ตอนที่แล้วบทที่ 91 สนามประลองอสูร 5
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 93 นิกายท่องนภา

บทที่ 92 แขกที่ไม่ได้รับเชิญ


กำลังโหลดไฟล์

หมัดของจิวอิงกระแทกเข้ากับศีรษะของหมาป่ารัตติกาลแม้ว่าความต่างของพลังทั้งคู่จะมีมาก แต่ด้วยเวลานี้หมาป่ารัตติกาลนั้นกำลังหวาดกลัวจนแทบสิ้นสติ

ทำให้แรงจากหมัดของจิวอิงสามารถกระแทกร่างของมันจนกระเด็นออกไปได้ แม้ว่ามันจะไม่สามารถทำให้หมาป่ารัตติกาลได้รับบาดเจ็บก็ตามแต่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะให้จิวอิงได้มีเวลาพุ่งร่างออกจากนอกกรงเหล็กได้

เวลาเดียวกับที่จิวอิงพุ่งร่างออกนอกประตู ดวงตาของหนิงเทียนที่ดำสนิทคล้ายกับดวงตาของมัจจุราช ได้แปรเปลี่ยนกลับมาเป็นดวงตาที่ใสสว่างเปล่งประกายดังเดิม

มุมปากของมันยกยิ้มขึ้นพร้อมกับพึมพำผ่านลำคอ‘การได้ปลดปล่อยจิตสังหารเช่นนี้มันทำให้ภายในใจของข้าเบิกบานยิ่งนัก’

การกระทำของหนิงเทียนต่อให้ผู้ที่มีพลังบ่มเพาะมากกว่ามัน2-3ดินแดนก็ไม่สามารถทำเช่นเดียวกันมันได้เด็ดขาด จะมีเพียงผู้ที่เคยยืนอยู่บนซากศพนับล้านชีวิตเท่านั้น ถึงจะมีจิตสังหารที่น่าสะพรึงกลัวได้ถึงเพียงนี้

“มนุษย์เป็นฝ่ายชนะ...นะ..นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?” ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความมั่นใจของมู่ซวนเฟิงกลับกลายเป็นแข็งค้าง มันพยามขยี้ตาอีกครั้งราวกับว่าสิ่งที่ได้เห็นนั้นไม่ใช่เรื่องจริง

พลังหมัดของดินแดนองครักษ์ขั้น1 สามารถส่งร่างสัตว์อสูรลมปราณขั้นที่1ให้กระเด็นไปได้ ความผิดพลาดมันอยู่ที่ตรงไหน??

ภายในหัวของมู่ซวนเฟิงมีแต่คำถามที่ไม่สามารถหาคำตอบได้ ถ้าครั้งนี้เป็นการประลองทั่วๆไปมันอาจจะสะบัดความคิดทิ้งและยอมรับได้ แต่ครั้งนี้มันแพ้และที่สำคัญมันต้องสูญเสียหยกนิลถึง150ก้อน

มู่ฉูจี มู่ปัง มู่หลานเจี่ย ต่างตกใจด้วยใบหน้าที่แข็งค้างอยู่กับที่ราวกับว่าพวกมันทั้งสามนัดกันมาก่อน

มู่เฉียนและมู่หยูได้แต่ยืนเงียบมองไปยังจิวอิงที่เดินปลอดภัยออกมาจากสนามประลองอสูร ความพลาดเพียงครั้งเดียวทำให้การชนะที่แล้วๆมาสูญเปล่าไปในพริบตาเท่านั้นยังไม่พอพวกมันยังสูญเสียทุกอย่างไปอีกด้วย

จี้หลินตง ลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว มันชี้นิ้วไปทางหนิงเทียน ก่อนจะเอ่ย “เจ้ากำลังโกงพวกเรา!!”

หนิงเทียนยกยิ้มพร้อมตอบกลับอย่างไม่สนใจในฐานะระหว่างมันกับผู้สูงศักดิ์ทั้งหลาย

“โกงหรือ? ใครสามารถบอกได้บ้างว่าข้าใช้วิธีไหนโกง ถ้าข้าทำให้แดนองครักษ์ขั้น1ชนะสัตว์อสูรขั้นที่1ได้ ไหนเลยจะมาเป็นคนรับใช้ในตระกูลมู่แห่งนี้ ข้าไม่ไปเป็นครูฝึกนักรบของเมืองฉางผิงดีกว่าหรือ

ไม่สิถ้าข้าทำได้จริงๆข้าคงได้เขาไปเป็นครูฝึกในอาณาจักรฟ้าสวรรค์แล้ว” มันพูดออกพร้อมกับยกนิ้วแตะน้ำลายและนับสัญญาหนี้ทีละฉบับอย่างถี่ถ้วนลักษณะท่าทางของหนิงเทียนเวลานี้คล้ายกับพวกพ่อค้าหน้าเลือดตามตลาดมิมีผิด

เมื่อมู่หยูเห็นเช่นนั้น นางถึงกลับเซถลาลงกับพื้นด้วยแข็งขาที่อ่อนแรง นางนั้นไม่ได้ร่ำรวยและมีกิจการค้าเครื่องหอมเหมือนน้องสี่ของนาง ฉะนั้นเงิน50หยกนิลนั้นมากมายเกินกว่าที่นางจะหามาจ่ายได้ทั้งหมด

ขณะเดียวกันที่หนิงเทียนมองเห็นสีหน้าของมู่หยู มันจึงกรอกตาไปมา พร้อมกับนำสัญญาหนี้ของมู่เฉียนขึ้นมา

“คุณหนูสาม ขอบคุณที่ท่านให้ความร่วมมือ ข้าขอคืน50หยกนิลให้ท่าน”กล่าวจบหนิงเทียนฉีกสัญญาหนี้ของมู่เฉียนและโปรยมันออกให้สายตาทุกคู่ได้เห็น

จากนั้นมันยื่นสัญญาหนี้ของมู่หยูให้นางพร้อมกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม“และนี้คือค่าตอบแทนของท่าน”

มู่เฉียนที่ยืนอึ้งด้วยใบหน้ามึนงง “จะ..เจ้าพูด.....” ยังไม่ได้กล่าวจบประโยคดี

“ชั่วช้า ข้าก็คิดไว้แล้วว่าทำไม สัตว์อสูรขั้นที่1ถึงได้พ่ายแพ้ให้กับแดนองครักษ์ขั้นแรก เป็นเพราะเจ้าร่วมมือกับมันนี้เอง” มู่หยูตะโกนออกด้วยโทสะพร้อมกับยกนิ้วขึ้นมาชี้ไปที่ใบหน้าของมู่เฉียน

“ทะ...ท่าน..พูดอย่าได้ใส่ร้ายข้า” มู่เฉียนกล่าวออกอย่างมึนงง เวลานี้เรื่องราวเหตุใดถึงกับตาลปัตมาที่นางได้

“ท่านพ่อ น้องสี่กำลังเล่นตลกกับพวกเราทั้งหมด ท่านโปรดให้ความเป็นธรรมด้วย”แม้การสนทนาของพวกนางทั้งคู่จะไม่ได้ยินอย่างทั่วถึง

แต่ท่าทางและคำกล่าวสุดท้ายของมู่หยูนั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เหล่าผู้อาวุโส และ ข้ารับใช้ทั้งหมดปะติปะต่อเรื่องราวเข้าด้วยกันได้

มู่ซวนเฟิงมองไปยังบุตรสาวคนเล็กของมัน ด้วยแววตาเกรี้ยวกราดพร้อมกับกล่าวออกมา“เฉียนเอ๋อ เรื่องนี้เจ้าต้องมีคำตอบให้พ่อ ไม่เช่นนั้นเรื่องราวคงไม่จบง่ายๆแน่”

มู่ซวนเฟิงหาได้สงสัยในการกระทำของหนิงเทียนเลยแม้แต่น้อย เพียงเพราะ100หยกนิลนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะมอบให้กันได้ง่ายๆถ้าพวกมันไม่ได้มีผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน

มู่เฉียนได้ยินดังนั้น มันเซร่างลงกับเก้าอี้ เวลานี้มันไร้คำกล่าวใดที่จะแก้ตัวได้ เมื่อมู่เฉียนกวาดสายตามองไปรอบๆนางพบแต่ดวงตาที่กราดเกรี้ยวของผู้คนนับร้อยจับมองมาที่นางอย่างพร้อมเพียง

จี้หลินตงตะโกนขึ้นมาด้วยเสียงดุร้าย “ดี แม้แต่คนในครอบครัวเดียวกันเจ้ายังกล้าที่จะหลอกลวงได้ ตัวข้าที่เป็นคนนอกคงจะทำได้แต่ยอมรับการเล่นละครตบตาฉากนี้ของพวกเจ้าทั้งคู่

ดีถ้าเช่นนั้นรอบต่อไป ข้าจะขอใช้สัตว์อสูรของข้า ในการประลองรอบต่อไป”

ได้ยินเช่นนั้นหนิงเทียนยกยิ้มขึ้นมา พร้อมกล่าวออก“ในรอบหน้าใครจะเป็นเจ้ามือรับเดิมพันก็ย่อมได้และใครจะส่งสัตว์อสูรลงประลองอีกข้าก็ไม่มีข้อคัดค้าน

เพียงแต่ว่าดวงชะตาของคนเรามีขึ้นและมีลง ในเมื่อดวงของข้าขึ้นไปสูงสุดแล้ว การที่จะฝืนชะตาฟ้าและลิขิตสวรรค์นั้นเห็นว่าจะเป็นเรื่องไม่ควรนัก

ด้วยเหตุนี้ข้าคงได้แต่บอกว่า ข้าเลิกเล่นแล้วและคุณหนูของข้าก็พอใจที่จะเป็นเพียงผู้ชมด้วยเช่นกัน"

ด้วยคำพูดที่ไม่ดังและไม่เบาไปของหนิงทียน มันทำให้ทุกคนที่อยู่ในลานประลองนี้ได้ยินอย่างชัดแจ้ง พวกมันได้แต่ก่นด่าด้วยความโมโห “บัดซบ มันต้องการที่จะเลิก”

มู่ซวนเฟิงเองก็ได้แต่กำมือแน่นด้วยโทสะแต่ในเวลานี้มันไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เลย การบังคับให้มู่เสวี่ยคืนเงินต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ เห็นที่ว่าจะเป็นเรื่องที่ไม่สมควรนัก

ปัง!!! มู่ปังทุบโต๊ะเสียงดัง มันรีบกล่าวอ้างออก “ไม่ได้เด็ดขาด แขกคนสำคัญของเรายังอยู่ ถ้าใครคิดเลิกและออกจากสนามประลองแห่งนี้ไป

เท่ากับว่ามันผู้นั้นไม่ให้เกรียติตระกูลมู่และยังไม่ให้เกรียติขุนพลอัคคีของเมืองจี้ อีกด้วย” เวลานี้ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยเส้นเลือดที่ปรากฎขึ้น มันไม่รีรอเลยที่จะยกชื่อของขุนพลอัคคีออกมากล่าวอ้าง

หนิงเทียนได้ยินเช่นนี้มันระบายลมหายใจออกเสียงดังด้วยความเบื่อหน่าย“ถ้าท่านพูดมาเช่นนี้ก็เหมือนว่าข้าถูกบังคับให้เล่นต่อสินะ แต่ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป

เมื่อไรกันที่จะถึงจุดสิ้นสุด อีกเพียงแค่2ตาเท่านั้น คุณหนูใหญ่จะร่วมเดิมพันด้วยอีกเพียงแค่สองตา ถ้าครบกำหนดสองตาแล้วพวกท่านยังไม่หลีกทางละก็

เรื่องราวที่พวกท่านไม่ให้ความเคารพต่อคุณหนูใหญ่คงจะแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว และถ้าพวกท่านคิดว่ามันจะไม่กระทบกระเทือนต่องานประลองเลือกคู่ที่ตระกูลมู่จะจัดขึ้นละก็

เอาเลยขัดขวางพวกเราและบังคับให้พวกเราคืนสัญญาหนี้ได้ตามสบาย”

มู่ซวนเฟิงพิจารณาคำพูดของหนิงเทียนอยู่ชั่วครู่จากนั้นมันรีบกล่าวออกมา “ตกลง แค่เสวี่ยเอ๋อร่วมสนุกกับพวกเรา และอยู่เป็นเพื่อนท่านจี้หลินตง อีกแค่เพียง2รอบก็นับว่าเกินพอแล้ว”

จี้หลินตงพยักหน้าอย่างช้าๆ มันยกมือเผยให้เห็นแหวนมิติอสูรบนนิ้วของมัน จากนั้นมันสะบัดมือปรากฏ เป็นเสือสีขาวขนาดเท่าตัวของมนุษย์

บนร่างของมันนั้นคาดด้วยริ้วสีดำ สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของมันคือ คือปีกขนาดเล็กที่ปรากฏอยู่บนหลัง

“นั้น นั้นมัน เสือขาววายุ สัตว์อสูรลมปราณขั้นที่1ที่กำลังจะพัฒนาไปเป็นสัตว์อสูรลมปราณขั้นที่2” มู่หลานเจี่ยอุทานออกด้วยความตกใจ

จี้หลินตง ยกยิ้มขึ้นมาพร้อมกล่าวออกว่า “เอาละแม่นางมู่เสวี่ยเมื่อเห็นสัตว์เลี้ยงของข้าแล้วท่านจะเลือกเดิมพันฝ่ายใด” ตัวมันนั้นมีความมั่นใจในการเดิมพันครั้งนี้อย่างมาก

ถึงแม้มู่เสวี่ยจะเลือกฝ่ายเสือขาววายุ มันก็จะสั่งให้เสือขาววายุยอมแพ้ แต่ถ้าเลือกฝ่ายมนุษย์ขึ้นมาประลอง แค่เพียงสิบลมหายใจก็พอแล้วที่เสือขาววายุของมันจะเขมือบทุกคนที่อยู่ต่ำกว่าแดนแห่งปราชญ์

มู่เสวี่ยมองออกไปด้วยสายตาเย็นชา นางกล่าวขึ้นอย่างไม่สนใจ“เรื่องนี้ข้าให้หยางกวงตัดสินใจแล้วกัน”

“ขอรับคุณหนู” หนิงเทียนรีบกล่าวตอบอย่างรวดเร็ว

เมื่อได้ยินคำตอบของหนิงเทียน จี้หลินตงยกยิ้มออกมาพร้อมกล่าวถามออกไป “ดีมาก ในรอบนี้เจ้าต้องการที่จะเดิมพันฝ่ายใดกัน”

หนิงเทียนมองไปยังเสือขาววายุอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวออกมา “เสือตัวนี้ท่าทางจะเก่ง ถ้าอย่างนั้นข้าจะลงเดิมพันว่าเสือขาววายุเป็นฝ่ายชนะ สัก100 เป็นไง”

“หะ..หนึ่งร้อยหยกนิล มันบ้าไปแล้ว”

“ทรัพย์สินขนาดไหนกันแน่ที่บรรพบุรุษของนางมอบให้ไว้”

เพียงแค่ได้ยินคำกล่าวของหนิงเทียนเสียงของฝูงชนแตกตื่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง แม้แต่ดวงตาของจี้ตงหลินก็ลุกวาบขึ้นด้วยความโล�

แต่แล้วความรู้สึกเช่นนี้กลับต้องพังทลายลงด้วยประโยคต่อไปจากปากของหนิงเทียน“เดี๋ยวก่อน!!....เดี๋ยว ข้าไม่ได้บอกสักคำว่าจะเดินพัน หนึ่งร้อยหยกนิล

ข้ายังไม่ทันพูดจบพวกเจ้าก็ทึกทักกันไปก่อนแล้ว เอาละพวกเจ้าจงตั้งใจฟังให้ดี ข้าจะเดิมพันฝ่ายเสือขาววายุของคุณชายจี้ 100เหรียญทอง”

ได้ยินเช่นนั้นกลุ่มคนทั้งหมดได้แต่ยืนอึ้งจนไม่สามารถกล่าวคำใดออกมา

ใบหน้าของจี้หลินตงดำมืดมันกล่าวออกอย่างเดือดดาล“บัดซบ ผู้นำมู่ ท่านจะยืนมองให้เจ้าขี้ข้าผู้นี้ล้อข้าเล่นหรืออย่างไร”

มู่ซวนเฟิงได้ยินเช่นนั้นมันรีบกล่าวออกโดยเร็ว “หยางกวง เจ้าจงใจทำให้ตระกูลมู่ขายหน้า ถ้าวันนี้ข้าไม่ลงโทษเจ้า ข้าจะเป็นผู้นำที่ทุกคนเคารพได้อย่างไร”

“นะ...นายท่านโปรดฟังข้าก่อน ข้านั้นพึ่งจะเข้าร่วมตระกูลมู่ได้ไม่ถึงสามวัน เบี้ยเลี้ยงเดือนแรก20เหรียญทองข้าก็ยังไม่ได้รับมันเลย

ในส่วน100เหรียญทองที่ข้าลงเดิมพันไปนั้น มันคือเงินเก็บทั้งชีวิตของข้าน้อยแล้ว” หนิงเทียนกล่าวออกด้วยท่วงท่าที่ทำให้ผู้คนสงสาร

“ท่านลุง ทุกสิ่งเป็นไปตามที่หยางกวงได้กล่าวมา ถ้าท่านต้องการจะลงโทษใครละก็ ก็น่าจะเป็นตัวข้าเองเสียมากกว่า

แต่ท่านลุงลองคิดดูให้ดีว่าเหตุใดพวกเราถึงจัดการประลองอสูรขึ้น" ไม่รอให้มู่ซวนเฟิงเอ่ยตอบใดๆ

มู่เสวี่ยยังคงกล่าวต่อ "ไม่ใช่ว่าพวกเราจัดมันขึ้นเพื่อความรื่นเริงและการเดิมพันที่จะเกิดขึ้น พวกเราล้วนเปิดให้ทุกๆคนในตระกูลตั้งแต่ข้ารับใช้จนถึงเหล่าผู้อาวุโสได้ร่วมสนุกกัน

ฉะนั้นมันจึงไม่มีการจำกัดการเดิมพันขั้นต่ำใช่หรือไม่? ฉะนั้นการที่ข้าจะวางเดิมพันสัก100เหรียญทองหรือ100หยกนิลนั้นก็เป็นเพราะความชอบส่วนตัวของข้า”

ด้วยคำพูดที่หนักแน่นของมู่เสวี่ยนั้น แม้แต่มู่ซวนเฟิงก็ไม่สามารถกล่าวคำใดแย้งได้อีก เรื่องในวันนี้นั้นตอบคำถามในหัวของมันได้ชัดเจนแล้วว่า มู่เสวี่ยนั้นเปลี่ยนแปลงไปมาก

แม้แต่ในกลุ่มผู้อาวุโสหลักทั้งสามคนยังจับจ้องไปที่มู่เสวี่ยด้วยความตกตะลึงภายในใจ จะมีเพียงแต่ มู่ฉูจีเท่านั้นที่หัวเราะขึ้นมาพร้อมกล่าวออก “ช่างสมกับเป็นลูกและหลานของท่านผู้นำตระกูลจริงๆ”

ในขณะที่จี้ตงหลินกำลังจะเปิดปากกล่าวอันใดขึ้นมา เสียงของทหารยามด้านนอกประตูได้ดังขึ้น ก่อนที่ร่างของมันจะวิ่งตรงมาด้วยสีหน้าที่แตกตื่น

“ท่านผู้นำ มีชายคนหนึ่งบอกว่าตัวเองว่ามาจาก นิกายท่องนภา มันมาเพื่อจะขอดูหน้าคุณหนูใหญ่มู่เสวี่ยขอรับ” ยังไม่ทันกล่าวจบดี

ปังงงง!!! ร่างไร้สติของทหารยามอีกผู้หนึ่งกระเด็นออกมากระแทกกำแพงของสิ่งก่อสร้างภายในตระกูลจนพังลง

“ข้าบอกแล้ว ว่าอย่าขวางทางข้าก็ไม่ยอมฟัง” สิ้นเสียงของชายผู้นั้น สายตาทุกคู่ล้วนจับจ้องไปยังบุคคลสองคนที่ก้าวเดินมายังสนามประลองอสูร

โดยเฉพาะบุรุษที่เดินนำมานั้น มันดูคล้ายกับเด็กหนุ่มที่มีอายุไม่เกินยี่สิบปีเท่านั้น แต่พลังปราณที่แผ่ออกรอบๆตัวนั้นกลับสูงถึงระดับดินแดนวีรชน

บุรุษหนุ่มผู้นั้นสวมชุดยาวลายครามขลิบขาว ทุกๆการก้าวเท้าของมันนั้นชวนให้ผู้ที่มองบังเกิดอาการตกตะลึงอย่างไม่สามารถอธิบายออกได้ มันเป็นการก้าวที่เท้าแทบจะไม่สัมผัสกับพื้นเลยแม้แต่น้อย

“พี่ใหญ่ ท่านออกมาโดยไม่ได้บอกท่านประมุข จะก่อเรื่องไม่ได้เด็ดขาดนะขอรับ”บุรุษที่กำลังเดินตามหลังมันมาเอ่ยขึ้น ถ้าจะประเมินอายุจากใบหน้าของมันนั้นก็ไม่น่าจะไม่เกิน16ปีเท่านั้น

แต่ด้วยลมปราณที่แผ่ออกจากร่างของมันก็สามารถบอกได้ว่าผู้ติดตามวัยหนุ่มคนนี้มีระดับพลังในดินแดนวีรชนด้วยเช่นกัน

มู่ซวนเฟิงที่นั่งอยู่ ถึงกับลุกขึ้นยืนในทันที สายตาของมันจับจ้องไปยังบุรุษหนุ่มที่กำลังเป็นเป้าสายตาของคนทั้งหมด “ชะ..ชุดนั้น!!!! ชุดที่ทั้งพวกมันทั้งคู่สวมใสอยู่นั้น เป็นชุดของศิษย์สายหลักนิกายท่องนภา”

มู่ฉูจีมองไปยังผู้มาเยือนด้วยสายตาเบิกกว้าง “นิกายท่องนภา นิกายในระดับเอ้อร์เทียนโหลว(บันไดสวรรค์ที่2) พวกเขามาอยู่ที่นี้ได้อย่างไร”

หนิงเทียนขมวดคิ้วทันที มันไม่เคยได้ยินการแบ่งระดับของนิกายมาก่อน คำว่าเอ้อร์เทียนโหลว?นั้นจึงเป็นสิ่งที่ตัวมันไม่รู้จักมาก่อน

เวลานี้มันได้แต่ถอยหลังออกไปหยุดยืนอยู่ข้างๆตันกุยพร้อมถามออก “พี่ตันกุย ท่านรู้จักผู้ที่มาหรือไม่”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด