บทที่ 101 ลวงหลอกซ้อนหลอกลวง 3
“เดียว...เดียวก่อนพ่อหนุ่มน้อย เจ้าจะรีบไปไหน เจ้าไม่สนใจจะเดิมพันมันอีกครั้งหรือ!!?”อานซือเห็นว่าหนิงเทียนกำลังหันหลังกลับมันไม่รีรอที่จะรีบกล่าวรั้งเอาไว้
สายตาของมันเวลานี้เต็มไปด้วยความโลภ 'โอสถลับที่กระเด็นออกมาจากขวดหยกนั้นก็มีถึง4เม็ดแล้ว ข้าไม่อยากคิดเลยว่าภายในขวดหยกนั้นจะมีโอสถลับอยู่อีกมากเพียงใด'
เมื่อความโลภเข้าปกคลุมจิตใจ อานซือนั้นหาได้สนใจที่มาหรือคิดสงสัยเลยว่าเหตุใดโอสถลับถึงได้มาอยู่ในมือหนิงเทียนมากมายเช่นนี้
เมื่อได้ยินคำนั้น สองขาที่กำลังก้าวออกของหนิงเทียนต้องหยุดลง มันหันกลับไปมองอานซืออีกครั้งพร้อมกล่าวขึ้นว่า “ข้าไม่มีหยกนิลเหลือพอที่จะจะเดิมพันอีกแล้ว”
“หนุ่มน้อย เมื่อครู่ข้าเห็นขวดหยกของเจ้าจึงเกิดความรู้สึกถูกใจเป็นอย่างยิ่ง เอาเช่นนี้เป็นไร เจ้าสามารถใช้โอสถภายในขวดหยกนั้นเป็นทรัพย์สินแทนหยกนิลได้
แน่นอนข้าจะให้มูลค่าของมันเทียบเท่ากับ400หยกนิลที่เจ้าสูญเสียไปเป็นอย่างไร” อานซือกล่าวด้วยวาจาที่เอนดู น้ำเสียงของมันชวนให้ผู้ที่ไม่ได้เห็นโอสถลับคิดได้ว่า มันต้องการคืนหยกนิลให้แก่หนิงเทียนด้วยความสงสาร
“ไม่..เป็นไปไม่ได้แน่นอน ภายในขวดหยกนี้ถูกอัดแน่นไปด้วยโอสถจนเต็มขวด ถึงแม้ข้าจะไม่เชี่ยวชาญในการตีราคาแต่รวมๆแล้วมันจะต้องมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1000หยกนิลแน่นอน
เถ้าแก่ข้าขอบคุณในความหวังดีของท่าน แต่เป็นตัวข้าเองที่ไม่รู้จักประมาณตนจึงได้รับความพ่ายแพ้เช่นนี้ ข้าจะจำบทเรียนราคาแพงนี้ไว้ ลาก่อน”
ขณะที่หนิงเทียนกำลังจะหันหลังกลับ อานซือตะโกนออกมา “4เท่า ข้าให้มูลค่ามัน4เท่าของหยกนิลที่เจ้าเสียให้แก่ข้า” ถึงจะกล่าวว่า4เท่าแต่นั้นก็เป็นเพียงแค่1600หยกนิลเท่านั้น
ถ้าเทียบกับขวดหยกของหนิงเทียนที่บรรจุโอสถอยู่เต็มแล้วแค่เพียงมองด้วยตาเปล่าก็สามารถคะเนมันได้ว่า มันมีไม่ต่ำกว่า40เม็ด ถ้าแบ่งขายมันเม็ดละ50หยกนิลแล้วละก็จะเป็นเงินถึง2000หยกนิลทีเดียว
เห็นได้ชัดว่าถ้าหนิงเทียนยอมรับ มันก็ไม่ต่างจากการถูกโกงตั้งแต่ยังไม่เริ่มเดิมพันด้วยซ้ำ
หนิงเทียนกำมือแน่น “ครั้งเดียว ข้าขอใช้ขวดหยกนี้เดิมพันมันอีกครั้งเดียวเท่านั้นและท่านต้องให้ข้า2000หยกนิล ถ้าเถ้าแก่ยินยอม ข้าจะรับข้อเสนอของท่าน...”
ได้ยินคำกล่าวของหนิงเทียน อานซือ อดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มออกมา ภายในใจของมันโห่ ร้องด้วยความดีใจ จะพันหรือหมื่น ต่อให้แสนหยกนิลมันก็ไม่กลัว
ถึงจะให้ ‘จอมมารฟ้า เย่ชิงอวิ๋น’ จ้าวผู้ปกครองทวีปฟ้าสวรรค์มาด้วยตัวเอง มันก็ยังมั่นใจว่า จะไม่สามารถหยิบลูกหินสีขาวได้แน่นอน
เมื่อคิดได้เช่นนั้นอานซือ พยามหุบยิ้มลงพร้อมตอบกลับ“ตกลง ข้ายอมรับเงื่อนไขของเจ้า แต่ข้าว่าเองก็มีเงื่อนไขเช่นกัน” มันมองไปยังสีหน้าของหนิงเทียนที่ดูลังเล จึงรีบกล่าวต่อ
“อย่าได้ตกใจไป เงื่อนไขของข้านั้นมันง่ายมาก แค่ตัวเจ้าต้องยอมรับในกติกาเดิมเท่านั้น”
“ดีข้ายอมรับ เช่นนั้นพวกเรามาเริ่มเดิมพันครั้งสุดท้ายกันเถอะ” หนิงเทียนตอบกลับอย่างหนักแน่น พร้อมกับนำขวดหยกออกมาจากคอเสื้อด้านใน มันยังคงกล่าวถามย้ำอีกครั้ง
“เถ้าแก่ นี้คือขวดหยกที่ภายในบรรจุโอสถที่ท่านต้องการไว้จำนวน40เม็ด ข้าได้นำมันออกมาแล้ว คราวนี้ถึงตาท่านแล้วที่จะนำหยกนิล2000ก้อนออกมาให้ข้าได้เห็นบ้าง”
อานซือหรี่ตาลงเล็กน้อย มันไม่คิดว่าคนโง่เง่าตรงหน้ามันจะไถ่ถามถึงเงินเดิมพันที่อย่างไรก็ไม่มีวันได้จับต้องเด็ดขาด จากนั้นมันปรบมือเรียกคนรับใช้ของมันออกมา
“เจ้าให้คนไปนำหีบหยกนิลในห้องลับออกมาให้พ่อหนุ่มคนนี้ได้วางใจ ว่าตู่กัวของเราไม่ได้ใช้ลมปากรับการเดิมพัน”
เวลาผ่านไปครึ่งก้านธูปเท่านั้น บุรุษที่แต่งตัวคล้ายเสี่ยวเอ้อ สองคนได้แบกหีบสมบัติขนาดเท่าตัวมันออกมาคนละหนึ่งใบ
ปัก!!!!! เสียงหีบสมบัติกระแทกลงกับพื้น เมื่อฟังจากเสียงกระแทกแล้ว น้ำหนักของสิ่งที่อยู่ภายในคงจะมีไม่ต่ำกว่า 50ชั่งแน่นอน
จากนั้นอานซือสั่งให้คนของมันเปิดหีบเผยให้เห็นหยกนิลที่วางซ้อนกันไว้อย่างเป็นระเบียบ “หนึ่งหีบถูกบรรจุไว้ด้วยหยกนิล 1000ก้อน ถ้าเจ้าสามารถหยิบลูกหินสีขาวออกมาได้ เจ้าสามารถนำมันกลับไปได้ทั้งหมด”
อานซือกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม ในครั้งนี้มันไม่ลังเลเลยที่จะนำทุนทรัพย์ทั้งหมดของมันออกมา บนใบหน้าของมันไม่ได้แสดงออกถึงความรู้สึกเกรงกลัวว่าจะสูญเสียหยกนิพวกนี้ไปเลยแม้แต่น้อย
“2000หยกนิลเป็นจำนวนที่มหาศาลจริงๆ เถ้าแก่อาน ช่างใจปล้ำเสียกระไร ถ้าเกิดฟ้าเป็นใจให้เจ้าหนุ่มนั้นชนะละก็ เห็นทีว่าตู่กัวแห่งนี้จะต้องปิดตัวลงอย่างแน่นอน” นักพนันที่ยืนอยู่ด้านข้างอุทานออกมาเมื่อพวกมันได้เห็นหีบหยกนิลนับพันๆก้อน
