บทที่ 97 ปลอมตัว..
แม้มู่เสวี่ยจะรู้สึกสงสัยเป็นอย่างยิ่งแต่ถึงอย่างไรนางนั้นก็ทำตามอย่างว่าง่าย นางเดินหายเข้าไปในห้องหนังสือชั่วครู่ จากนั้นนางเดินกลับมาพร้อมกระดาษแผ่นใหญ่“อาจารย์ท่านต้องการใช้มันทำอะไร??”
หนิงเทียนกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม“กระดาษแผ่นนี้คือยันต์กันภูตผี จิวอิงข้าจะสอนเจ้าร่ายคาถาไว้ขับไล่ผู้บุกรุก
จงจำไว้ให้ดีถ้ามีข้ารับใช้บุกเข้ามาให้เจ้าจดชื่อมันลงไปในกระดาษแผ่นนี้พร้อมบอกไปว่า ใครก้าวเข้ามาสัญญาหนี้ของมันจะถูกขายต่อให้สมาคมการค้าจ้าวสมุทรทันที
และถ้าเป็นผู้อาวุโสคนใดมาด้วยตัวเอง และถ้ามันดึงดันจะบุกเข้ามาให้ได้ ให้เจ้ากล่าวจดชื่อของมันลงไปในกระดาษและบอกพวกมันไปว่า
คุณหนูใหญ่จะพิจารณาใช้ป้ายเทพท่องนภากับผู้ที่ได้ก้าวเหยียบตำหนักหงส์ร่วงแห่งนี้เป็นคนแรก”
จิวอิงได้ยินเช่นนั้นประกายตาของมันใสสว่างขึ้นมาทันที มันรับกระดาษมาจากมู่เสวี่ยด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว นี่คือยันต์ไล่ภูตผีที่มารังควาน”
จากนั้นหนิงเทียนปลายตามองไปยังมู่เสวี่ย พร้อมกล่าวออก “ส่วนเจ้า จงไปปลอมตัวเป็นชายมา สำคัญที่ต้องอัปลักษณ์ ยิ่งได้มากเท่าไรยิ่งดี ข้าไม่ต้องการให้ความงามของเจ้าสร้างปัญหาระหว่างการเดินทางให้แก่พวกเรา”
มู่เสวี่ยรีบพยักหน้าตกลงโดยไว พร้อมเดินถอยออกไปทันที ไม่นานนัก มู่เสวี่ยกลับมาในชุดคลุมยาวสีขาว บนร่างประดับไปด้วยเครื่องประดับสีขาวมุขช่วยส่งให้ผู้ที่ได้มองรู้สึกกลมกลืนสบายตาอย่างมาก
ผมที่ยาวสลวยของนางถูกเกล้าขึ้นให้เหมือนกับบุรุษเพศโดยที่ใช้ปิ่นปักผมสีทองลายหงส์เป็นแกนยึด
บนใบหน้าที่ขาวบริสุทธิ์ถูกประดับด้วยรอยเขียนสีดำเหนือปากอันเรียวงามของตัวนาง ดูเหมือนว่านางจงใจจะใช้ถ่านหินเขียนหนวดขึ้นมา
สภาพของนางตอนนี้คล้ายหญิงก็ไม่ใช่ ชายก็ไม่เหมือน มันดูเหมือนกับพวกวิปริตไม่รู้จักเพศของตัวเองเป็นอย่างยิ่ง
ทันทีที่เห็นเช่นนั้นเหล้าที่กำลังจะถูกกลืนลงคอได้กระเด็นออกมาจากปากของหนิงเทียนพร้อมเสียงหัวเราะ “ฮ่าฮ่าๆๆ จะ..เจ้าปลอมตัวอะไรมา รีบไปเปลี่ยนมาโดยเร็ว
