บทที่ 566 ข้ออ้าง(ตอนฟรี)
บทที่ 566 ข้ออ้าง
“อะไรนะ?!” ใบหน้าของโจวเฟยเฟยเปลี่ยนไปทันที เธอรีบถาม “คุณหมอคะ เมื่อกี้คุณหมอพูดว่าอะไรนะคะ?!”
“มันจะเป็นไปได้ยังไง? เมื่อกี้ฉันดูแล้ว แผลที่มือของนายน้อยโจวถูกตะเกียบแทงทะลุเท่านั้น อย่างมากก็แค่ผ่าตัด ทำไมถึงรักษาให้ใช้การเหมือนปกติไม่ได้ล่ะ?”
หมอคนนั้นส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ถ้าพูดถึงอาการบาดเจ็บ จริงๆแล้วก็แค่ผ่าตัดแล้วเย็บแผลให้ซักสองสามเข็มก็พอแล้ว แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือเราฉีดยาชาให้กับผู้ป่วยแต่มันไม่ได้ผล...”
“ยาชาไม่ได้ผล?” โจวเฟยเฟยตะลึงงัน
“ใช่ครับ ยาชาไม่ได้ผล ดังนั้นเราจึงได้แต่ปฐมพยาบาลเบื้องต้นและจัดการกับบาดแผลด้วยวิธีง่ายๆ ไม่สามารถทำการผ่าตัดผู้ป่วยได้ และตัวผู้ป่วยเองก็ไม่เห็นด้วยกับการผ่าตัด... หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป แม้ว่าอาการบาดเจ็บของเขาจะหายดี แต่กล้ามเนื้อก็จะหดเล็กลง อย่างดีหน่อยก็อาจจะพอขยับได้บ้างแต่คงหยิบจับอะไรไม่ได้ แต่ถ้าโชคร้ายก็อาจจะต้องสูญเสียมือข้างนี้ไป!” คุณหมอส่ายหน้าอีกครั้งและกล่าวว่า “เคสนี้เป็นเคสที่แปลกจริงๆ ไม่เคยเห็นคนที่ต่อต้านยาชาและดื้อยาสลบขนาดนี้มาก่อนเลย...”
ชายวัยกลางคนรีบถามว่า “คุณหมอ แล้วนอกจากการใช้ยาชา มันไม่มีทางอื่นแล้วเหรอ? ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีไหน อย่างน้อยก็ต้องรักษาฝ่ามือไว้ก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากัน! คุณหนู คุณคิดเห็นยังไง?”
“ใช่ค่ะคุณหมอ ยังไงก็หาวิธีรักษามือเอาไว้ก่อน ถ้ายาชาไม่ได้ผลจริงๆ เราก็คงไม่มีทางเลือก... คงต้องทำการรักษาไปทั้งแบบนั้นเลย คุณหมอคะ! ให้คนมาจับตัวน้องชายของฉันไว้และบังคับผ่าตัดเลยค่ะ!” โจวเฟยเฟยกัดฟันพูด
“นี่... มันเป็นการละเมิดกฎ!” หมอเจ้าของไข้รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย
โจวเฟยเฟยส่งสายตาให้ชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆเธอและค่อยๆเดินไปด้านข้าง
ชายวัยกลางคนเข้าใจทันทีและกระซิบอะไรบางอย่างกับหมอ
หลังจากนั้นไม่นาน หมอเจ้าของไข้ก็พยักหน้าอย่างจนปัญญา เขาหมุนตัวกลับเข้าไปในห้องผู้ป่วยอีกครั้ง...
“คุณหนูใหญ่ ทุกอย่างน่าจะเรียบร้อยแล้วล่ะครับ!” ชายวัยกลางคนเดินมาหยุดอยู่ข้างๆโจวเฟยเฟยและกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “คุณหนูใหญ่มีคำสั่งอะไรอีกหรือเปล่าครับ?”
“ลุงเต๋อ ช่วยฉันหาคนหน่อย... ไม่สิ ช่วยเช็กรถให้ฉันก่อนดีกว่า มันเป็นรถ BMW x6 ป้ายทะเบียนเจียงโจว....” โจวเฟยเฟยกัดฟันพูด
“คุณหนูใหญ่ พวกเราไม่ค่อยได้ทำอะไรเกี่ยวกับเจียงโจวไม่ใช่เหรอครับ? ทำไมถึงให้ตามหารถคันนี้ มีเรื่องอะไรผิดปกติหรือเปล่าครับ?” ชายวัยกลางคนถาม
“ฮึ่ม!” โจวเฟยเฟยส่งเสียงไม่พอใจในลำคอแล้วพูดอย่างโกรธแค้นว่า “เจ้าของรถคันนี้ทำให้ซื่อหลินต้องเป็นแบบนี้... แต่ฉันรู้สึกสงสัยว่าผู้ชายคนนี้อาจจะมีที่มาใหญ่มาก เราต้องหาตัวตนของเจ้าของรถคันนี้ให้ได้!”
“คุณหนูใหญ่ แต่การที่เราตรวจสอบรถ ก็ใช่ว่าจะหาข้อมูลเกี่ยวกับตัวตนของอีกฝ่ายได้...” ชายวัยกลางคนเสนออย่างลังเล “คุณหนูใหญ่ ทำไมพวกเราไม่ขอให้เพื่อนๆที่หยานจิงช่วยตรวจสอบให้ล่ะครับ คุณหนูใหญ่คิดเห็นอย่างไร?”
โจวเฟยเฟยส่ายหน้าทันที “ไม่ได้! ไม่สามารถใช้เส้นสายในหยานจิงได้ หากฉันเดาไม่ผิด กำลังหลักของอีกฝ่ายน่าจะอยู่ในหยานจิงนี่แหละ! และมันจะต้องมีมากกว่าตระกูลโจวของพวกเราอย่างแน่นอน ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ เราก็ควรตรวจสอบจากภายนอก อย่างน้อยก็เป็นการรับประกันได้ว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้ตัวว่าเรากำลังสืบเรื่องของเขาอยู่!”
“คุณหนูใหญ่คิดรอบคอบแล้ว ผมจะไปจัดการให้เดี๋ยวนี้!” ชายวัยกลางคนที่ถูกเรียกว่าลุงเต๋อพยักหน้าและกล่าวอย่างนอบน้อม
โจวเฟยเฟยพยักหน้าเล็กน้อยและพูดว่า “งั้นลุงก็ไปเถอะ แต่จำไว้นะว่าอย่าทำให้อีกฝ่ายรู้ตัวเป็นอันขาด!”
โจวเฟยเฟยมองแผ่นหลังของลุงเต๋อที่ค่อยๆเดินจากไปแล้วเธอก็อดส่ายหัวไม่ได้ เธอถอนหายใจเบาๆ และพูดกับตัวเองว่า “เมื่อไม่กี่วันก่อน ฉันเพิ่งจะกำชับซื่อหลินไม่ให้เขาสร้างปัญหา และอย่าไปล้ำเส้นจี้เฟิง... สุดท้าย เขาก็สร้างปัญหาใหญ่จนได้..”
โจวเฟยเฟยไม่เชื่อว่าถงเล่ยจะไม่รู้สถานะของตนเองกับซื่อหลิน ดังนั้นจี้เฟิงในฐานะที่เป็นแฟนของถงเล่ยก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่รู้ตัวตนของพวกเขา แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อจี้เฟิงต้องเผชิญหน้ากับซื่อหลิน เขากลับทำร้ายซื่อหลินอย่างไร้ความปรานี!
นอกจากนี้ชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆจี้เฟิงยังดูมีออร่าที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน เขาดูเป็นคุณชายเสเพลอย่างแท้จริง!
ทั้งหมดทั้งมวลนี้จึงเห็นได้ชัดเลยว่าจี้เฟิงและชายหนุ่มคนนั้นแตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน
“จ้าวหรูเยี่ยน นังบ้าเอ๊ย นี่แม้แต่ฐานะของคนที่เกี่ยวข้องก็ยังไม่รู้ แต่ยังคิดที่จะแนะนำถงเล่ยให้กับซื่อหลินอีก!” สีหน้าของโจวเฟยเฟยดูน่าเกลียดมาก “ไอ้จี้เฟิงนั่นก็ทำตัวน่ารังเกียจจริงๆ ต่อให้เป็นคุณชายอันดับหนึ่ง ก็ไม่ถือดีไล่ฉันกับซื่อหลินเหมือนหมูเหมือนหมาแบบนี้หรอก!”