“กลับกันสิ่งที่อยู่ในขวดหยกนั้นจะต้องมีมูลค่ามหาศาลไม่แพ้กันอย่างแน่นอน แล้วทีนี้พวกเราจะเลือกวางเดิมพัน ฝ่ายเจ้ามือหรือผู้เล่นดี” นักพนันคนถัดไปกล่าวถามขึ้นมา
“ไม่ต้องคิดให้มากความ ตู่กัวแห่งนี้เปิดมานับสิบๆปี พวกเจ้าคิดหรือว่ามันจะถูกปิดลงเพราะฝีมือของเจ้าหนุ่มนั้น ข้าขอเดิมพันว่าเจ้ามือชนะ”
กล่าวจบนักพนันคนนั้นหยิบถุงใส่เงินของมันออกมาวางข้างอานซือ เห็นได้ชัดว่าในรอบนี้มันนั้นเดิมพันจนหมดหน้าตัก
บ่อนการพนันนั้นเป็นคล้ายกับวัฎจักร เมื่อมีคนแรกชี้นำ คนที่สองและสามจะวางเดิมพันตามอย่างไม่คิด
อานซือจดรายชื่อและจำนวนเดิมพันของนักพนันแต่ละคน ด้วยคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน มีคนเดิมพันฝ่ายมันถึง300หยกนิล นี้ไม่เท่ากับว่า มันจะต้องแบ่งเงินที่ปอกลอกมาจากหนิงเทียนให้กับนักพนันคนอื่นๆที่เดิมพันฝ่ายมันด้วยหรอกหรือ
มู่เสวี่ยจ้องมองแผ่นหลังของหนิงเทียนพร้อมคิดออกในใจ“แม้แต่อาจารย์เองที่เปี่ยมด้วยไหวพริบและความสามารถก็ยังคงก้าวไม่พ้นคำว่าศักดิ์ศรีอยู่ดี
มีเพียงเหตุผลเดียวที่ทำให้การเดิมพันดำเนินมาถึงจุดนี้ได้คืออาจารย์ของนางไม่ยอมรับความพ่ายแพ้และดึงดันที่จะสู้ต่อไป”
คิดเช่นนั้นมู่เสวี่ยจึงกล่าวขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง “อาจารย์ท่านรู้หรือไม่ว่า พวกมันทำได้อย่างไรถึงบังคับให้ท่านหยิบก้อนหินสีดำได้ทุกครั้ง”
หนิงเทียนได้เพียงแต่ส่ายหน้า “ข้าไม่ใช่นักพนัน ข้าจะไปมีความรู้เรื่องกลโกงพวกนั้นได้อย่างไร แต่เชื่อในโชคชะตาและมันคุ้มค่าที่จะลองเสี่ยงดู เจ้าไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว
หยกนิลที่ได้มาจากมู่ซวนเฟิงและจี้หลินตงให้นำมันมาเดิมพันฝ่ายข้าให้หมด” เวลานี้ใบหน้าที่ดูสับสนของหนิงเทียนกระจายหายไปจนหมดสิ้น จะมีหลงเหลือก็เพียงแต่รอยยิ้มที่มุมปากเท่านั้น
มันเป็นรอยยิ้มที่มู่เสวี่ยคุ้นเคยเป็นอย่างมาก ใช่แล้วมันเป็นรอยยิ้มเดียวกับที่เกิดขึ้นในสนามประลองอสูร เมื่อนางกวาดสายตามองไปรอบๆ ตัวของนางเย็นวาบขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว
“หรือว่า ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่อาจารย์ตั้งใจจะให้เกิดขึ้น!!!”
