ตอนที่แล้วบทที่ 97 ปลอมตัว..
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 99 ลวงหลอกซ้อนหลอกลวง

บทที่ 98 โรงเตี๊ยมอันอัน


กำลังโหลดไฟล์

สำหรับการเดินทางด้วยประตูมิติเย่อู่เหมินนั้นต้องใช้ถึง 500หยกนิลต่อหนึ่งคนเท่ากับพวกพวกมันต้องควักออก1000หยกนิลเพื่อเป็นค่าเดินทางไปยังเมืองจี้หลิน มันช่างเป็นความสิ้นเปลืองที่หาจากที่ใดไม่ได้อีกแล้ว มีแต่คนโง่เท่านั้นที่ยอมจ่ายเงินแสนเพื่อแลกกับอมยิ้มเม็ดเดียว

เวลานี้หนิงเทียนมีเงินติดตัวอยู่ไม่ถึง500หยกนิลด้วยซ้ำ ถ้านับรวมหยกนิลที่ได้จากมู่ซวนเฟิงและจี้หลินตงแล้วมันก็ไม่เพียงพอสำหรับค่าเดินทางของทั้งคู่อยู่ดี

แม้ว่าหนิงเทียนจะถอนเงินออกมาจากสมาคมการค้าจ้าวสมุทรนับหมื่นหยกนิลก็จริง แต่นั้นถูกใช้ในการบริหารจัดการทัพของตระกูลซื่อหม่าไปหมดแล้ว ครั้นมันจะนำป้ายเหล็กนิลกาลไปถอนเงินออกจากสมาคมการค้าจ้าวสมุทรก็เห็นทีจะไม่มีเวลาทำเช่นนั้น

โครกกก!!! เสียงประท้วงดังออกมาจากท้องของมู่เสวี่ยดังขึ้นมาปลุกหนิงเทียนจากภวังค์ความคิด เมื่อมันได้ยินดังนั้นจึงฉุกคิดขึ้นมา ในยามเช้าพวกมันก็ฝึกกระบี่ พอตกบ่ายก็เข้าร่วมการประลองอสูรและเวลานี้ก็เย็นมากแล้ว เนื้อสักชิ้นยังไม่ได้ตกถึงท้องของทั้งคู่เลยแม้แต่ชิ้นเดียว

แม้การบ่มเพาะพลังจะทำให้ผู้ฝึกตนสามารถอดอาหารได้เป็นสิบๆวันโดยที่ร่างกายไม่ได้รับผลกระทบอะไร แต่นั้นก็เป็นเรื่องของร่างกายเท่านั้น โดยปกติแล้วมนุษย์นั้นต้องกินอาหารทุกวันหรือจะพูดกันอีกนัยหนึ่งก็คือ การกินอาหารเป็นหน้าที่ที่พวกมันปฎิบัติสืบต่อกันมาจนกิจประจำวันเสียมากกว่า

“เจ้าคงหิวแล้ว เช่นนั้นพวกเราไปหาอะไรกินกันก่อนเถอะ แต่แน่นอนว่าข้าจะไม่ไปเหลาอาหารชิงเยี่ยนเด็ดขาด”

“เอ๋...เพราะอะไรกัน!!? เหลาอาหารชิงเยี่ยนนั้นเป็นเหลาอาหารอันดับหนึ่งในเมืองฉางผิงเชียวนะอาจารย์” มู่เสวี่ยร้องถามด้วยความสงสัย

“ถ้าเจ้าอยากกินก็ไปคนเดียวเถอะ” สิ้นเสียงของหนิงเทียนมันรีบเดินออกในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับเหลาอาหารชิงเยี่ยนโดยเร็ว ไม่ใช่เพราะว่าเหลาอาหารนั้นหรือทำให้มันต้องผิดใจกับคนของคฤหาสน์เจ้าเมืองในยามแรกที่ได้มาเหยียบฉางผิงและที่มันเป็นศัตรูกับสำนักดาบศิลาก็ไม่ได้เกิดขึ้นที่เหลาชิงเยี่ยนหรอกหรือ

แค่คิดเช่นนั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้หนิงเทียนไม่ไปเหยียบที่แห่งนั้นอีกเป็นครั้งที่สาม ไม่ต้องไปกล่าวถึงคำว่า กลัวหรือขี้ขลาด ในความคิดของหนิงเทียนจะมีเพียงแต่คนบ้าเท่านั้นแหละที่รู้ว่าจะมีเรื่องแต่ชอบที่จะพุ่งตัวเข้าหาเรื่องราวเหล่านั้น

เมื่อพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน หนิงเทียนและมู่เสวี่ยมาหยุดอยู่เบื้องหน้า โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ที่ถูกแขวนป้ายไว้ด้วยชื่อ *อันอัน ที่หนิงเทียนเลือกโรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นที่พักเพียงเพราะส่วนหนึ่งมาจากชื่อของมันที่มีความหมายว่า สงบสุขนั้นเอง

และอีกเหตุผลหนึ่งเพราะว่ามันเป็นโรงเตี๊ยมที่อยู่ติดกับประตูเมืองฉางผิง เมื่อกลุ่มของหนิงเทียนเดินเข้ามาถึง มันได้รับการต้อนรับจาก เถ้าแก่เนี้ยที่มีรูปร่างหน้าตางดงาม เสื้อผ้าที่สวมใสของนางนั้นสีฉูดฉาด ด้วยเนื้อผ้าที่บางเผยให้เห็นถึงผิวหนังที่ขาวเนียนซ่อนอยู่ใต้ร่มผ้านั้นจาง นางรีบเดินออกมาต้อนรับหนิงเทียนและมู่เสวี่ยทันที

“นายท่านทั้งสอง มีอะไรให้ข้ารับใช้เจ้าค่ะ” เถ้าแก่ของร้านรีบกล่าวด้วยรอยยิ้มและท่าทีเป็นมิตร

“ข้าต้องการห้องพักสักสองห้องและโต๊ะอาหารหนึ่งที่” หนิงเทียนกล่าวตอบพร้อมหยิบยื่นเหรียญทองสิบเหรียญให้แก่นาง

เถ้าแก่เนี้ยรับเหรียญทองด้วยรอยยิ้มพร้อมกล่าวเชิญ ก่อนที่นางจะเดินนำหนิงเทียนไปที่โต๊ะอาหาร ระหว่างทางเดินที่ไม่ไกลนั้น เถ้าแก่เนี้ยได้กล่าวออกด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน

“คุณชายทั้งสอง ท่านต้องการให้ข้า เรียกบุปผางาม มานั่งคุยเป็นเพื่อนหรือไม่เจ้าค่ะ”

ได้ยินเช่นนั้นหนิงเทียนรู้ได้โดยทันทีว่า โรงเตี๊ยมอันอันแห่งนี้แม้จะใช้ชื่อว่าโรงเตี๊ยมแต่แท้จริงแล้ว มันคือหอนางโลมกลายๆนั้นเอง

ในชีวิตก่อนของหนิงเทียนนั้น หอนางโลมหาใช่ที่ปลดปล่อยความใคร่ของบุรุษไม่ มันถูกยกให้เป็นแหล่งข่าวสารชั้นดีที่ถูกรวบรวมจากเหล่าผู้มีอำนาจ ที่มักจะคายความลับออกมาเมื่อถูกมนต์สะกดจากสุราและสาวงาม

ทุกความลับของกลุ่มคนชั้นสูงพวกนี้สามารถซื้อขายมันได้ในหอนางโลมเท่านั้น แต่นั้นก็เป็นเรื่องราวในชีวิตก่อนของมัน ไม่มีอะไรรับประกันว่าในโลกแห่งนี้จะเหมือนกับโลกเดิมของมัน หนิงเทียนจึงกล่าวหยั่งเชิงออกด้วยท่าทางที่ไม่จริงจังนัก

“เถ้าแก่ ถ้าข้าไม่ต้องการบุปผาแต่ข้าต้องการจดหมาย โรงเตี๊ยมอันอันของท่านจะมีให้ข้าได้หรือไม่?”

ได้ยินคำถามเช่นนี้ของหนิงเทียนดวงตาที่เปี่ยมเสน่ห์ของเถ้าแก่เนี้ยหรี่เล็กลงชั่วครู่ก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้ม

“ข้าน้อยมีนามว่า เชียนเชียน ความรู้ของข้าน้อยไม่ได้กว้างขวางนักแต่ถ้ามันสามารถตอบข้อสงสัยของคุณชายได้ เชียนเชียนก็ยินดีที่จะทำ”

กล่าวจบ นางเดินนำกลุ่มของหนิงเทียนมาที่โต๊ะอาหาร ก่อนจะกล่าวต่อว่า “เชิญคุณชายทั้งสองรับประทานอาหารเสียก่อน เชียนเชียนขอตัวลาสักครู่”

หนิงเทียนยกยิ้มออก มันไม่คิดว่าคำพูดที่มันกล่าวอย่างไม่ได้คาดหวังอะไร จะนำพาซึ่งประโยชน์เล็กน้อยมาให้มันได้

“ดี เช่นนั้น เจ้าจงนำอาหารชั้นเลิศมาสัก3อย่างและสำคัญที่สุดข้าต้องการสุราที่ดีที่สุดของโรงเตี๊ยมของเจ้า”

หลังจากได้ยินคำสั่งของหนิงเทียนแล้ว เชียนเชียนโค้งรับคำพร้อมถอยออกก่อนจะหันร่างเข้าไปในห้องครัว นางใช้เวลาเพียงชั่วอึดใจเดียวในการสั่งการต่อเสี่ยวเอ้อ

เวลาผ่านไปชั่วกาน้ำเดือด เสี่ยวเอ้อของโรงเตี๊ยมได้ยกอาหารออกมาวางบนโต๊ะอย่างนอบน้อม ห่างกันไม่นานนัก เชียนเชียนได้เดินอุ้มไหสุราออกมา ด้วยไหสุราที่อยู่ตรงกลางระหว่างหน้าอกภูเขาคู่นั้น ชวนให้ลูกค้าจากโต๊ะอื่นๆหยุดรับประทานอาหารและจับจ้องมาที่นางเป็นสายตาเดียวกัน

จากนั้นนางนำสุรามาวางไว้บนโต๊ะอาหารก่อนจะแทรกตัวนั่งระหว่างกลางของหนิงเทียนและมู่เสวี่ยด้วยรอยยิ้ม “เชิญคุณชายทั้งสอง”

หนิงเทียนและมู่เสวี่ยพยักหน้า พร้อมกับเริ่มรับประทานอาหารตรงหน้าด้วยใบหน้าที่พอใจ มู่เสวี่ยนั้นค่อยใช้ตะเกียบคีบอาหารเข้าปากอย่างมีมารยาท ซึ่งแตกต่างจากหนิงเทียนที่ไม่ได้แตะต้องอาหารเลยแม้แต่น้อย มันเพียงแต่ยกไหสุราขึ้นซดราวกับว่ามันเป็นเพียงน้ำเปล่าเท่านั้น

เชียนเชียนที่นั่งอยู่ด้วยกันทิ้งเวลาชั่วครู่ให้ทั้งสองเพลิดเพลินไปกับอาหารเย็นมื้อนี้ ก่อนจะกล่าวออก “คุณชายท่านต้องการถามเรื่องใดแก่เชียนเชียนเจ้าค่ะ”

เมื่อหนิงเทียนเห็นว่านางเป็นผู้เริ่มเปิดการสนทนาขึ้น มันจึงวางไหสุราลงบนโต๊ะพร้อมกล่าวถาม“ข้าต้องการรู้เรื่องของนิกายเคลื่อนเมฆา”

“คุณชายโรงเตี๊ยมอันอันของข้านั้นเป็นโรงเตี๊ยมเล็กๆเท่านั้นไหนเลยจะรู้เรื่องของนิกายใหญ่ของเมืองจี้ อย่างนิกายเคลื่อนเมฆาได้”

ปักก!!! หนิงเทียนควักเหรียญทองออกมาวางบนโต๊ะ “ห้าพันเหรียญทองพอที่จะทำให้ท่านจำอะไรได้หรือไม่”

เถ้าแก่เนี้ยของโรงเตี๊ยมอันอัน ยังคงส่ายหน้าอันงดงามปฎิเสธคำถามของหนิงเทียนอีกครั้ง “คุณชาย ที่เชียนเชียนกล่าวนั้นหาได้มีคำใดโกหกแม้แต่น้อย....”

ปัก!! เสียงกระทบกันระหว่างกองเหรียญทองกับโต๊ะอาหารดังเตือนสติของเชียนเชียนอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้หนิงเทียนเพิ่มหยิบเหรียญทองเพิ่มอีกเป็นหนึ่งหมื่นเหรียญ

เชียนเชียนยังคงกล่าวออกด้วยคำเดิม “คุณชาย เรื่องราวของนิกายเคลื่อนเมฆานั้นเชียนเชียนไม่รู้จริงๆ แต่ถ้าเป็นเรื่องราวของท่านหรงจื่อศิษย์เอกของนิกายเคลื่อนเมฆาละก็เชียนเชียนรู้จักคนที่จะให้ข้อมูลแก่นายท่านได้” กล่าวจบนางปรบมือสองครั้ง

เสี่ยวเอ้อที่ยืนอยู่ไกลๆรีบวิ่งเข้ามาทันที เชียนเชียนรีบกล่าวสั่งแก่เสี่ยวเอ้อ

“ไปตามเหมยฮัวมา” กล่าวจบนางรีบยกมือกวาดเหรียญทองเข้ากระเป๋าโดยเร็ว

เพียงครู่เดียว สตรีนางหนึ่งได้เดินตรงมายังโต๊ะของหนิงเทียนด้วยการแต่งกายของนางนั้นหนิงเทียนสามารถคาดได้ทันทีว่า เหมยฮัวที่ว่านั้นเป็นหญิงงามเมืองของโรงเตี๊ยมอันอันอย่างแน่นอน

“เถ้าแก่เนี้ย มีเรื่องอันใดหรือเจ้าค่ะ”เหมยฮัวโค้งศีรษะเล็กน้อยพร้อมกล่าวถามออกมา

“เมื่อหกวันก่อน ท่านหรงจื่อได้มาเยี่ยมเจ้า เขาได้บอกอะไรแก่เจ้าบ้างหรือไม่?” กล่าวถามจบเชียนเชียนไม่ได้รอให้เหมยฮัวตอบอะไรออกมา นางเพียงแต่หันไปทางหนิงเทียนก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คุณชาย น้องสาวของข้าคนนี้ความจำไม่ค่อยดีนักเกรงว่า....”

“เจ้าอย่าได้ลีลาให้เสียเวลา รีบๆกล่าวออกมา” หนิงเทียนกล่าวออกพร้อมโยนตั๋วเงิน1แสนเหรียญทองให้แก่เชียนเชียน

หนึ่งแสนเหรียญทองนั้นแม้จะไม่ใช่จำนวนที่มากมายสำหรับผู้ฝึกตนบ่มเพาะก็จริงแต่สำหรับมนุษย์ธรรมดาที่หาเช้ากินค่ำพวกนี้ละก็ มันเป็นจำนวนที่มากพอจะใช้จ่ายไปได้นับปีเลยทีเดียว

ด้วยเหตุนี้เองเมื่อพวกนางสองคนเห็นตั๋วเงินหนึ่งแสนเหรียญทอง ดวงตาของทั้งสองใหญ่โตขึ้นมาทันที เชียนเชียนรีบวาดมือหยิบตั๋วเงินใส่เข้าไปในหน้าออกโดยเร็ว นางกลัวว่าถ้าปล่อยเวลาให้ผ่านไปอีกสักลมหายใจเดียว คุณชายผู้นี้จะเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา

“เหมยฮัวอย่าได้ทำให้แขกผู้มีเกีรยติของเราต้องเสียเวลา เจ้ารู้อะไรรีบๆเล่าไปให้หมด”

เหมยฮัวพยักหน้าโดยเร็ว พร้อมกับกล่าวขึ้นมาว่า “ราวๆ หกเจ็ดวันที่แล้ว ท่านหรงจื่อได้มาหาข้าน้อยด้วยอารมณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก โดยปกติแล้ว ถ้าท่านหรงจื่อมาหาข้าน้อย เขาจะใช้เวลาอยู่กับข้าน้อยไม่ต่ำกว่า3วัน

แต่ครั้งนี้ท่านหรงจื่อมาหาข้าน้อยเพียงวันเดียวเท่านั้น ด้วยท่าทีเร่งรีบของท่าน ข้าน้อยจึงได้ถามถึงเหตุผลว่าเหตุใดท่านหรงจื่อถึงรีบร้อนเช่นนี้จึงได้ความมาว่า ในพื้นที่โดยรอบของเมืองจี้หลินซึ่งเป็นเขตรับผิดชอบของนิกายเคลื่อนเมฆานั้นได้มีกลุ่มโจรที่เรียกตัวเองว่า กองโจรพิทักษ์ฟ้า ริบังอาจเหิมเกริมและออกปล้นเหล่าผู้สูงศักดิ์จำนวนมาก จนร้อนถึงนิกายเคลื่อนเมฆาต้องสั่งให้ท่านหรงจื่อเป็นผู้ไปปราบปราม

ท่านหรงจื่อได้กล่าวถึงแผนการให้ข้าน้อยได้ฟังอยู่บ้าง แต่นั้นก็ไกลเกินความเข้าใจของข้าน้อยไปมาก สิ่งเดียวที่พอจะจำได้คือท่านได้วางแผนล่อพวกกองโจรพิทักษ์ฟ้าให้ออกมา ใช่แล้ว ท่านพูดถึงเส้นป่าวิญญาณอสูร”

“ป่าวิญญาณอสูร?” หนิงเทียนทวนคำพูดออกมาทันที

“คุณชายป่าวิญญาณอสูรนั้นเป็นเส้นทางเดินระหว่างเมืองจี้หลินกับนิกายเคลื่อนเมฆา ถ้าท่านไปถึงเมืองจี้หลินแล้ว ท่านสามารถถามได้แม้กระทั่งพ่อค้า แม่ขายตามตลาด ข้าเชื่อว่าไม่มีใครในเมืองจี้หลินไม่รู้จักป่าวิญญาณอสูร” เชียนเชียนกล่าวอธิบายแก่หนิงเทียน

เดิมหนิงเทียนนั้นไม่ได้คาดหวังว่าข้อมูลที่ได้มานั้นจะมีประโยชน์อะไรมากนัก แต่จากสิ่งที่ได้ยินวันนี้มันทำให้หนิงเทียนอดไม่ได้ที่จะมีรอยยิ้มที่มุมปาก

มู่เสวี่ยที่นั่งฟังทุกถ้อยคำนั้นนางไม่เข้าใจเลยว่า เรื่องราวพวกนี้จะนำไปใช้ประโยชน์อะไรได้ แค่เพียงรู้ถึงภารกิจของศิษย์คนหนึ่งเท่านั้น มันจะช่วยให้แฝงตัวเข้าไปในนิกายเคลื่อนเมฆาได้อย่างไรกัน??