คุณชายอันดับหนึ่ง...?!
จู่ๆโจวเฟยเฟยก็รู้สึกตกใจ เธอรู้สึกขนลุกอย่างช่วยไม่ได้ จี้เฟิง... สกุลจี้ ดูจากอายุแล้วเขาน่าจะไม่ใช่คุณชายอันดับหนึ่งแน่นอน แต่ในหยานจิงนั้นมีตระกูลที่มีอำนาจยิ่งใหญ่เปรียบได้กับการสั่งลมสั่งฝนได้ตามใจ ตระกูลจี้!
“หรือว่าจี้เฟิงคนนี้จะเป็นคนของตระกูลจี้จริงๆ?” คิ้วเรียวงามของโจวเฟยเฟยย่นเข้าหากัน แต่ในใจกลับมีลางสังหรณ์ไม่ดีผุดขึ้นมา ในความคิดของเธอเริ่มที่จะปักใจเชื่อแล้วว่าจี้เฟิงคนนี้อาจจะเป็นคนของตระกูลจี้จริงๆ แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ...
หัวใจของโจวเฟยเฟยจมดิ่งลงเรื่อยๆ ถ้าจี้เฟิงเป็นคนของตระกูลจี้จริงๆ ซื่อหลินคงจะเจ็บตัวฟรี ดังนั้นท่าทางที่มั่นใจของจี้เฟิงก็เข้าใจได้ไม่ยาก
ที่สำคัญกว่านั้น ถ้าจี้เฟิงเป็นคนของตระกูลจี้จริงๆ สิ่งที่ต้องคิดตอนนี้ไม่ใช่ว่าจะแก้แค้นให้กับซื่อหลินยังไง แต่ต้องคิดแล้วว่าจะลบล้างความโกรธของจี้เฟิงได้ยังไง!
แม้ว่าตระกูลจี้ไม่ใช่ตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แต่พลังอำนาจของพวกเขาก็มากพอที่จะบดบังท้องฟ้าและดวงอาทิตย์ การจะจัดการกับตระกูลโจวไม่ใช่เรื่องยาก!
บางทีเรื่องที่จี้เฟิงไล่พวกเขาเหมือนหมูเหมือนหมา นั่นอาจเรียกได้ว่าเป็นการไว้หน้าแล้ว ถ้าเขาไม่ไว้หน้า เขาอาจจะสั่งให้คนมาพาซื่อหลินออกไป...
“จ้าวหรูเยี่ยนนะจ้าวหรูเยี่ยน!” โจวเฟยเฟยแอบขมกรามแน่น นี่มันหายนะชัดๆ! ถ้าไม่ใช่เพราะยัยลิ้นสองแฉกจ้าวหรูเยี่ยนปิดบังความจริงที่ว่าถงเล่ยมีแฟนแล้วเอาไว้ แล้วมาเล่าถึงความงดงามและความดีร้อยแปดพันประการของถงเล่ยให้โจวซื่อหลินฟัง เรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น!
“ซื่อหลินเอ๊ยซื่อหลิน ไอ้น้องเวร!” โจวเฟยเฟยคิดอย่างเคียดแค้น คงต้องโทษพ่อกับแม่ที่ตามใจเขามากเกินไป สุดท้ายเขาก็กลายเป็นเด็กเอาแต่ใจเติบโตมาพร้อมกับความหยิ่งยโส จนคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่คับฟ้า ไม่อาจทนรับคำปฏิเสธของคนอื่นได้!
ผลที่ได้ก็เพราะรู้สึกเสียหน้าจากเรื่องเล็กๆน้อยๆในโรงแรมหยานจิง จึงเก็บเอาเรื่องนี้มาเป็นความแค้นอยู่ในใจ
ทั้งหมดนี้ทำให้โจวเฟยเฟยหงุดหงิดมาก แต่เธอก็รู้ดีว่าสาเหตุที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเป็นเพราะความทะเยอทะยานของคนในตระกูลโจว
หากไม่ใช่เพราะพวกเขาต้องการร่วมมือกับตระกูลเหอให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และส่งเธอมาที่หยานจิงเพื่อพยายามติดต่อสื่อสารกับเหอหงเหว่ยให้ได้มากที่สุด ก็คงจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น!
“เฮ้อ...”
โจวเฟยเฟยที่ยืนอยู่ตรงทางเดินหน้าห้องผู้ป่วยได้แต่ถอนหายใจยาว ตอนนี้เธอคิดมากไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดคือจะทำวิธีไหนให้จี้เฟิงไม่ถือสาเอาความเธอกับน้องชาย
บางครั้งชีวิตก็เป็นแบบนี้ ทั้งๆที่ตัวเองเป็นฝ่ายถูกกระทำ แต่กลับต้องไปขอโทษอีกฝ่าย ไม่อย่างนั้นก็อยู่ยาก นี่อาจจะเป็นสัจธรรมของชีวิต โจวเฟยเฟยอดไม่ได้ที่จะปลอบใจตัวเอง
“อ๊ากกก——!”
เสียงกรีดร้องดังขึ้นจากห้องผ่าตัดที่อยู่ข้างห้องผู้ป่วย เสียงร้องนี้น่าสังเวชมาก คนที่ได้ยินสามารถรับรู้ได้เลยว่าเจ้าของเสียงนั้นเจ็บปวดมากขนาดไหน แต่แล้วเสียงของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
โจวเฟยเฟยสะดุ้งตกใจทันที เสียงของซื่อหลินนี่?
จากนั้นเธอก็นึกขึ้นได้ว่าซื่อหลินกำลังรับการผ่าตัดโดยไม่ฉีดยาชาและไม่ได้ดมยาสลบ... เมื่อได้ยินเสียงร้องโหยหวนของน้องชาย ดวงตาของโจวเฟยเฟยก็กระตุก เธอกัดฟันกรอด แต่เธอไม่สามารถทนฟังได้อีกต่อไป เธอรีบเดินหนีออกไปทันที
เมื่อเดินออกมาด้านนอก โจวเฟยเฟยก็คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจถามเหอหงเหว่ย เพราะยังไงเสียตระกูลเหอก็เป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่แห่งหยานจิง ไม่แน่ว่าเขาอาจจะพอช่วยอะไรได้บ้าง
“คุณหนูโจว?” เมื่อได้รับโทรศัพท์จากโจวเฟยเฟยในช่วงเทศกาล เหอหงเหว่ยก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ “มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ?”
“สวัสดีค่ะนายน้อยเหอ ฉันมีเรื่องอยากจะถามนิดหน่อย คือวันนี้ฉันได้ไปพบกับใครบางคน เขาชื่อว่าจี้เฟิง ไม่ทราบว่านายน้อยเหอพอจะรู้จักเขาหรือเปล่าคะ?” โจวเฟยเฟยถามเสียงเบา
“จี้เฟิง?!”
เหอหงเหว่ยตกใจและถามว่า “คุณโจว คุณคงไม่ได้ไปมีปัญหากับเขาใช่มั้ย?”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงของเหอหงเหว่ยจริงจังขึ้น หัวใจของโจวเฟยเฟยก็เต้นรัว เธอพูดอย่างลังเลว่า “ไม่ใช่ฉันหรอกค่ะ แต่เป็นโจวซื่อหลิน น้องชายของฉันกับจี้เฟิง... พวกเขามีเรื่องเข้าใจผิด..”
ก่อนที่เธอจะพูดจบ เสียงที่มาจากรอยยิ้มอันขมขื่นของเหอหงเหว่ยก็ดังขึ้นจากปลายสาย “คุณโจว พวกคุณจะไปมีปัญหากับใครก็ได้ แต่ทำไมพวกคุณถึงได้ไปยุ่งกับเขาล่ะ?”
“ทำไมหรอคะ? นายน้อยเหอ! มันเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้นเลยเหรอคะ?!” โจวเฟยเฟยถามด้วยความกังวล
“มันขึ้นอยู่กับว่าพวกคุณไปยุ่งกับเขาในลักษณะไหน ถ้าเขาโกรธจริงๆ ต่อให้เป็นฉัน ก็ยังคงต้องคิดให้รอบคอบ...” เหอหงเหว่ยส่ายหัว
หัวใจของโจวเฟยเฟยจมดิ่งลงอย่างต่อเนื่อง ‘จี้เฟิงมีที่มาที่น่ากลัวจริงๆ!’
เธอยิ้มอย่างขมขื่น “นายน้อยเหอ ที่จริงแล้วมันเป็นเพียงความเข้าใจผิดกันเท่านั้น...”
เธอเล่าเรื่องทั้งหมดให้เหอหงเหว่ยฟังอย่างรวดเร็ว
เหอหงเหว่ยเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า “มันเกี่ยวกับผู้หญิงของเขา ฉันไม่กล้ารับประกันหรอกว่าเขาจะมีปฏิกิริยายังไง เอาอย่างนี้แล้วกัน ฉันจะโทรหาเขาให้ โอเคมั้ย?”
“ขอบคุณนายน้อยเหอ ขอบคุณนายน้อยเหอ!” โจวเฟยเฟยดีใจ จนกล่าวขอบคุณเหอหงเหว่ยไม่หยุด เธอกับเหอหงเหว่ยไม่ได้สนิทกันมากนัก แต่คิดไม่ถึงว่าเหอหงเหว่ยจะยอมช่วย มันเกินความคาดหมายของเธอจริงๆ
“อย่าเพิ่งรีบขอบคุณ รอฟังผลตอบรับก่อนดีกว่านะ!” เหอหงเหว่ยหัวเราะแห้งๆและวางสายทันที แต่ในใจของเขากลับแอบหัวเราะอย่างยินดี เดิมทีเขากำลังคิดอยู่เลยว่าจะหาข้ออ้างอะไรมาเชิญจี้เฟิงออกมานั่งดื่มและพูดคุยกันดี คิดไม่ถึงว่าจะมีข้ออ้างมาเสิร์ฟให้ถึงที่แบบนี้
....................
หม้อไฟกำลังเดือดพล่าน สามพี่น้องรุ่นที่สามของตระกูลจี้นั่งล้อมวงอยู่รอบหม้อไฟ พวกเขากินกันอย่างเอร็ดอร่อยและยกแก้วขึ้นดื่มอย่างสำราญใจ
“พี่ใหญ่ กินหม้อไฟในฤดูหนาวแบบนี้ มันสุดยอดมากเลยใช่มั้ยล่ะ?” จี้ช่าวเหลยยิ้ม “อีกอย่างนะ การนั่งกินหม้อไฟตามร้านข้างถนนแบบนี้ มันก็ให้ความรู้สึกดีไปอีกแบบ เหมือนมันช่วยทำให้รสชาติดีขึ้นยังไงก็ไม่รู้นะ!”
“รสชาติอาจจะไม่แตกต่างกันมาก แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือบรรยากาศและความรู้สึก!” จี้ช่าวตงยิ้ม แต่จู่ๆก็หันมาหาจี้เฟิงและพูดขึ้น “น้องสาม เรื่องดื่มเหล้า นายเป็นยังไงบ้าง?”
จี้เฟิงชะงักไป จากนั้นก็ตอบด้วยรอยยิ้ม “ก็ปกตินะครับ มีอะไรเหรอ?”
“ถ้าอย่างนั้นนายก็ควรดื่มน้อยลงหน่อยนะ!” จี้ช่าวตงยิ้ม “คราวที่แล้ว คนพวกนั้นถูกนายทำให้อับอายขายหน้าไม่น้อย นายคิดว่าคืนนี้เขาจะปล่อยนายให้รอดพ้นไปง่ายๆเหรอ?”
จี้เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่เขากลับไม่ได้รู้สึกหวั่นเกรงอะไร
ในตอนนั้นถึงแม้จะเป็นงานเลี้ยงของตระกูลจี้ และก็มีผู้คนจากตระกูลจี้มาร่วมรับประทานอาหารมากมาย และแน่นอนว่าเรื่องการชนแก้วมันเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้ มันแทบจะกลายเป็นประเพณีไปแล้ว
แต่ถ้าเมามายต่อหน้าคนเยอะแยะ ก็คงจะน่าขายหน้าน่าดู!
…จบบทที่ 566~❤️