ถ้าข้าได้มองเจ้ามากกว่านี้ ข้าอาจจะต้องหัวเราะจนตายไปแน่ๆ” หนิงเทียนกล่าวออกพร้อมกับยกมือปาดน้ำตาที่เกาะอยู่ปลายหางตา
เมื่อได้ยินดังนั่นมู่เสวี่ยกัดปากของตัวเองแน่น นางไม่รอช้าที่จะอยู่เป็นตัวตลกอีกต่อไป
คราวนี้มู่เสวี่ยหายไปราวๆครึ่งชั่วยาม ก่อนจะเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่มั่นใจ แก้มของมู่เสวี่ยนั้นแดงเปล่งปลั่ง มันดูคล้ายกับว่านางนั้นใช้เครื่องแป้ง ตกแต่งมันออกมาอย่างงดงาม
ส่วนชุดที่นางสวมใสอยู่นั้นดูราบเรียบดูเหมือนกับว่ามันเป็นชุดที่ถูกสวมใส่โดยกลุ่มของผู้สูงอายุ ใช่แล้วมันคล้ายกับชุดของพ่อบ้าน ตามคฤหาสน์หรือจวนต่างๆ
แม้ว่าชุดของนางจะดูราบเรียบแต่ด้วยรูปร่างที่แตกต่างกันของบุรุษและสตรี ทำให้หน้าอกของนางนูนออกมาจากชุดบุรุษอย่างเห็นได้ชัดและกางเกงของบุรุษที่กระชับแน่นเข้ากับร่างเผยให้เห็นสะโพกกลมพายของตัวนางเอง
ครั้งนี้ต่อให้คนโง่ยังสามารถบอกได้เลยว่านี่เป็นสตรีที่จงใจแต่งกายให้เหมือนบุรุษ
หนิงเทียนนั้นกรอกตาขึ้นสูงเมื่อได้เห็นการปลอมตัวของนาง มันสะบัดมือไล่ออกพร้อมกล่าวขึ้น “ไป รีบเปลี่ยนมาใหม่”
มู่เสวี่ยเห็นการแสดงออกเช่นนั้นของหนิงเทียน นางกัดริมฝีปากแน่น จากนั้นนางหันหลังกลับเข้าไปในห้องของนางอีกครั้ง
คราวนี้มู่เสวี่ยหายไปนาน มันนานพอที่จะทำให้หนิงเทียนเปิดจุกเหมาไถ ไหที่สามออกและดื่มมันจนหมด สิ้นเสียงของไหสุรากระแทกกับโต๊ะ
ร่างของมู่เสวี่ยเดินออกมาด้วยชุดสีเขียว แขนเสื้อที่มีความยาวเพียง3ส่วนนั้นเผยให้เห็นผิวที่ขาวราวกับหิมะ แม้ริมฝีปากที่เคยถูกแต่งแต้มด้วยสีของกุหลาบจะถูกลบจนเลือนหายไปแต่นั้นไม่ได้ทำให้ความงามบนใบหน้าของนางลดลงเลย
เวลานี้ผมที่ยาวสลวยของนางถูกเกล้าขึ้นสูงและซ่อนมันภายใต้หมวกของบัณฑิต
หนิงเทียนมองไปยังมู่เสวี่ยเป็นครั้งที่สาม ในครั้งนี้มันต้องตกตะลึงอยู่ไม่น้อย เพียงเพราะชุดสีเขียวที่ดูเหมือนว่าจะมีความยาวเพียง3ส่วนนั้น เป็นชุดเดียวกับที่มันได้เจอกับมู่เสวี่ยครั้งแรกในป่าพฤกษาทมิฬเมื่อสองปีก่อน
และคราวนี้ถึงแม้ใบหน้าของมู่เสวี่ยจะไร้ด้วยเครื่องแป้งใดๆ แต่มันก็ได้ตอบคำถามของหนิงเทียนเมื่อสองปีก่อนอย่างชัดเจนแล้วว่า เมื่อนางโตมา นางจะมีความงดงามถึงเพียงไหน
หนิงเทียนใช้เวลาจับจ้องอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นมันถอนหายใจออกพร้อมกับรุกขึ้นยืน มันดึงมือของมู่เสวี่ยให้เดินตามมันไปในทันที “ข้าบอกให้เจ้าปลอมตัวให้ อัปลักษณ์ที่สุดแล้วนี้อะไรกัน มานี่ข้าจะเป็นคนแต่งตัวให้เจ้าเอง”
ด้วยคำพูดที่ไม่ได้คิดอะไรของหนิงเทียนนั้น ช่วยไม่ได้ที่จะทำให้ใบหน้าของมู่เสวี่ยแดงขึ้นมาราวกับลูกตำลึง มีผู้ชายที่ไหนกันพูดว่าจะแต่งตัวให้สตรีได้อย่างหน้าตาเฉย ถ้าพวกมันทั้งคู่ไม่ใช่สามีภรรยากัน
ยิ่งคิดเช่นนั้นผิวหน้าที่ขาวบริสุทธิ์ยิ่งถูกแต่งแต้มด้วยสีแดงที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
หนิงเทียนดึงตัวมู่เสวี่ยเข้ามาในห้องของตัวมัน มันใช้เวลาในการค้นหาชุดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะหยิบชุดบุรุษสีขาวออกมา มันเทียบไปที่ตัวของมู่เสวี่ยครั้งหนึ่งก่อนจะโยนมันลงหีบในทันที
จากนั้นหนิงเทียนหยิบชุดสีดำขึ้นมาเทียบกับร่างของนางอีกครั้ง หนิงเทียนเอียงคอมองสำรวจเล็กน้อย และพิจารณามันอีกครั้ง
มันพยักหน้าออกพร้อมกล่าวขึ้น “ชุดสีดำให้ความรู้สึกลึกลับ จริงจังอยู่ตลอดเวลา ด้วยความลึกลับนี้จะทำให้คนทั่วไปหวาดกลัวที่จะจ้องหน้าเจ้านานๆ”
ทุกถ้อยคำของหนิงเทียนนั้นหาได้เข้าหูของมู่เสวี่ยแม้แต่น้อย เวลานี้ภายในใจของนางเอียงอายจนไม่ได้ยินรอบข้างอีกแล้ว ตั้งแต่เล็กจนโตไม่มีใครเคยจับจ้องเรือนร่างและพิจารณามันอย่างใกล้ชิดเช่นนี้มาก่อน
“อย่าได้ช้า รีบถอดชุดออกมา” ด้วยประโยคต่อมาของหนิงเทียนนั้นทำให้ร่างของมู่เสวี่ยแข็งทื่อในทันที นางรีบกล่าวออกมาอย่างตะกุกตะกัก “แล้วท่าน...ท่านจะไม่ออกไป??”
“เสียเวลา ถ้าเจ้าอายนัก ข้าจะหันหลังให้”กล่าวจบหนิงเทียนหันหลังกลับทันที จากนั้นมันกล่าวต่อ “ข้าให้เวลา20ลมหายใจ ถ้าเจ้าลีลาชักช้า ก็อย่าได้โทษข้าที่หันมาตอนเจ้ากำลังเปลือยกายแล้วกัน”
“นี้ท่าน....” ก่อนที่มู่เสวี่ยจะได้กล่าวอันใดต่อ เสียงของหนิงเทียนดังขึ้นแทรก “หนึ่ง...สอง สาม....”
ได้ยินเช่นนั้นมู่เสวี่ยที่คิดจะกล่าวว่าอะไรออกรีบหุบปากเงียบ นางเพียงหันหลังและถอดชุดนอกสีเขียวอ่อนออกทันทีและสวมใสมันด้วยชุดสีดำของบุรุษเพศ ..