หนิงเทียนหยิบตั๋วเงินจำนวนหนึ่งหมื่นเหรียญทองออกมายื่นให้เชียนเชียนพร้อมกล่าวขึ้น“เถ้าแก่เนี้ย พรุ่งนี้ข้าต้องการเดินทางไปยังประตูมิติเย่อู่เหมิน”

เชียนเชียนรีบคว้ามันไว้โดยเร็ว พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเปี่ยมสุข “แน่นอนคุณชาย ขอให้ท่านกำหนดเวลามา เชียนเชียนจะจัดการหารถม้ามารับท่านไปยังที่หมายทันที”

เมื่อทั้งคู่ตกลงนัดแนะเวลาออกเดินทางพรุ่งนี้เรียบร้อยแล้ว เชียนเชียนและเหมยฮัวได้กล่าวคำลากลุ่มของหนิงเทียนและเดินจากไปรับรองแขกคนอื่นๆต่อ

แต่ก่อนที่นางจะจากไปนั้น นางได้กล่าวคำพูดทิ้งท้ายด้วยคำพูดที่ชวนให้ขนในกายลุกชันขึ้นมาว่า “คุณชายทั้งสอง ท่านแน่ใจว่าไม่ต้องการให้ น้องสาวของข้าไปปรนนิบัติในยามค่ำคืนหรือ? และสำหรับคุณชายท่านนี้ ถ้าท่านต้องการ เชียนเชียนจะดูแลท่านด้วยตัวเอง” คำกล่าวของนางนั้นเจาะจงไปยังหนิงเทียนอย่างชัดเจน

หนิงเทียนยกยิ้มให้คำพูดของเชียนเชียน พร้อมกล่าวตอบ “พรุ่งนี้ข้ามีเรื่องเร่งด่วนที่ต้องไปทำ ถ้าข้ากลับมาที่เมืองฉางผิงแห่งนี้อีกเมื่อไร ถึงเวลานั้น เจ้าเตรียมตัวเตรียมใจไว้ให้ดีก็แล้วกัน”

หลังจากที่เชียนเชียนและเหมยฮัวได้จากไปแล้ว เวลานี้มู่เสวี่ยได้แต่ยกมือเท้าคางพร้อมจับจ้องไปยังหนิงเทียนด้วยความเบื่อหน่าย “อาจารย์ท่านพูดเองไม่ใช่หรือว่า พรุ่งนี้มีเรื่องเร่งด่วนต้องทำ แต่นี่ท่านกินมันเป็นไหที่สี่แล้วนะ”

“ดื่มสุราเพียงลำพัง สิบแก้วพันจอกก็ไม่ทำให้ข้าเมาได้” หนิงเทียนกล่าวตอบอย่างไม่สนใจ

ล่วงพ้นเวลากลางคืนไป แม้หนิงเทียนจะร่ำสุราไปมากเพียงใด แต่มันไม่เคยขาดตกในเรื่องการบ่มเพาะพลัง ทุกๆค่ำคืนมันจะดูดซับพลังของหินลมปราณระดับสูงเข้าสู่ร่างอย่างบ้าคลั่ง แต่ในคราวนี้มันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจนำหยกนิลออกมา

หยกนิลนั้นแม้มันจะถูกใช้เป็นอัตราแลกเปลี่ยนระดับสูงก็จริงแต่แรกเริ่มเดิมทีแล้ว มันนั้นเป็นหยกลมปราณที่มีไว้สำหรับให้ผู้บ่มเพาะในระดับราชันย์ขึ้นไปได้ซึมซับแก่นลมปราณเข้าสู่ร่าง

เมื่อพลังปราณสีดำจากหยกนิลถูกดูดออกไปหมดแล้วมันจะกลายเป็นก้อนหยกสีเขียวกระจ่างและคุณค่าของมันก็จะหมดลงในทันที

ลมปราณสีดำจากหยกนิลนั้นเป็นลมปราณที่ไร้ซึ่งความบริสุทธิ์แม้แต่น้อยมันจึงจำเป็นต้องใช้พลังในระดับราชันย์เพื่อที่จะกลั่นกลองลมปราณสีดำให้บริสุทธิ์ขึ้นมา จึงจะสามารถนำไปปรับใช้มันเพื่อเพิ่มพูนพลังปราณให้เข้าสู่ร่างกายได้ ด้วยเหตุเองผู้ฝึกตนที่ระดับต่ำกว่าราชันย์จึงไม่สามารถดูดซับพลังของมันได้

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด