บทที่ 94 เข้าสู่สนามประลอง
ถ้าพูดกันตามความเป็นจริงแล้ว คงไม่มีผู้ใดรู้สึกว่าความปรารถนาของซูเหวินนั้นแปลกประหลาดอะไรไปมากนัก เพียงเพราะถ้าใครได้รูปลักษณ์ประดุจนางเซียนแรกแย้มของมู่เสวี่ยก็คงไม่สามารถที่จะบังคับความลุ่มหลงภายในใจได้
วีรบุรุษเคียงคู่กับสาวงาม คำพูดนี้มักจะได้ยินอยู่ทั่วทุกแห่งในโลกหล้า ถ้าแค่มีสาวงามอยู่ในตระกูล การที่จะยกระดับของตระกูลให้ยิ่งใหญ่ขึ้นไปคงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอันใด
เวลานี้คำว่าวีรบุรุษนั้นนอกเหนือกว่าจินตนาการของมู่ซวนเฟิงไปมากนัก ยิ่งคิดมากขึ้นเพียงใดสีหน้าที่มู่ซวนเฟิงแสดงออกมายิ่งน่าเกลียดมากขึ้นทุกที
มันรีบกล่าวกับจี้หลินตงโดยขาดซึ่งความนอบน้อมเหมือนแต่ก่อน “คุณชายจี้ ท่านพร้อมจะเริ่มการประลองครั้งนี้หรือยัง?”
ใบหน้าของจี้หลินตงนั้นบิดเบี้ยวราวกับว่ากำลังทานอาจมอยู่ ถ้ามันถอยตอนนี้มันจะถูกตราหน้าว่าขี้ขลาดทันที
แต่ถ้ามันยังดื้อดึงรักษาหน้าของมันอยู่ก็เป็นอันแน่แล้วว่าเสือขาววายุของมันคงจะหนีไม่พ้นที่จะถูกวานรอัคคีของซูเหวินเผาเป็นจุลอย่างไม่ต้องสงสัย
แทบจะไม่มีเวลาให้จี้หลินตงคิดนักแม้แต่มู่ซวนเฟิงยังไม่ทันกล่าวเริ่มอันใดออกมา เสียงอันถือดีของซูเหวินเปล่งออกมาอย่างเชื่องช้า แต่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้วารนอัคคีขยับตัว
“สังหารมัน” แค่เพียงประโยคสั่นๆเท่านั้น มันส่งร่างของวานรอัคคีพุ่งไปราวกับลูกเกาทัณฑ์ ไม่ต้องใช้ท่วงทำนองในการควบคุมสัตว์อสูรเหมือนกับมู่เฉียน
แค่คำพูดเพียงคำเดียวของซูเหวินก็สามารถบ่งบอกถึงความแตกต่างในฐานะผู้ควบคุมอสูรของมันกับมู่เฉียนได้แล้ว
แม้ว่าเรื่องราวของผู้มาเยือนกอปรกับวานรอัคคีจะน่าสะพรึงถึงเพียงใดแต่การประทะกันระหว่างอสูรลมปราณนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปจะหาดูได้ง่ายๆ
ฉะนั้นพวกมันจึงลืมเลือนถึงสิ่งที่ซูเหวินต้องการและจับจ้องไปยังการต่อสู้ของเสือขาววายุและวานรอัคคี อย่างไม่วางตา
แต่ภาพที่มันได้เห็นต่อไปนี้ ทำให้ภายในใจของผู้คนตระกูลมู่รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก
มันเป็นภาพที่วานรอัคคีพุ่งร่างผ่านเสือขาววายุเท่านั้นและจู่ๆประกายไฟก็รุกขึ้นท่วมตัวของเสือขาววายุ เปลวไฟที่โหมกระหน่ำแผดเผาร่างของเดรัจฉานสีขาวจนไม่เหลือแม้แต่แก่นอสูรให้เห็น
จี้หลินตงมองไปยังภาพที่สัตว์อสูรของมันกำลังถูกเปลวเพลิงแผดเผาด้วยสีหน้าหวาดกลัว เหงื่อเม็ดใหญ่ปรากฏที่หน้าผากของมันอยู่หลายสิบเม็ด และที่แย่ยิ่งกว่าคือมันไม่สามารถกล่าวคำใดออกจากปากได้แม้แต่น้อย
ซูเหวินหรี่ตาลงพร้อมเปล่งเสียงออก “สัตว์รับใช้ยังเป็นขยะ ข้าคงไม่ต้องกล่าวถึงผู้เป็นนาย ข้าจะให้เวลาเจ้า3ลมหายใจ ข้าไม่ต้องการให้คนที่หมายปองว่าที่ภรรยาของข้ายืนอยู่เบื้องหน้าข้าอีกต่อไป หนึ่ง....”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงนับสอง บัดนี้ จี้หลินตงพุ่งร่างหนีสุดชีวิตด้วยความกลัวตาย ท่าทางของมันนั้นถึงจะน่าหัวเราะเยาะเพียงใด แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเปล่งเสียงหัวเราะออกแม้แต่คำเดียว
จากนั้นซูเหวินประกาศเกล้าออกเสียงดัง “ถ้าไม่มีใครกล้าที่จะเข้าร่วมประลองแล้ว เช่นนั้นข้าจะนำตัวว่าที่ภรรยาของข้าไป”กล่าวจบมันปลายตามองไปยังมู่เสวี่ยที่นั่งอยู่ด้านข้างของมัน
ได้ยินเช่นนั้นใบหน้าที่ขาวผ่องของมู่เสวี่ยกลับกลายเป็นจริงจังคิ้วทั้งสองของนางโก่งโค้งขึ้นมาทันที แต่ทว่าสีหน้าโดยรวมของนางยังคงไว้ซึ่งความเย็นชาไม่เปลี่ยน แม้ว่าคำพูดและเป้าหมายของซูเหวินจะพุ่งตรงมาที่นางก็ตามที
กลับกันเวลานี้สีหน้าของหนิงเทียนกลายเป็นสงบนิ่ง ความอำมหิตเพียงชั่วครู่ฉายออกมาจากดวงตาของมัน จากนั้นมันจึงกล่าวออกด้วยเสียงราบเรียบหาได้มีความตื่นกลัวในน้ำเสียงแม้แต่น้อย
“โอ้? ในเรื่องราวของความรักนั้นช่างสับสนซับซ้อนยิ่งนัก คุณหนูใหญ่ของข้าเติบโตขึ้นในตระกูลมู่ เลือดเป็นของบิดา เนื้อเป็นของมารดา การที่จะแต่งงานออกเรือนนั้นต้องถามความเห็นชอบจากผู้ที่มอบเลือดและให้เนื้อเป็นอันดับแรก
มันคงจะไม่ใช่สิ่งที่ท่านจะใช้เพียงแค่คำพูดเลื่อนลอยและประลองง่ายๆมาแบบนี้มาตัดสินได้”
“หืมม์ เจ้าเป็นใคร!!” ซูเหวินรีบเปลี่ยนสายตาไปหนิงเทียนทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น
“คุณชายซูเหวิน ข้าเป็นเพียงข้ารับใช้ธรรมดาของคุณหนูเท่านั้น แต่ถึงแม้ข้าจะเป็นเพียงข้ารับใช้ วันนี้ข้าคงต้องกล่าวคัดค้านอย่างแน่นอน
การแต่งงานสำหรับสตรีแล้ว ถ้าไม่เข้าตามตรอกออกทางประตูเห็นทีว่าจะไม่สมควร ตัวท่านที่มั่นใจในพลังฝีมือของตัวเองเหตุใดถึงไม่รออีก10วันและมาเข้าร่วมงานประลองอย่างสมเกียรติละ
เวลานั้นเมื่อท่านเอาชนะทุกคนได้จะไม่มีใครกล้ากล่าวค้านท่านอย่างแน่นอน”หนิงเทียนกล่าวออกพร้อมก้าวไปหยุดยืนด้านหน้ามู่เสวี่ย
บุรุษวัยหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังซูเหวินเอียงคอเล็กน้อยพร้อมกล่าวออกแก่หนิงเทียน“พี่ชายท่านนี้ เหตุใดถึงจะต้องรอให้เสียเวลาด้วย
ในเมื่อศิษย์พี่ของข้าเป็นถึงศิษย์สายหลักของนิกายท่องนภา เหมาะสมไปด้วยสติปัญญาและพลังฝึกตน การที่คุณหนูใหญ่ของพวกท่านได้แต่งงานกับศิษย์พี่ของข้านั้น นับว่าเป็นผลดีแก่ตัวนางเองเสียมากกว่า”
จากนั้นมันกวาดสายตามองไปรอบ และกล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “ถ้าข้าคาดคะเนไม่ผิด จากที่นั่งของคุณหนูใหญ่แล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่ได้การต้อนรับอย่างดีแม้แต่ในครอบครัวของตัวเองจริงหรือไม่?”
แค่เพียงการกวาดตามองและพิจารณาเพียงแค่ตำแหน่งที่มู่เสวี่ยนั่งอยู่ บุรุษวัยหนุ่มผู้นี้กลับคาดการณ์ถึงสถานะในตระกูลมู่ของนางได้อย่างแม่นยำ
ได้ยินเช่นนั้น หนิงเทียนหรี่ตาลงเล็กน้อย 'เห็นทีบุรุษที่ชื่อซูเหวินจะดูอันตรายน้อยกว่าเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังมันเสียอีก' จากนั้นมันมองลึกอยู่ชั่วครู่ก่อนจะยิ้มออกมาพร้อมกล่าวต่อ
“ท่านพูดเช่นนี้ก็ไม่ถูกต้องนัก นิกายท่องนภาของท่านก็เป็นหนึ่งในหลายๆขุมอำนาจในอาณาจักรฟ้าสวรรค์เท่านั้นและยังเป็นเพียงเอ้อร์เทียนโหลว ขั้นที่2จากทั้งหมด10ขั้นเท่านั้นเอง
ท่านแน่ใจได้อย่างไรว่าผู้คนอื่นๆในอาณาจักรฟ้าสวรรค์จะไม่ล่วงรู้ถึงข่าวสารที่ตระกูลของเราได้ป่าวประกาศออกไป มันอาจจะมี ซาน ซื่อ อู่ ลิ่ว เทียนโหลว(ขั้นที่3 4 5 6) สนใจจะเข้าร่วมก็ได้”
ปัง!!! เท้าที่ลอยเหนืออากาศอยู่ไม่กี่ชุนของซูเหวินเหยียบย่ำลงสู่พื้นเสียงดังพร้อมกล่าวออกอย่างดุร้าย
“บัดซบ เจ้ากล้าดูถูกนิกายท่องนภาของพวกเรา” กล่าวจบพลังปราณในระดับวีรชนขั้นที่5 คละคลุ้งกระจายไปทั่วทั้งบริเวณถึงแม้ระดับฝึกตนของมันจะเทียบเท่ากับมู่ซวนเฟิง
แต่ความเข้มข้นในพลังปราณของซูเหวินนั้นห่างชั้นจากมู่ซวนเฟิงจนไม่สามารถเอามาเทียบกันได้เลย
“ศิษย์พี่ใจเย็นลงก่อนเรามาที่นี้โดยไม่ได้บอกอาจารย์ ถ้าเราก่อเรื่องละก็ท่านประมุขได้หักแต้มของพวกเราจนหมดแน่ๆ”
บุรุษหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังซูเหวินรีบกล่าวเตือน จากนั้นมันจึงมองไปยังหนิงเทียนด้วยดวงตาที่หรี่แคบลงพร้อมกับกล่าวออก
“ในสายตาข้าเจ้านั้นดูไม่เหมือนข้ารับใช้ธรรมดา ข้ามีนามว่า จิงอวี่ ยินดีที่ได้รู้จัก ข้ามั่นใจว่าในอนาคตพวกเราคงจะได้สนทนากันมากกว่านี้แน่นอน
แต่ว่าเรื่องในครั้งนี้แม้พวกเราจะทำไม่ถูกแต่จะกล่าวว่าพวกเราผิดนั้นคงไม่ได้เช่นกัน บิดาคือเลือด มารดาคือเนื้อไม่ใช่คำกล่าวที่ผิดไป
แต่นอกเหนือจากบิดา ยังมีอาจารย์และญาติผู้ใหญ่ที่จะตัดสินใจการออกเรือนของสตรีได้ และเมื่อครู่พวกเราก็ได้รับคำตอบรับจากผู้นำตระกูลมู่แล้ว
พวกเรายินยอมใช้ที่จะใช้ป้ายเทพท่องนภาเป็นเงือนไขในการเดิมพันและผลของการเดิมพันก็เป็นฝ่ายเราที่ชนะ ฉะนั้นการที่พวกเราจะนำตัวคุณหนูใหญ่ไปนั้น คงจะไม่ใช่ความผิดของพวกเราจริงหรือไม่?” จิงอวี่กล่าวด้วยรอยยิ้มที่ประดับบนหน้า
ด้วยคำกล่าวและวิธีคิดของจิงอวี่นั้นทำให้คิ้วทั้งคู่ของหนิงเทียนขมวดเข้ากันทันที ผู้ที่ฉาบร้อยยิ้มซ่อนดาบเอาไว้เช่นนี้ไม่ใช่พวกที่จะรับมือได้ง่ายๆ
“ศิษย์น้องพวกเรา จะเสียเวลาพูดกับพวกชั้นต่ำเช่นนี้ทำไมกัน?” ซูเหวินส่งเสียงผ่านลมปราณอย่างสงสัย ด้วยอำนาจและศักดิ์ศรีของพวกมันแล้ว
การกระทำเช่นนี้นับว่าเสียเวลา แม้แรกเริ่มพวกมันจะใช้คำพูดที่เป็นไปตามมารยาท แต่เนื้อแท้แล้วพวกมันไม่จำเป็นต้องเกรงใจใครในที่แห่งนี้แม้แต่คนเดียว
“ศิษย์พี่ ข้ารับใช้คนนี้แปลก...แปลกเกินไป ไม่ว่าข้าจะมองลึกลงไปอย่างไรกลับไม่พบตัวตนของมันแม้แต่น้อย
เหมือนกันว่าภายในของมันนั้นเป็นห้วงทะเลลึกที่มืดสนิทและด้วยทีท่าและน้ำเสียงของมัน แม้จะกล่าวกับพวกเราด้วยคำพูดที่เกรงกลัวในเกรียติและแท้จริงแล้วมันไม่มีความกลัวหรือเกรงใจพวกเราเลยแม้แต่น้อย
ถ้ามันไม่ใช่คนบ้า มันก็ต้องมีความลับที่ซ่อนอยู่แน่นอน” จิงอวี่กล่าวตอบด้วยเสียงที่ได้ยินแค่เพียงสองคน
ดวงตาของซูเหวินหรี่แคบทันที “เจ้าจะบอกข้าว่า จิตสังหารที่น่าสะพรึงเมื่อยามแรกที่เราก้าวเข้ามาตระกูลแห่งนี้เป็นของมันอย่างนั้น?”
“ใช่...หรืออาจจะไม่ใช่ แต่อย่างน้อยๆข้าแน่ใจว่าในที่แห่งนี้มีตัวตนที่ปลดปล่อยจิตสังหารได้เทียมฟ้า ซ่อนตัวอยู่อย่างแน่นอน”
“เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด เห็นได้ชัดว่าขยะที่กล้ามายืนกล่าวต่อหน้าพวกเราเป็นแค่พวกพิการไร้ลมปราณเท่านั้น” ซูเหวินยังกล่าวออกอย่างไม่เชื่อดีนัก
“แน่นอนข้าก็ไม่คิดว่าเป็นมันผู้นี้ แต่ความรู้สึกของข้าบอกได้ว่า ถึงจะไม่ใช่มัน แต่มันจะต้องเกี่ยวข้องและรู้จักกับยอดฝีมือที่ปลดปล่อยจิตสังหารขนาดนั้นออกมาได้แน่
และที่สำคัญศิษย์พี่ ท่านอย่าลืมพวกเราออกจากอาณาจักรฟ้าสวรรค์เพื่อมาทำภารกิจของสำนักเท่านั้น การจะไปก่อเรื่องสร้างศัตรูที่พวกเรายังไม่รู้จักตัวตนของมัน ดูท่าว่าจะเป็นเรื่องที่ไม่สมควรนัก”
จินอวี่กล่าวอธิบายทางลมปราณแก่ศิษย์พี่ของมัน แม้พวกมันจะคิดว่าการสนทนานี้มีเพียงมันสองคนเท่านั้นที่ได้ยินแต่นั้นเป็นความคิดที่ผิด
ทักษะลับมากมายที่หนิงเทียนได้ร่ำเรียนมาจาก 'ทูตมรณะจูซง' ผู้ที่ยืนอยู่เหนือจุดสูงสุดของนักฆ่าทั้งปวง ศาสตร์การรอบสังหารทุกชนิดไม่เว้นแม้แต่การดักฟัง บิดาสี่ของมันได้กรอกเข้าหูมาตั้งแต่หนิงเทียนยังเด็กแล้ว
ครั้งนี้การจะจับสัญญาลมปราณฟังพวกมันคุยกันนั้นไม่ใช่เรื่องยากเย็นอันใด
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้หนิงเทียนต้องขมวดคิ้วและจ้องมองไปยังพวกมันทั้งคู่และพิจารณาพวกมันใหม่อีกครั้งหนึ่ง เพียงเพราะมันไม่คิดว่าจิตสังหารที่มันจงใจปล่อยใส่หมาป่ารัตติกาลนั้นจะถูกรับรู้ได้จากผู้มาเยือนทั้งสอง
เวลาเดียวกันเสียงที่ใสกังวาลดังออกมาจากปากของมู่เสวี่ย“จากคำพูดของคุณชายจิงอวี่แล้ว มีทางเดียวคือผู้เยาว์ของตระกูลเราจะต้องเอาชนะวานรอัคคีนั้นให้ได้?”
จิงอวี่พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูใหญ่ท่านเข้าใจได้ถูกต้องแล้วเป็นตัวของผู้นำมู่เองที่รับการเดิมพันของพวกเราและพวกเรายังคงยืนยันคำเดิม
ถ้าพวกท่านมีผู้เยาว์คนใดเอาชนะสัตว์อสูรของศิษย์พี่ข้าได้ ป้ายเทพท่องนภาจะเป็นของตระกูลมู่และพวกเราจะกลับไปโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ”
ซูเหวินเงยหน้าหัวเราะออกเสียงดัง “ข้าเกรงแต่ว่าผู้เยาว์ของตระกูลมู่จะมีแต่พวกขี้ขลาดตาขาวจนไม่กล้าแม้แต่จะเดินเฉียดสนามประลองนะสิ
ตั้งแต่ข้าได้ก้าวเข้าสู่เมืองฉางผิงแห่งนี้ ข้าได้ยินถึงความตกต่ำของตระกูลพวกเจ้ามามากมายยิ่งนัก หลังจากที่ได้พบกับตัวเองก็ไม่ผิดไปจากที่คิดจริงๆ
เอาละข้าจะทนรอเพียง10ลมหายใจเท่านั้นถ้ายังไม่มีใครก้าวเข้ามาประลอง พวกเราจะนำตัวคุณหนูใหญ่ของพวกเจ้าไปอย่างชอบในกฎที่พวกเราได้ตกลงกันไว้”
แม้ซูเหวินจะกล่าวออกด้วยความยโสแต่มันก็ยังไม่วายจะกล่าวอ้างถึงกฎเดิมพันด้วยความระวังตัวจากผู้ที่มองไม่เห็นในเงามืด
มู่เสวี่ยได้ยินเช่นนั้นสองมือของนางกำแน่นด้วยโทสะ ด้วยคำพูดที่โอหังของผู้มาเยือนราวกับว่าตัวนางเป็นเพียงสิ่งของที่ใช้ในการเดิมพันเท่านั้น
แต่ถึงอย่างไรตัวตนของทั้งคู่ก็ยิ่งใหญ่เกินไป นางจึงทำได้แค่เพียงกำมือแน่น ฟันสีขาวกัดลงไปบนริมสีปากอย่างจนใจ
หนิงเทียนมองไปโดยรอบพร้อมถอนหายใจออกมา มันบ่นอยู่ในใจเพียงคนเดียว'พ่อบ้านมู่ ตระกูลของท่านนี้รวมตัวพวกขี้ขลาดชัดๆ'
จากนั้นมันจึงกล่าวขึ้นว่า“ตัวข้าแม้จะพิการด้วยลมปราณซ้ำพลังบ่มเพาะยังน้อยนิด แต่เมื่อคุณหนูของข้ากำลังลำบาก ข้าผู้เป็นบ่าวไหนเลยจะเพิกเฉยได้”
“เพิกเฉย? หรือเจ้าต้องการที่จะก้าวลงสู่สนามประลองอสูร” ซูเหวินยกยิ้มออกพร้อมใช้ดวงตาที่หรี่แคบจับจ้องไปยังหนิงเทียน
หนิงเทียนหาได้ตอบคำถามของซูเหวินไม่ แต่การกระทำของมันนั้นเป็นคำตอบที่ดีแก่คนทุกคน สิ้นคำกล่าวของซูเหวิน หนิงเทียนค่อยๆย่างเท้าเดินเข้าสู่สนามประลองอสูรอย่างเชื่องช้า
มันกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม“สวรรค์เบื้องบนโปรดมอบโชคชะตาให้แก่ข้าด้วย”
เมื่อเห็นหนิงเทียนกำลังก้าวเข้าสู่สนามประลอง มู่เสวี่ยเปิดปากของมันขึ้นทันที เวลานี้ใบหน้าที่เคยเย็นชากลับกลายมาเป็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยอารมณ์ “หยางกวง ท่านอย่าได้ทำอะไรที่เสี่ยงเกินตัว…”
คำพูดของมู่เสวี่ยเหมือนกับลมที่ลอยผ่านหูของหนิงเทียน มันหาได้ฟังในคำกล่าวเตือนไม่ จะมีเพียงแต่มุมปากเท่านั้นที่หันมายกยิ้มให้แก่มู่เสวี่ย