“สิบเก้า ยี่สิบ...” สิ้นเสียงนับ หนิงเทียนหันกลับมาจับจ้องไปยังมู่เสวี่ยพร้อมกับพยักหน้าอย่างช้าๆ "ดีมาก" กล่าวจบมันขยับร่างเข้าไปใกล้มู่เสวี่ยอีกครั้ง
คราวนี้มันใกล้เสียจนใบหน้าของมู่เสวี่ยเกือบจะชนเข้ากับหน้าออกของมัน
จากนั้นสองมือของหนิงเทียนพุ่งออกราวกับอสรพิษ ฝ่ามือสองข้างจับไปยังเส้นผมที่ยาวสลวยของมู่เสวี่ยก่อนจะใช้ปลายนิ้ววาดมันลงและม้วนมันเป็นรอบจนกลายเป็นก้อนกลมจากนั้นมันใช้หมวกทรงสูงของบัณฑิตครอบศีรษะของมู่เสวี่ยไว้
เมื่อเสร็จสิ้นทุกอย่างแล้วหนิงเทียนถอยหลังออกสองก้าวพร้อมกับจ้องมองไปยังร่างของมู่เสวี่ยอย่างพินิจอีกครั้ง คิ้วของหนิงเทียนที่เคยเรียบตรงค่อยๆโก่งงอขมวดเข้าหากันทันที
“เฮ้อ...หน้าอกของเจ้าเป็นปัญหาจริงๆ อกเจ้ามันใหญ่จนนูนออกมาเช่นนี้ต่อให้คนโง่ก็มองออกว่าเจ้าเป็นสตรี” หนิงเทียนกล่าวออกราวกับว่ามันเป็นเรื่องผิดปกติ
“ทะ...ท่านพูดเกินไปแล้ว” ดวงตาคู่งามของมู่เสวี่ยฉายแววโกรธออกมาเต็มที่ ก่อนจะบิดร่างหันหลังให้แก่หนิงเทียนด้วยความเขินอาย นางไม่ต้องการที่จะถูกจ้องมองไปมากกว่านี้อีก
“สะโพกของเจ้าก็กลมใหญ่จนเกินไป จะมีบุรุษคนใด ก้นใหญ่เท่าเจ้าอีกบ้าง?” หนิงเทียนกล่าวขึ้นขณะที่นิ้วมือขวาของมันลูบไปที่คางเบาๆ
ได้ยินเช่นนั้นมู่เสวี่ยรีบหันกลับมาโดยเร็ว ด้านหน้าก็ถูกวิจารณ์ด้านหลังก็ไม่พ้นจะถูกวิจารณ์อีก ด้วยคำพูดเช่นนี้ของหนิงเทียนคงจะมีแต่สตรีที่ภาคภูมิในเรือนร่างของตัวเองเท่านั้นที่จะสะกดอารมณ์โกรธลงได้
นางมองไปยังหนิงเทียนด้วยดวงตาที่กลมโต จนแทบจะบันดาลโทสะออกมา จากนั้นนางยกเท้าขึ้นสูงและย่ำมันลงไปที่เท้าของหนิงเทียนอย่างสุดแรง
ด้วยสัญชาตญาณของหนิงเทียนแล้วมีหรือมู่เสวี่ยจะสามารถลอบโจมตีมันได้ มันจึงชักเท้าหลบก่อนจะฉุดแขนของมู่เสวี่ยเข้าสู่อ้อมกอดมันโดยเร็วจากนั้นมันแนบหน้าไปที่คอของมู่เสวี่ยพร้อมสูดลมหายใจเข้าเบาๆ
ส่งให้ร่างกายของมู่เสวี่ยเวลานี้สั่นเกร็งขึ้นมาทันที แขนที่ขาวผ่องของนางเผยให้เห็นรูขุมขนที่รุกชันขึ้นอย่างไม่สามารถปกปิดได้ เห็นเช่นนั้นหนิงเทียนยกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะกล่าวออกมา
“นี้ก็ไม่ได้ จะปลอมเป็นบุรุษไหนเลยถึงมีกลิ่นสาบของสตรีบริสุทธิ์”
"ทะ..ท่านหมายความว่าอย่างไร!!??" มู่เสวี่ยเอ่ยออกด้วยเสียที่ติดขัดกอปรกับใบหน้าที่ซีดขาวลง
หนิงเทียนไม่ได้สนใจคำพูดของมู่เสวี่ยแม้แต่น้อย มันสะบัดมือขวานำสมุนไพรออกมาสองชนิด
โดยที่มือซ้ายของมันยังคงสวมกอดมู่เสวี่ยจากด้านหลัง “เจ้าอย่าดิ้นได้ไหม ข้ากำลังจะแปลงโฉมให้เจ้าอยู่” จากนั้นหนิงเทียนใช้มือขวาขยี้สมุนไพรทั้งสองชนิดเข้าด้วยกัน และใช้มันป้ายไปที่ใบหน้าของมู่เสวี่ยโดยเร็ว
ทันใดนั้นใบหน้าที่เคยขาวเนียนกลับถูกแต่งแต้มด้วยจุดด่างดำ ถึงสามสี่จุด ต่อมามันออกแรงใช้สองมือบี้สมุนไพรที่นำออกมาจนเกิดเป็นน้ำและลูบไล้ไปตามซอกคอของมู่เสวี่ย “เอาละ ที่นี้กลิ่นของสตรีก็หมดไปเสียที”
เวลานี้มู่เสวี่ยโกรธจนน้ำตาคลอ ตลอดชีวิตของนางไม่เคยถูกจับจ้องเรือนร่าง สวมกอดจากด้านหลัง แนบจมูกเข้าที่คอหรือแม้กระทั้งใช้มือลูบไล้ร่างของนาง ทุกสิ่งที่กล่าวมานั้น นางถูกกระทำมันภายในวันเดียวเท่านั้น
มู่เสวี่ยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่โกรธเคือง “ท่านจะปล่อยข้าไปได้หรือยัง”
“หืมม์เสียงของเจ้ายังคงเป็นสตรีอยู่ไม่ได้การละ”กล่าวจบหนิงเทียนโบกมือนำเข็มสีเงินออกมาและใช้มันในการสะกัดเส้นเสียงของมู่เสวี่ยให้ดังออกเพียงครึ่งเดียว
ทันทีที่เข็มเงินถูกปักลงไปที่หลังคออย่างไม่ทันตั้งตัว เสียงครางเบาๆดังขึ้นมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้“อ้า!!” นางรีบก้มหน้าลงทันทีเมื่อได้ยินเสียงที่น่าอับอายของตัวเองดังขึ้นมา
เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการแปลงโฉมมู่เสวี่ยแล้ว หนิงเทียนคลายแรงจากมือซ้ายให้มู่เสวี่ยเป็นอิสระพร้อมก้าวเดินออกมาเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
มู่เสวี่ยใช้เวลาข่มโทสะและลืมเลือนความอับอายอยู่ราวๆชั่วยามหนึ่งก่อนจะเดินออกไปยังห้องโถงใหญ่ที่มีหนิงเทียนและจิวอิงรออยู่
จิวอิงที่เห็นมู่เสวี่ยเดินเข้ามา มันโค้งคำนับพร้อมกล่าวถามหนิงเทียนด้วยสีหน้าตกตะลึง “นั้นคือ คุณหนูใหญ่ใช่หรือไม่ขอรับ”
ด้วยชุดแต่งกายสีดำสนิท ใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มด้วยจุดด่างดำ ผมยาวสลวยที่ถูกเก็บซ่อนไว้ใต้หมวกรวมถึงน้ำเสียงที่เปล่งออกมาไร้ซึ่งความเป็นสตรีแม้แต่น้อย
มันทำให้จิวอิงที่แม้จะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าคุณหนูใหญ่ของมันจะปลอมตัว แต่ก็อดที่จะถามมันออกมาอีกครั้งไม่ได้
หนิงเทียนพยักหน้าแทนคำพูดใดๆ ก่อนจะกล่าวออกแก่มู่เสวี่ย “เจ้าพร้อมที่จะไปกันหรือยัง”
มู่เสวี่ยไม่เปล่งเสียงอันใดตอบ นางพยักหน้าอย่างช้าๆ เห็นได้ชัดว่าความโกรธและความอับอายเมื่อครู่ยังไม่หมดไปจากใจของนาง
จิวอิงรีบกล่าวถามอย่างสงสัย “แต่ว่าข้างนอก มีทหารคุ้มกันเต็มไปหมดพวกท่านจะออกไปได้อย่างไร?”
หนิงเทียนได้แต่ยกยิ้ม จากนั้นมันโบกแขนเสื้อขวดโอสถสีเขียวหยกลอยเข้าไปในมือของจิวอิง จากนั้นมันกล่าวออก “เจ้านำโอสถนี้ไปใส่ไว้ในสุราและอาหารของทหารยามพวกนั้น”
ได้ยินเช่นนั้นจิวอิงรีบพยักหน้ารับคำโดยเร็ว เดิมทีมันก็เป็นนักรบของตระกูลมู่อยู่แล้ว มิตรสหายทั้งในและนอกของมันนั้นมีมากมาย จึงไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่จะเข้าถึงอาหารของคนพวกนั้นได้
ด้วยเหตุนี่ภารกิจของมัน จึงลุล่วงไปด้วยดี เมื่อดวงอาทิตย์กำลังเคลื่อนผ่านกลางศีรษะไป เสียงของทหารที่คอยเฝ้าอยู่บนทางเดินออกของตำหนักหงส์ร่วงได้เงียบลงและฟุบหน้าลงกับพื้น
หนิงเทียนและมู่เสวี่ยเดินตรงออกมาทางด้านหน้าตำหนักอย่างผ่าเผย มันหาได้สนใจร่างของทหารเหล่านั้นไม่ หนิงเทียนและมู่เสวี่ยเดินออกมานอกตระกูลมู่อย่างราบรื่นมันใช้เวลาในการหลบหนีเพียง1เค่อเท่านั้น
ระหว่างทางเดิน มู่เสวี่ยกล่าวถามหนิงเทียนออกด้วยความสงสัย “อาจารย์พวกเราจะไปนิกายเคลื่อนเมฆายังไง ถ้าพวกเราเดินเท้าหรือนั่งคาราวานจะต้องใช้เวลาในการเดินทางราวๆ20วัน
ซึ่งพวกเราจะไม่มีทางกลับมาทันงานประลองเลือกคู่ของข้าแน่นอน”
“เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่แน่ใจนัก แต่ข้าได้ยินมาว่า ไม่ไกลจากฉางผิง มีประตูมิติของอาณาจักรฟ้าสวรรค์อยู่” หนิงเทียนก้าวด้วยเสียงเรียบเฉย
มู่เสวี่ยได้ยินดังนั้นนางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยออกมา “ประตูมิติเย่อู่เหมิน มันมีไว้สำหรับผู้คนระดับสูงในทวีปฟ้าสวรรค์เท่านั้น
แต่ถ้าคนของดินแดนรอบนอกอย่างพวกเราต้องการใช้มันละก็ ค่าใช้จ่ายแต่ละครั้ง อาจจะสูงถึง500หยกนิลต่อคนเลยด้วยซ้ำ”
“500หยกนิลมากมายเสียจริง ราวกับว่าพวกมันตั้งราคาเพราะไม่ต้องการให้คนนอกได้ใช้อย่างนั้นแหละ
แต่ข้าเคยได้ยินมาว่า เจ้าสำนักร้อยพิษเคยใช้มันในการเดินทางมาที่เมืองฉางผิง แน่นอนข้าไม่เชื่อว่ามันต้องเสียเงินถึง500หยกนิล
ข้าคาดว่าประตูมิติเย่อู่เหมินจะต้องมีเงือนไขอย่างอื่นอีกแน่นอน และมันจะเป็นอะไรนั้น เมื่อพวกเราไปถึงก็จะได้รู้เองนั้นแหละ”