวางเท่ากับเมืองฉางผิงแต่การจัดสรรนั้นเป็นระเบียบและดูสบายตาเป็นอย่างยิ่ง ความแออัดของผู้คนนั้นไม่มีให้เห็นแม้แต่น้อย หนิงเทียนและมู่เสวี่ยเดินตรงเข้าไปยังส่วนในสุดซึ่งเป็นที่ตั้งของประตูมิติ
ตลอดระยะเวลานับพันปีมานี้ ที่ดินแดนรอบนอกนั้นเป็นเขตปกครองของสามเมืองใหญ่ จี้ ฉางและไห่ อย่างมั่นคงเป็นเพราะว่าพวกมันถูกแต่งตั้งโดยราชวงศ์เย่
ด้วยเพียงแค่ชื่อเสียงของราชวงศ์เย่ ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ศัตรูที่คิดจะรุกรานเมืองจี้ ฉางและไห่ ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่
ไม่เช่นนั้นแล้วด้วยระดับพลังเฉลี่ยของผู้คนในสามเมืองใหญ่ที่เป็นแค่เพียงดินแดนแห่งปราชญ์ เกรงว่าสามเมืองใหญ่นั้นจะไม่สามารถเอาตัวรอดมาจากกลียุคที่ใครๆก็ต้องการเป็นเจ้าของแผ่นแดนได้อย่างแน่นอน
ด้วยเหตุนี้เอง ทุกคนในดินแดนรอบนอกจึงเคารพผู้คนที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรฟ้าสวรรค์เป็นอย่างมาก และในเขตของประตูมิติเย่อู่เหมินจึงได้รับความสำคัญเป็นอย่างดีมันถึงกับได้รับ คำกล่าวขานว่าเป็น พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์
“พี่ชายทั้งสอง กำลังจะเดินทางไปที่ใดกันหรือ?” ขณะที่หนิงเทียนและมู่เสวี่ยกำลังกวาดสายตาสำรวจรอบๆอยู่นั้น บุรุษร่างผอมถือพัดจีบขาว เดินเข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
หนิงเทียนจ้องมองไปยังผู้ที่มาทักทาย ขณะที่บุรุษผู้นั้นโบกสะบัดพัดในมือจนเกิดเป็นลมเย็นออกมา ด้วยท่าทีและรอยยิ้มที่เป็นมิตรนั้นเหมือนกับว่ามันกำลังทักทายสหายเก่า
“พี่ชายทั้งคู่ ดูเหมือว่าพวกเจ้าพึ่งจะเคยมาที่ประตูเย่อู่เหมินใช่หรือไม่? พวกเจ้าไม่ต้องกังวลใจไป ประตูเย่อู่เหมินนี้แม้จะมีชื่อเสียงว่าเคร่งขัดกับคนภายนอกมากก็ตาม
แต่ถ้าพวกเจ้าไม่รังเกียจ ให้น้องชายผู้นี้เป็นธุระจัดการให้เอง จากราคาเดิมที่พวกเจ้าต้องจ่ายมันในราคาสำหรับ2คนก็คือ1000หยกนิลแต่น้องชายผู้นี้ขอเพียง800หยกนิล เท่านั้น
รับรองได้เลยว่าพวกเจ้าทั้งสองสามารถเดินทางไปได้ภายในวันนี้แน่นอน”
หนิงเทียนเอียงคอเล็กน้อย ‘ดูเหมือนว่าอาชีพนายหน้านั้นจะยังเป็นที่นิยมไม่ว่ายุคไหนหรือโลกใดก็ตาม’ เมื่อคิดเช่นนี้มันอดยิ้มออกมาไม่ได้ จากนั้นมันกล่าวต่อ “พี่ชายหรือว่าท่านจะเป็นผู้คนที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรฟ้าสวรรค์”
“ถูกต้องแล้ว พี่ชายท่านนี้เป็นผู้ที่มีสายตาหลักแหลมเป็นอย่างยิ่ง ข้านั้นเป็นศิษย์สายนอกของสำนักโอสถฟ้าเท่านั้น”มันแนะนำตัวเองอย่างลวกๆพร้อมกล่าวต่อ
“โหงวเฮ้งของพี่ชายทั้งสองดูแล้วคงจะเป็นผู้ลากมากดีจากตระกูลชั้นสูงในดินแดนรอบนอกแน่ๆ ดูสิเส้นบารมีของพี่ชายท่านนี้เด่นชัดมากๆ บนใบหน้าของเจ้าบ่งบอกชัดเจนว่ากำลังพบโชควาสนา
ใช่ๆแล้ว มันต้องเป็นเพราะพี่ชายได้มาพบกับข้าแน่ๆนอน” บุรุษร่างผอมผู้นี้กล่าวออกอย่างรวดเร็วมันไม่เว้นแม้แต่ช่องวางให้ตัวเองหายใจเลยแม้แต่น้อย
หนิงเทียนแอบหัวเราะอยู่ในใจก่อนจะกล่าวถามออกมาเป็นมารยาท“พี่ชายท่านนี้มีสายตาที่หลักแหลมจริงๆเป็นเกียรติแล้วที่ข้าได้พบกับท่านในวันนี้ ไม่ทราบว่าให้น้องชายได้ทราบนามสูงส่งของท่านได้หรือไม่?”
“ข้าแซ่ไป๋ ชื่อคำเดียวว่า ซัว ถ้าพี่ชายไม่รังเกียจโปรดเรียกข้าว่า น้องไป๋เถอะว่าแต่พี่ชายเจ้าตัดสินใจเกี่ยวกับข้อเสนอของข้าได้หรือยัง ถ้ามันยังดูแพงอยู่ข้าสามารถลดให้เจ้าเหลือเพียง750หยกนิลได้”
แม้ว่าคำพูดของไป๋ซัวจะเต็มไปด้วยวาทศิลป์น่าฟังก็ตาม แต่หนิงเทียนรับรู้ได้เลยว่า ที่ไป๋ซัวกล่าวออกมาเช่นนี้เป็นเพราะมันมีบางอย่างแอบแฝงอยู่ มันไม่ได้ให้ความสนใจแม้แต่จะกล่าวถามชื่อของหนิงเทียนและมู่เสวี่ยเลยด้วยซ้ำ
“พี่ชาย 750หยกนิลสำหรับพวกเรานั้นนับว่าเป็นจำนวนมหาศาลแม้แต่คลังสมบัติของตระกูลข้ายังไม่ได้มีทรัพย์สินมากมายถึงเพียงนั้น” หนิงเทียนแสร้งกล่าวออกด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
ไป๋ซัวยกมือตบไปที่หน้าผากตัวเอง พร้อมระบายลมหายใจออกเสียงดัง “เฮ้อ...ไม่เป็นไรถ้าพี่ชายไม่ได้มีหยกนิลมากมาย เอาเช่นนี้เป็นอย่างไร
ด้านหน้านี้ข้าเห็นกลุ่มของสำนักตู่กัว ได้เปิดโต๊ะเดิมพันอยู่ ด้วยดวงชะตาของท่านแล้วข้าเชื่อว่าแค่เงินลงทุนเพียง50หยกนิลท่านสามารถนำไปแลกเป็น500หยกนิลจากสำนักตู่กัวได้แน่นอน” ไป๋ซัวยกยิ้มขึ้นมาพร้อมพายมือออกไปด้านหน้าในลักษณะเชิญชวน
ได้ยินเช่นนั้นหนิงเทียนอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มขึ้นมา ในที่สุดหางของเจ้าก็โผล่ออกมาเสียที...ดี ข้าเองก็ต้องการรู้เช่นกันว่านักต้มตุ่นในโลกนี้จะมีวิธีการอย่างไร มันจึงเปล่งเสียงตอบไป๋ซัวทันที
“จริงๆหรอพี่ชาย ท่านแน่ใจใช่ไหมว่าข้าเป็นผู้มีวาสนาและโชคของข้าดีมากในวันนี้จริงๆ”
“แน่นอน เส้นโชคชะตาของเจ้านั้นลากยาวถึงเพียงนี้ไม่มีทางที่ฟ้าจะกลั่นแกล้งคนดีอย่างพี่ชายแน่นนอน”ไป๋ซัวกล่าวออกด้วยรอยยิ้มที่ฉีกจนเกือบถึงหู ไม่รู้ว่าคนพวกนี้เป็นเหยื่อรายที่เท่าไรของมันในวันนี้
แต่ทุกครั้งที่มันตกเหยื่อได้รอยยิ้มที่ภาคภูมิใจจะปรากฎออกมาอย่างไม่สามารถยับยั้งมันได้
“ดี เมื่อสวรรค์เข้าข้างข้า เช่นนั้นพวกเรารีบไปกันเถอะ” ใบหน้าของหนิงเทียนเวลาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
มู่เสวี่ยที่ยืนฟังอย่างเงียบๆพร้อมกับพิจารณาทุกคำพูดและความเป็นไปได้ของชายที่ชื่อไป๋ซัว นางจึงอดกล่าวออกมาไม่ได้“อาจารย์ ข้าว่ามันมีอะไรแปลกๆอยู่นะ”
“แปลกหรือ? อย่างเจ้าจะไปรู้อะไร โชคชะตาของคนเรามักมาในรูปแบบที่เราไม่เคยรู้จักมัน ที่ข้ากล่าวไปถูกต้องหรือไม่พี่ไป๋ซัว”
“ฮ่าๆ ไม่ผิดแม้ไปแม้แต่คำเดียว”ไป๋ซัวกล่าวเสริมหนิงเทียนโดยเร็ว แต่ภายในใจมันหัวเราะให้กับความโง่ของหนิงเทียนอย่างบ้าคลั่ง
ไป๋ซัวเดินนำกลุ่มของหนิงเทียนและมู่เสวี่ยอยู่ไม่นานนัก เส้นทางเดินที่ทอดยาวไปสู่ประตูมิติเย่อู่เหมินกลับมีตอกซอกซอยเล็กๆที่แบ่งเป็นยานการค้าอยู่ไม่น้อย ไ
ป๋ซัวเดินตรงมาก่อนจะเลี้ยวเข้าซอยเล็กๆด้านข้าง ที่สองข้างทางถูกสลักไว้ด้วยตัวหนังสือว่า “ร่ำรวยเงินทอง” ประตูทางเข้านั้นตกแต่งไปด้วยการแกะสลักรูปเปลวเพลิงขนาดใหญ่อย่างน่าเกรงขาม
หนิงเทียนเหลือบตามองเล็กน้อย ‘แม้แต่ในโลกที่พิสดารเช่นนี้ยังคงเชื่อในหลักฮวงจุ้ย ประตูไฟที่คอยแผดเผาทรัพย์สินของผู้ที่ลอดผ่าน ถ้าข้าเดาไม่ผิดไป๋ซัวผู้นี้คงจะเป็นนกต่อจากบ่อนการพนันที่อยู่ในประตูเย่อู่เหมินสินะ’
หนิงเทียนหยุดเดินพร้อมกล่าวออกทันที“พี่ชายไป๋ ข้าว่าพวกเราไม่เข้าไปกันดีกว่า”
ได้ยินเช่นนั้นคิ้วของไป๋ซัวขมวดเข้าหากันมันรีบถามออกโดยเร็ว “น้องชาย พวกเรามาถึงนี้แล้วเหตุใดถึงไม่เข้าไปหรือว่าเจ้าไม่เชื่อในโชคชะตาที่ข้าได้บอกไป!!??”
“ไม่...ไม่ใช่แน่นอน ข้ากลัวว่าถ้าข้าชนะเดิมพันเยอะๆจะไม่มีชีวิตเดินกลับออกมานะสิ การถูกปล้นทั้งทรัพย์สินและชีวิต นั้นคงจะไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับสถานที่แห่งนี้ใช่หรือไม่”
น้ำเสียงของหนิงเทียนที่เปล่งออกนั้นเห็นได้ชัดว่ามีเค้าลางของความหวั่นกลัวอยู่ไม่น้อย
“ฮ่าๆ ฮา เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล ประตูเย่อู่เหมินแห่งนี้เป็นพื้นที่สีขาวแม้แต่อาวุธยังไม่สามารถชักมันออกจากฝักได้และที่สำคัญที่นี่มีกฎเหล็กคือห้ามทำการต่อสู้ใดๆเด็ดขาด
ถ้าใครฝ่าฝืน ไม่ว่ามันจะมาจากตระกูลหรือสำนักใหญ่ใดก็ไม่มีข้อยกเว้นเด็ดขาด”
“ถ้าพี่ไป๋บอกข้าเช่นนี้ตั้งแต่แรก ข้าคงไม่ต้องเดินกังวลมาตลอดทางหรอก ถ้าเช่นนั้นพวกเรารีบไปกันเถอะ ข้าต้องการเงินสัก1000หยกนิลเพื่อใช้ในการเดินทางไปเมืองจี้”หนิงเทียนกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม
เมื่อกลุ่มของหนิงเทียนได้เดินเข้ามาในตรอกแห่งนี้ บรรยากาศรอบๆนั้นแตกต่างออกจากถนนสายหลักอย่างสิ้นเชิง
ถนนเส้นนี้มีเพียงแค่ทางตรงยาว ที่ใช้ทางเข้าและออกเดียวกัน มันจึงสามารถมองจากต้นทางไปยังท้ายทางได้โดยชัดเจน สองข้างทางนั้นเต็มไปด้วยซุ้มหลังคาเล็กๆที่แออัดไปด้วยผู้คนจำนวนมหาศาล
ถ้าจะบอกว่าถนนเล็กๆสายนี้ครึกครื้นกว่าทางเดินหลักก็ไม่ใช่คำกล่าวที่เกินไปเลยจริงๆ
“อาจารย์ที่นี้มันบ่อนพนันใช่หรือไม่?” มู่เสวี่ยกล่าวออกด้วยดวงตาที่โตขึ้น ตั้งแต่เล็กจนโตนางไม่เคยเห็นสิ่งพวกนี้มาก่อน
“ฝั่งพยัคฆ์ขาว แทงรวม 57หยกนิล”
“ฝั่งมังกรฟ้า แทงรวม 350หยกนิล”
“ฝั่งเต่าดำ แทงรวม 40หยกนิล”
“ฝั่งหงส์แดงแทงรวม 8หยกนิล”
นักพนันผู้หนึ่งกล่าวออกมา “เหตุใดถึงมีคนแทงฝั่งหงส์น้อยเช่นนี้”
“เจ้าบ้าลูกเต๋าไม่ออกหน้าหงส์มาจะ10ตาติดแล้ว แทงไปไม่เท่ากับเอาเงินไปละลายน้ำเล่นหรอกรึ”
กรุกๆๆๆ เสียงเจ้ามือกำลังเขย่าลูกเต๋าทรงสี่เหลี่ยมจากนั้นมันคว่ำถาดพร้อมเปิดออก เผยให้เห็น รูปสลักของหงส์สีแดงเผยหน้าขึ้นสู้ฟ้า
“เต๋า4จตุรเทพรอบนี้ ฝั่งที่ชนะคือหงส์แดง กินเรียบกินเรียบฮ่าฮ่าๆ” เสียงของเจ้ามือร่างอ้วนดังออกมา
ไป๋ซัวเห็นหนิงเทียนและมู่เสวี่ยจ้องมองอย่างตั้งใจมันจึงรีบกล่าวออกมา “น้องชายอย่าได้สนใจเกมส์นี้เด็ดขาดเจ้าเห็นหรือไม่มันออกหงส์แดงให้ฝ่ายเจ้ามือกินเรียบเป็นร้อยหยกนิล
แน่นอนมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญตามที่เจ้ากำลังคิดแน่ ไปเถอะข้าจะพาไปเจ้าไปเล่นเกมส์ดีๆเอง” กล่าวจบไป๋ซัวรีบเดินนำกลุ่มหนิงเทียนออกไปโดยเร็ว
ที่มันกล่าวเตือนหนิงเทียนเช่นนั้นไม่ใช่เพราะว่ามันหวังดีแต่อย่างใด แต่แท้จริงแล้วมันไม่ได้มีส่วนได้เสียอะไรกับซุ้มพนันเต๋า4จตุรเทพเลย มันนั้นตกเหยื่อเช่นหนิงเทียนมาได้เแล้วหตุใดจะยอมปล่อยให้พวกมันไปโดนหลอกโดยเจ้ามือคนอื่นละ
ไป๋ซัวเดินนำหนิงเทียนไปยังจุดหมายของมันโดยเร็ว มันเดินตรงไปอีกเพียง20ก้าวเท่านั้น มันเลี้ยวเข้าซุ้มไม้ที่มองผ่านๆคงจะแยกไม่ออกว่าเป็นร้านน้ำชาหรือบ่อนการพนันกันแน่
หนิงเทียนเดินตามไป๋ซัวไปยังด้านในที่ถูกปิดบังด้วยผ้าม่านผืนบางอย่างว่าง่าย เวลานี้สายตาของหนิงเทียนที่แสร้งแสดงออกถึงความกลัวได้หายไปจนหมดสิ้น...