หนิงเทียนใช้เพียงรอยยิ้มตอบคำถามของมู่เสวี่ยเท่านั้น แต่เพียงแค่นี้ก็พอแล้วที่จะทำให้มู่เสวี่ยรับรู้ถึงคำตอบ นางรีบกล่าวถามออกมาอย่างรวดเร็ว
“แต่ว่าท่านจะเอาชนะเซียนพนันพวกนี้ได้อย่างไรกัน หรือว่าอาจารย์ท่านจับกลโกงของพวกมันได้แล้ว”
หนิงเทียนส่ายหน้าเชิงปฎิเสธแก่มู่เสวี่ย "แน่นอนว่าไม่ คนเรานั้นมีความถนัดในแต่ละด้านต่างกันไป ไม่มีทางเลยที่ข้าจะจับกลโกงของพวกมันที่คลุกคลี่ในวงพนันมาตลอดทั้งชีวิตได้ แต่ว่าเจ้าสามารถช่วยข้าให้ชนะเดิมพันได้"
"เอ๋....ข้านะหรือเป็นไปไม่ได้" มู่เสวี่ยกล่าวตอบด้วยอาการตกใจ
หนิงเทียนไม่ได้อธิบายอะไรออกมาให้ยืดยาว มันเพียงแต่โน้มตัวไปกระซิบที่ข้างหูของนางเพียงสองสามประโยคเท่านั้น ก่อนจะหันหน้าไปยังอานซือพร้อมกล่าวขึ้นมา “ข้าพร้อมแล้ว”
“ถ้าเช่นนั้นพวกเรามาเริ่มกันเถอะ” กล่าวจบอานซือยกยิ้มขึ้นมาพร้อมโบกสะบัดถุงผ้าอย่างรวดเร็ว คราวนี้มันเร่งความเร็วของมือมันให้เพิ่มขึ้นไปอีก
กรุกๆๆๆๆกรุกๆๆ เสียงของลูกหินทั้งสองกระทบกันไปมาอย่างบ้าคลั่งอยู่ชั่วเวลาหนึ่งก่อนที่มันจะหยุดลง
หนิงเทียนระบายลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ มันถูสองมือของมันเข้าหากันไปมาพร้อมแหงหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่มืดมิด
“สวรรค์ถ้าท่านมีอยู่จริง โปรดช่วยข้าให้หยิบลูกหินสีขาวขึ้นมาได้ด้วยเถอะ”
กล่าวจบหนิงเทียนใช้มือขวาล้วงมือเข้าไปในถุงผ้าด้วยสีหน้าที่มั่นใจ มันวนมืออยู่สองถึงสามรอบก่อนจะเลือกลูกหินก้อนหนึ่งออกมาจากถุงผ้า หนิงเทียนกำลูกหินก้อนนี้ไว้แน่นราวกับว่ามันนั้นเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย
อานซือยกยิ้มขึ้นมาพร้อมกล่าวออก “เจ้าหนุ่มพร้อมที่จะเปิดมันให้ทุกคนได้เห็นหรือยัง”
สิ้นเสียงของอานซือ ไม่มีใครคาดคิดว่ามู่เสวี่ยที่ยืนอยู่ด้านหลังจะเร่งลมปราณโจมตีเข้าใส่หนิงเทียนด้วยความโกรธ ฝ่ามือของนางนั้นพุ่งตรงเข้ากลางหน้าอกของหนิงเทียนอย่างเต็มกำลัง
ภายในใจของนางคิดทวนคำบอกของหนิงเทียนอย่างสงสัย ‘ถ้าอานซือพูดขึ้นมาเมื่อไรให้เจ้าฟาดฝ่ามือใส่ข้าอย่างเต็มกำลัง ข้าขอย้ำอย่าได้ออมมือเด็ดขาด’ นี้คือสิ่งที่หนิงเทียนได้กระซิบบอกตัวนางไว้เมื่อครู่นี้
“อาจารย์ท่านต้องการทำอะไรกัน” แม้มู่เสวี่ยจะสงสัยเป็นอย่างมากแต่ในฐานะศิษย์แล้วการทำตามคำสั่งของอาจารย์คือหน้าที่ของนาง
ด้วยเหตุนี้เอง นางจึงซัดฝ่ามือเข้าใส่หน้าอกของหนิงเทียนอย่างเต็มกำลัง ด้วยพลังปราณที่ฝืนฟูกลับมาอย่างครบถ้วน เท่านั้นก็เพียงพอที่จะทำให้นักพนันคนอื่นๆมองตามอย่างตกใจแล้ว
หนิงเทียนเห็นเช่นนั้นมันยกมือขวาขึ้นมาป้องกันการโจมตีของมู่เสวี่ยพร้อมกล่าวออกเสียงดัง “ท่านพี่จะทำอะไร ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าเงินจำนวนนี้ข้าขอยืมมาใช้ในการเดิมพันก่อนเท่านั้น”
มู่เสวี่ยกล่าวตอบด้วยไหวพริบ มันไม่เข้าใจว่าทำไมหนิงเทียนต้องการแสดงละครฉากนี้แต่ถึงอย่างไรเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วการไหลไปตามกระแสคงจะเป็นวิธีที่ฉลาดที่สุด
“จะ...เจ้านำสมบัติของบรรพบุรุษออกมาเพื่อเล่นการพนันเช่นนี้ไม่อายต่อฟ้าดินบ้างหรืออย่างไร ข้าจะทุบตีเจ้าเพื่อสั่งสอนแทนบรรพบุรุษที่ล่วงลับไป”
ได้ยินเช่นนั้นรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของหนิงเทียนมันรีบกล่าวเจรจากับมู่เสวี่ยอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกแก่นักพนันรอบๆ
“ทุกท่านอย่าได้ตกใจไป พี่ชายของข้าแค่โกรธข้าเล็กน้อย ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้วพวกเราได้ปรับความเข้าใจกันดีแล้ว”
อานซือได้ยินเช่นนั้นมันระบายลมหายใจขึ้นจมูกก่อนจะกล่าวขึ้นมา “ปัญหาในครอบครัวของเจ้าให้ไปสะสางกันที่อื่น แต่ตอนนี้เจ้าหนุ่มเจ้ารีบเปิดให้พวกเราเห็นถึงลูกหินในมือของเจ้าได้แล้ว พวกเราจะได้จบการเดิมพันกันเสียที”
“ท่านอานซือ แม้ข้าจะหยิบลูกหินออกมาแล้วแต่มันก็ยังไม่ได้เปิดออกแก่สายตาทุกคน ข้าจะขอยกเลิกมันได้หรือไม่ ข้ามาคิดๆดูแล้วถ้าข้าไม่สามารถหยิบลูกหินสีขาวขึ้นมาได้
ข้าอาจจะไม่สามารถทนรับความเกรี้ยวกราดของพี่ชายข้าได้แน่”หนิงเทียนกล่าวออกอย่างไม่ค่อยเต็มเสียงนัก
“เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!! เมื่อลูกเกาทัณฑ์พุ่งออกจากคันศรแล้ว เจ้าสามารถเรียกมันกลับคืนมาได้หรือไม่ การพนันของพวกเราก็เช่นกันแม้ว่ารอบนี้จะไม่ราบรื่นแต่นั้นก็เป็นเพราะคนของเจ้าเอง
ฉะนั้นคำขอของเจ้าไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นการเดิมพันรอบนี้จะต้องดำเนินต่อไป” เวลานี้น้ำเสียงของอานซือแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวขึ้นมา
หนิงเทียนระบายลมหายใจออก จากนั้นมันยกมือขวาที่กำลูกหินไว้อย่างแน่นหนาขึ้นมา เห็นได้ชัดว่ามือขวาของหนิงเทียนนั้นสั่นออกอย่างไม่สามารถหยุดลงได้ด้วยภาพเช่นนี้มันสร้างความเวทนาสงสารให้แก่นักพนันคนอื่นๆอยู่ไม่น้อย
แต่จะให้ทำอย่างไรได้ เจ้าหนุ่มนี้โลภเองที่นำพาตัวเองมาอยู่ในสถานที่แห่งนี้และคนโง่ก็ย่อมเป็นเหยื่อของคนฉลาดเสมอ
จากนั้นหนิงเทียนค่อยๆคลายมือที่กำแน่นออกจากกัน มันปรากฏให้เห็นฝุ่นผงกองหนึ่งที่กำลังไหลล่วงเป็นสายลงสู่พื้นและบางส่วนได้ฟุ้งกระจายไปตามแรงของลมที่เกิดจากธรรมชาติ
“มันเกิดอะไรขึ้น ลูกหินหายไปไหน” นักพนันคนหนึ่งกล่าวถามออกมาอย่างสงสัย
“คงเป็นเพราะการโจมตีเมื่อครู่ของพี่ชายมัน ที่ทำให้ลูกหินถูกป่นจนละเอียด แล้วทีนี้พวกเราจะทำอย่างไรกันดี”นักพนันอีกคนกล่าวออกมาอย่างสงสัย
อานซือเห็นเช่นนั้นดวงตาของมันหรี่แคบลง ภายในใจของมันเกิดคำถาม “เจ้าเด็กนี้กำลังเล่นลูกไม้อะไรกันแน่” จากนั้นมันเปิดปากขึ้นมา
"เมื่อเป็นเช่นนี้พวกเราคงไม่สามารถบอกได้ว่าเจ้านั้นหยิบลูกหินสีใดขึ้นมา มีทางเดียวคือพวกเราจะต้องเริ่มเล่นกันใหม่อีกครั้ง"
“ไม่...พวกเราไม่จำเป็นต้องเริ่มเล่นใหม่อีกครั้ง ไม่ใช่ว่าท่านเองได้กล่าวออกมาหรือว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นการเดิมพันรอบนี้จะต้องดำเนินต่อไปจนถึงบทสรุป” หนิงเทียนกล่าวค้านออกมาเสียงแข็งเวลานี้ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยความจริงจัง
อานซือขมวดคิ้วเข้าหากันพร้อมกล่าวขึ้นมา“เจ้าหนุ่มแล้วเจ้าจะเอาอย่างไร ในเมื่อลูกหินในมือของเจ้าได้สลายจนกลายเป็นผงไปแล้ว มันไม่มีวิธีใดตรวจสอบได้ว่าเดิมมันเป็นสีอะไรกันแน่”
“จะไปอยากเย็นอะไรเดิมในถุงผ้านั้นก็มีลูหินเพียงสองสีอยู่แล้ว แค่ให้ท่านเปิดถุงผ้าในมืออกมา
ถ้ามันเหลือลูกหินสีดำก็แสดงว่าลูกหินที่ข้าได้หยิบไปเมื่อครู่เป็นลูกหินสีขาว คำพูดของข้าถูกต้องหรือไม่” หนิงเทียนกล่าวออกด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
มู่เสวี่ยได้ยินเช่นนั้นดวงตาของนางเบิกกว้างจนแทบจะเด็นออกมา “มะ...มีวิธีแบบนี้ด้วยหรือ”
เมื่อได้ยินคำกล่าวของหนิงเทียนเต็มสองหูแล้ว ใบหน้าของอานซือแข็งค้างไปในทันที แน่นอนว่าถ้ามันเปิดถุงผ้าออกมา ฝ่ายที่แพ้เดิมพันต้องเป็นมันอย่างแน่นอน เพราะว่าเดิมทีแล้วภายในถุงผ้านั้นไม่ได้มีลูกหินสีขาวอยู่แต่แรกแล้ว
อานซือนั้นใช้เทคนิคลวงและหลอกในการใส่ลูกหินสีดำลงไปในถุงผ้าทั้งสองก้อน ด้วยเหตุนี้เองไม่ว่าจะให้ใครและหยิบมันออกมาเสียกี่ครั้งก็ไม่มีทางได้ลูกหินสีขาวอย่างแน่นอน...