MDB ตอนที่ 2 ทุกคนคอยแต่จะรังแกฉัน
ชายคนหนึ่งสวมชุดผู้ประเมินสัตว์วิเศษฝึกหัดยืนอยู่ข้างนอกด้วยใบหน้าที่ดูถูกเหยียดหยาม
หลินจินมองเพียงแวบเดียวความทรงจำมากมายก็ผุดขึ้นในจิตใจของเขา
จางเฮอ ผู้ประเมินสัตว์วิเศษฝึกหัดในเมืองเมเปิ้ล เขาเคยเป็นลูกศิษย์ของหลินจินแต่เขาทรยศต่างหลินจิน สาเหตุเป็นเพราะจางเฮอสังเกตเห็นความไม่พอใจของหัวหน้าหวังจีที่มีต่อหลินจิน เขาตอบแทนความเมตตาของหลินจินด้วยความเป็นศัตรู
โดยทั่วไปแล้ว ผู้ประเมินสัตว์วิเศษฝึกหัดมีตำแหน่งต่ำกว่าควรมีความเกรงใจและให้ความเคารพต่อผู้ประเมินสัตว์วิเศษทางการ
แต่มันก็มีข้อยกเว้น
และหลินจินก็เป็นข้อยกเว้นที่ว่านั่น ทุกคนในสมาคมรู้ถึงสถานะความสัมพันธ์ปัจจุบันของหลินจินกับหัวหน้าหวังจี ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ว่าเขาจะอยู่ที่นี่ไม่นาน ตำแหน่งผู้ประเมินสัตว์วิเศษทางการของเขาอยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนอันเนื่องมาจาก 'อุบัติเหตุการประเมินสัตว์วิเศษ' ดังนั้น เด็กฝึกงานบางคนจึงหมดความนับถือต่อเขาแต่ก็ยังแสดงมารยาทขั้นพื้นฐานแก่เขา
แต่จางเฮอไม่สนใจที่จะแสดงความสุภาพใด ๆ แก่เขาเลย
เมื่อเขามาถึงครั้งแรก หลินจินก็พาเขาไปเลี้ยงและดูแลเขาอย่างดี จางเฮอจึงหลบภัยอยู่ใต้ปีกของเขาและตามเขาไปทุกหนทุกแห่งแต่หลังจากที่เห็นว่าหัวหน้าหวังจีคอยข่มแหงหลินจิน เมื่อเห็นท่าไม่ดี เด็กฝึกงานก็ตัดสัมพันธ์ทั้งหมดกับหลินจินทันทีและเอนตัวไปทางหัวหน้าหวังจี ทำทีราวกับว่าพวกเขาไม่เคยพบกันและตอบแทนความใจดีที่หลินจินหยิบยื่นให้ด้วยความเกลียดชังอันไม่มีที่สิ้นสุด
จ้าวหยิงอ้าปากจะพูดอะไรบางอย่างแต่เธอก็หยุดตัวเองไว้
แม้ว่าหลินจินจะล้มเหลวในฐานะผู้ประเมินสัตว์วิเศษแต่เขายังมีตำแหน่งสูงกว่า การดูหมิ่นระดับนี้เป็นเรื่องร้ายแรงและต้องถูกลงโทษ
เธอไม่รู้ว่าจางเหอจงใจทำตัวแบบนี้ สำหรับทุกการกระทำที่แสดงออกต่อ 'ผู้ประเมินสัตว์วิเศษทางการ' อย่างหลินจิน เขาสามารถได้รับการหนุนหลังจากหัวหน้าหวังจีซึ่งคอยผลักดันให้เขาดูถูกหลินจินอย่างไร้ความปราณีมากขึ้น
บุคคลที่มีชื่อเสียงซึ่งสูญเสียอำนาจของเขานั้นด้อยกว่าสามัญชน ถึงจะดูหมิ่นเขา เขาก็ทำอะไรไม่ได้
หลินจินรู้ว่าชายผู้นี้มาเพื่อก่อปัญหา ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจที่จะตอบโต้จางเฮอ ท้ายที่สุด หลินจินเพิ่งจะทะลุมิติมาอยู่โลกนี้มาหมาด ๆ เขาจะไม่กลับไปใช้ชีวิตเดิมของเขาอีกต่อไป แม้ว่าจิตใจของเขาจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่ส่วนเล็ก ๆ ของเขาก็ยังรู้สึกสงสัย หลงทางและสับสน เขาจะมีพลังเหลือเฟือที่จะจัดการกับจางเฮอที่อารมณ์เกี้ยวกราดเช่นนี้ได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตาม จางเฮอไม่เต็มใจที่จะปล่อยเรื่องหลินจินไป
ด้านหลังของเขามีคนอื่น ๆ อีกหลายคนที่นำสัตว์เลี้ยงสองตัวที่ยังไม่ได้ทำพันธสัญญาโลหิต เห็นได้ชัดว่าพวกเขามาที่นี่เพื่อขอคำแนะนำจากผู้ประเมินสัตว์วิเศษ
แม้กระทั่งระหว่างสายพันธุ์เดียวกัน สัตว์วิเศษก็มีระดับ คุณสมบัติและศักยภาพที่แตกต่างกัน ดังนั้น กระบวนการในการเลือกสัตว์วิเศษมาเลี้ยงจึงมีความสำคัญเป็นพิเศษและในที่นี้ก็คือคุณค่าของผู้ประเมินสัตว์วิเศษ
สมาคมประเมินผู้ประเมินสัตว์วิเศษจะมีผู้คนมากมายเข้าแถวหน้าทุกวันเพื่อขอคำแนะนำ เช่นเดียวกับแพทย์ในโรงพยาบาล ผู้ประเมินสัตว์วิเศษมีคุณสมบัติและศักดิ์ศรีสูงกว่าจะหาได้ยากกว่าในขณะที่บางคนพยายามดึงดูดผู้ป่วย
สำหรับหลินจิน ผู้คนไม่สนใจเขาอีกต่อไป บรรดาผู้ที่แสวงหาบริการของเขาเป็นเพียงชนชั้นล่างที่ทำงานหนัก
ก่อนหน้านี้ ในฐานะผู้ประเมินสัตว์วิเศษทางการ เขามีลูกค้าไม่กี่คนที่คอยขอคำแนะนำแต่หลังจากที่ข่าวลือแพร่สะพัดเกี่ยวกับ 'อุบัติเหตุการประเมินสัตว์วิเศษ' เมื่อสองวันก่อน ก็ไม่มีใครเข้าหาเขาอีกต่อไป
พวกเขาแค่ต้องการสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับอนาคตของพวกเขาเท่านั้น…
“ให้ข้าแนะนำ นี่คือผู้ประเมินสัตว์วิเศษที่มีชื่อเสียง หลินจิน เขาเป็นผู้ประเมินสัตว์วิเศษที่ผ่านการรับรองและเขาก็เก่งกว่าข้ามาก ทำไมไม่ให้เขาดูสัตว์วิเศษของพวกเจ้าล่ะ”
จางเฮอประกาศสิ่งนี้โดยตั้งใจ
ข่าวของเหตุการณ์ในวันนั้นได้แพร่ระบาดมาระยะหนึ่งแล้ว หลายคนจึงรู้ว่าผู้ประเมินสัตว์วิเศษที่ผิดศีลธรรมและอนาถานี้มีอยู่ในสมาคมประเมินสัตว์วิเศษของเมืองเมเปิ้ล ถ้าหมอเป็นคนทำให้คนไข้ของเขาถึงแก่ความตาย คนใดยังกล้าปรึกษาหมอคนนี้อยู่?
เช่นเดียวกันสำหรับการประเมินสัตว์วิเศษด้วย
ทั้งกลุ่มส่ายหัวทันที “ผู้ประเมินจาง ได้โปรดอย่าล้อเล่นสิ เราต้องการมาหาท่านเท่านั้น…เราอย่าไปรบกวนผู้ประเมินหลินดีกว่า”
แม้อีกฝ่ายจะกล่าวอย่างสุภาพแต่ใจความระหว่างบรรทัดบ่งบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการให้หลินจินประเมินสัตว์วิเศษของพวกเขา
การที่ลูกค้าต้องการใช้บริการจากผู้ฝึกหัดมากกว่าผู้ประเมินทางการเป็นเพียงความอัปยศที่โจ่งแจ้งสำหรับหลินจิน
และมันเป็นความตั้งใจของจางเฮอที่จัดฉากนี้ขึ้นมา
การดูหมิ่นผู้มีพระคุณของเขาคือวิธีการของจางเฮอ นอกจากเขาจะรู้สึกพึงพอใจแล้ว หัวหน้าหวังจีก็พอใจเช่นกัน
ถึงหลินจินจะโกรธแต่แล้วไง? สุดท้าย เขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
โดยปกติแล้วเมื่อจางเฮอยั่วยุหลินจิน เขาจะตอบสนองด้วยความฉุนเฉียวอย่างเงียบ ๆ แต่คราวนี้แตกต่างออกไป
หลินจินดูสงบเสงี่ยมไร้ร่องรอยของความหงุดหงิด เขาจ้องไปที่จางเฮอชั่วครู่ก่อนที่จะพยักหน้า “แม้ว่าข้าจะยุ่งกับงานแต่ข้ายังมีเวลาว่างพอที่จะช่วยชี้แนะเจ้า ศิษย์จาง”
หลินจินเน้นที่ 'ศิษย์' เสียงดัง เห็นได้ชัดว่าจางเฮอตกตะลึง จางเฮอไม่เคยคิดว่าหลินจินจะโต้กลับ ดังนั้นการแสดงออกที่เย่อหยิ่งของเขาจึงมืดลงในทันที ความอับอายจากการได้ยินคำว่า 'ชี้แนะ' ยิ่งทำให้ความโกรธในตัวเขาเดือดดาลมากขึ้นไปอีก
เขาเคยเรียนรู้จากหลินจินและถือเป็นศิษย์ของเขา การทรยศหักหลัง พฤติกรรมเนรคุณ การดูหมิ่นและแม้กระทั่งการต่อต้านหลินจินที่เขาทำไปเขาก็หวังว่ามันสามารถลบส่วนที่ 'น่าละอาย' นี้ออกจากภูมิหลังของเขาได้
ตอนนี้หลินจินกำลังพูดถึงเรื่องในอดีตเขาและเปิดเผยรอยแผลเป็นของเขาต่อสาธารณชน จางเฮอจะไม่โกรธได้อย่างไร?
"ชี้แนะข้า? เจ้ามีค่าพอที่จะทำหรือหลินจิน? ทำไมเจ้าไม่ลองดูสถานการณ์ปัจจุบันของเจ้าล่ะ? เจ้ากำลังจมอยู่ในความทุกข์ยากของตัวเอง แต่เจ้ายังกล้าที่จะพูดเรื่องน่าละอายเช่นนี้ออกมา!” จางเฮอสลัดคราบพิธีการทั้งหมดออกไป ท้ายที่สุด เมื่อหัวหน้าหวังหนุนหลังเขา เขาจึงไม่ต้องกังวลว่าสิ่งที่เขาทำจะดูไม่ดีก็ตาม
หลินจินยังคงไม่สะทกสะท้าน จากสิ่งที่เขาจำได้ จางเฮอมีอารมณ์ฉุนเฉียวและโมโหง่าย ดังนั้นสิ่งที่หลินจินกล่าวก่อนหน้านี้มีจุดประสงค์บางอย่าง
เขาไม่ใช่พรมเช็ดเท้าที่ถูกย่ำยีอย่างที่เขาเคยเป็นอีกต่อไป หลินจินตอนนี้เป็นคนพยาบาทและจะจัดการเรื่องต่าง ๆ ในทันที ดังนั้นความแค้นของเขาจะไม่คงอยู่ชั่วข้ามคืน
“จางเฮอ เจ้าอย่าหลงลืมไป เจ้าเคยเป็นลูกศิษย์ของข้า ทักษะการประเมินสัตว์วิเศษของเจ้ามาจากข้า แม้ว่าเจ้าจะรู้สึกขอบคุณมากจนถึงขั้นที่เจ้ารังควานข้าที่เป็นอาจารย์เพื่อประโยชน์ของเจ้าแต่ข้าก็ยังใจดีพอที่จะให้อภัยเจ้า เรื่องมันนานมากแล้วและดูเหมือนว่าเจ้ายังไม่ดีขึ้นเลย ดังนั้นข้าจึงคิดที่จะยกเว้นเรื่แงในอดีตเพื่อกลับมาสอนเจ้า หากเจ้าไม่เต็มใจที่จะยอมรับมัน มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้”
ทัศนคติอันใจกว้างของหลินจินดั่งปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ทำให้ทุกคนต้องอ้าปากค้าง
แน่นอนว่าจางเฮอไม่ใช่คนดีนักแต่หลินจินก็มีสิทธิ์ที่จะปกป้องตัวเองเช่นกัน แม้ว่าเหตุการณ์การประเมินพลาดยังไม่ได้รับการแก้ไขดังนั้นเขาไม่กล้าทำอะไรมาก เขาต้องอดทนขนาดไหนถึงจะสงบได้เหมือนตอนนี้?
ตอนนี้ใบหน้าของจางเฮอเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธ เขาไม่ใช่คนงี่เง่าและสามารถบอกได้ว่าหลินจินตั้งใจยั่วยุเขา ดังนั้นเขาจะต้องไม่ตกพรางที่อยู่ตรงหน้า หากเขาทำอะไรที่มันเกินไป เขาจะต้องรับผิดชอบในการก่อปัญหา
ไม่ว่าอย่างไร เขาจะเป็นแค่เด็กฝึกงานและหลินจินยังคงเป็นผู้ประเมินสัตว์วิเศษทางการ
จางเฮอพยาพยามระงับความโกรธได้มากที่สุด จากนั้น ความคิดก็เข้ามาในหัวของเขา
“หลินจินทุกคนรู้ถึงความสามารถของเจ้าในฐานะผู้ประเมินสัตว์วิเศษ ดังนั้นเราไม่ต้องการคำแนะนำอะไร หากเจ้ามีความกล้าก็มาเดิมพันกันแต่ข้าเกรงว่าเจ้าคงจะขี้ขลาดเกินกว่าจะยอมรับคำท้า” จางเฮอพูดอย่างท้าทาย
“เดิมพัน เดิมพันแบบไหน?” หลินจินถาม
“แค่ดูสัตว์วิเศษสองตัวนี้ ในฐานะผู้ประเมิน การประเมินสายพันธุ์ของสัตว์วิเศษ สายเลือดและคุณสมบัติของสัตว์วิเศษนั้นเป็นเรื่องพื้นฐาน มาแข่งขันกันดูว่าการประเมินของใครครอบคลุมและแม่นยำกว่ากัน พร้อมให้คำแนะนำที่เหมาะสมแก่เจ้าของ หากเจ้าแพ้ เจ้าจะต้องยอมรับในที่สาธารณะว่าทักษะของเจ้าด้อยกว่าของข้าและเจ้าจะไม่ได้รับอนุญาตพูดเรื่องในอดีตอีก” จางเฮอกัดฟันกล่าวออกมา
แม้เขาจะดูเดือดดาลแต่แววตาอันเจ้าเล่ห์ก็แวบเข้ามาในดวงตาของเขา
โดยปกติเด็กฝึกงานเช่นเขาจะเสียเปรียบเมื่อต้องต่อสู้กับผู้ประเมินสัตว์วิเศษทางการ แต่ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้คนทั่วไปต่างมองว่าหลินจินได้รับการประเมินเป็นผู้ประเมินสัตว์วิเศษทางการเพราะโชคช่วย ทักษะของชายผู้นั้นต่ำต้อยและด้อยประสิทธิภาพ
ในขณะที่จางเฮอมีความรู้และทักษะของเขาในการประเมินสัตว์วิเศษก็น่าทึ่ง ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่มีฝูงชนมาเรียกร้องขอใช้บริการของเขา
ยิ่งไปกว่านั้น จางเฮอยังได้ตรวจสอบสัตว์วิเศษสองตัวนี้อย่างละเอียดแล้วและพบว่าหนึ่งในนั้นมีสายเลือดที่ซ่อนอยู่ มีเพียงผู้ประเมินที่มีความสามารถพิเศษเท่านั้นที่สามารถตรวจพบข้อเท็จจริงดังกล่าวได้และจางเฮอได้รับเทคนิคการระบุที่ไม่เหมือนใคร มันมาจากการเรียนกับหัวหน้าหวังจี นอกเหนือจากประสบการณ์ภายใต้การดูแลของหลินจินแล้ว เขาคุ้นเคยกับวิธีการประเมินของหลินจินและรู้ขอบเขตความสามารถของเขา เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสังเกตเห็นสายเลือดที่ซ่อนอยู่ในสัตว์วิเศษตัวนี้ในเวลาอันสั้น ดังนั้นจางเฮอจึงกำชัยชนะอยู่ในมือก่อนที่จะเริ่มแข่งขัน
คงไม่มีใครคิดว่าเด็กฝึกงานอย่างเขาจะสามารถเอาชนะผู้ประเมินสัตว์วิเศษทางการอย่างหลินจินได้ เขาจะมีชื่อเสียงโด่งดังและปล่อยให้หลินจินตกต่ำลงด้วยความอัปยศอดสูของเขา โดยไม่จำเป็นต้องให้เบื้องบนเพิกถอนตำแหน่งของเขา ชายคนนั้นอาจจะอายเกินกว่าจะอยู่ในสมาคมได้ ถ้าเขาสามารถขับไล่หลินจินออกไปได้ มันจะเป็นประโยชน์ต่อหัวหน้าหวังจีย่างแน่นอน
“จางเฮอ เจ้าเพิ่งอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากชัยชนะของเจ้า แล้วถ้าเจ้าแพ้ล่ะ เจ้าต้องทำอะไรบ้าง?” หลินจินถามทันที
จางเฮอยิ้มเยาะภายใน “ถ้าข้าแพ้ ข้าจะคุกเข่าลงต่อหน้าเจ้า ฟังดูเป็นยังไงบ้าง?”
หลินจินส่ายหัว “นั่นจะไม่จำเป็น ยังไงเราก็เคยเป็นอาจารย์และลูกศิษย์ เพียงเพราะอำนาจและชื่อเสียงทำให้เจ้าต้องหลงทาง ข้ารู้สึกผิดที่ไม่ได้ให้สั่งสอนเจ้าอย่างเหมาะสมหรือให้คำแนะนำที่ดี สำหรับข้า การแข่งขันกับเจ้าก็เหมือนการรังแกเด็ก แต่เพื่อประโยชน์ในการชี้นำเจ้าให้กลับมาเส้นทางที่ถูกต้อง ข้าจะยอมเข้าร่วมในครั้งนี้ เมื่อถึงเวลา เจ้าจะต้องก้มหน้า ยอมรับความผิดพลาดและสัญญากับข้าว่าเจ้าจะกลับสู่เส้นทางที่ถูกต้อง การคุกเข้าต่อหน้าข้านั้นไม่จำเป็น”
ช่างเป็นการแสดงความจริงใจจากผู้อาวุโส
เมื่อได้ยินอย่างนั้น เปลือกตาของจางเฮอกระตุกอย่างบ้าคลั่ง จิตใจของเขาระเบิด เกือบจะสบถด่าออกมาดัง ๆ
‘ใครหลงทาง! เขากำลังจะยั่วโมโหข้าเหรอ? ถุย! ไม่ได้ผลหรอก!’
จากที่เขาเห็นมาในอดีต จางเหอรู้ว่าทักษะของหลินจินโดยเฉลี่ยเป็นอย่างไร การที่เขาได้ใบรับรอง เขาคงต้องโชคดีจริง ๆ
ผู้ชายแบบนี้กล้าดียังไงถึงพูดออกมาอย่างไร้ยางอายเช่นนี้?
ผิวหน้าของเขาคงหนากว่ากำแพงเมือง
จางเฮอหัวเราะเยาะ “เจ้าพูดมาราวกับว่าจะเอาชนะข้าได้จริง ๆ หลินจิน ถึงเจ้าจะหลอกคนอื่นได้แต่เจ้าหลอกข้าไม่ได้ ข้ารู้ดีว่าเจ้าเก่งแค่ไหน ถ้าข้าไม่เสียเวลาหนึ่งปีกับเจ้า ข้าคงจะกลายเป็นผู้ประเมินสัตว์วิเศษทางการไปแล้ว” จางเฮอกระแทกน้ำเสียงออกมาอย่างขุ่นเคือง
หลินจินทำได้เพียงแค่ส่ายหัว จางเฮอกระตุ้นง่ายอย่างที่เขาคิดไว้จริง ๆ ด้วย
ไม่ใช่แค่หลินจิน ผู้คนรอบข้างต่างตกตะลึงกับฉากตรงหน้า
แม้แต่จ้าวหยิงที่ไม่ได้เข้าข้างหลินจินก็ยังส่ายหัว หลินจินกำลังข้ามเส้นจริง ๆ แม้หลินจินเป็นผู้ประเมินสัตว์วิเศษทางการแต่ว่ากันว่าทักษะการประเมินของเขานั้นด้อยกว่าผู้ฝึกหัดระดับสูงคนอื่น ๆ คนธรรมดาก็ยังรู้เรื่องนี้
แม้แต่ผู้มาใหม่เช่นจ้าวหยิง เธอก็เคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับหลินจินว่าเขาไร้ประโยชน์และไร้ความสามารถ ดั่งคำกล่าวที่ว่า 'ที่ไหนมีควัน ที่นั่นย่อมมีไฟ'
ถ้าหลินจินมีความสามารถจริง ๆ เขาควรจะพิสูจน์ความสามารถของเขาไปแล้ว เว้นแต่ว่าเขาจะไม่มั่นใจในตัวเอง อุบัติเหตุนั้นเกือบจะยืนยันได้ว่าข่าวลือของเขาได้โดยปริยาย