บทที่ 91 สนามประลองอสูร 5
เวลาผ่านไปราวๆ2ชั่วยาม มู่ซวนเฟิงแหงนมองไปบนท้องฟ้า เมื่อมันเห็นดวงตะวันที่เคลื่อนผ่านกลางศีรษะไปแล้ว
จึงส่งสายตาเป็นสัญญาณไปให้มู่เฉียนพร้อมกล่าวออกทางลมปราณ “จะให้ผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด รีบสังหารทหารนั้นโดยเร็ว”
มู่เฉียนพยักหน้ารับ นางมีความมั่นใจอยู่เต็ม10ส่วน เพียงเพราะนางนั้นยังถือไพ่ตายที่สำคัญอยู่
ไม่มีใครในตระกูลนอกจากบิดาของนางรู้ว่านางนั้นฝึกทักษะบ่มเพาะในเส้นทางของผู้ฝึกอสูร
ผู้ฝึกอสูรนั้นเป็นทักษะต่อสู้อีกแขนงหนึ่ง โดยพวกมันมักจะใช้สัตว์อสูรสู้แทนตัวเองเป็นส่วนใหญ่ แต่เนื่องด้วยการฝึกสัตว์อสูรนั้นใช้ระยะเวลาฝึกที่นานกว่าการบ่มเพาะพลังของตัวเองถึงสองหรือสามเท่า
ฉะนั้นศาสตร์การต่อสู้แขนงนี้จึงไม่ค่อยมีใครนิยมมากนัก
“เมื่อทุกคนทำข้อตกลงรับการเดิมพันเรียบร้อยแล้ว พวกเราเริ่มประลองอสูรได้” มู่ซวนเฟิงประกาศออกเสียงดัง
กลุ่มของผู้อาวุโสและจี้ตงหลินต่างยืดตัวขึ้นตรงสายตาของมันจับจ้องไปในกรงเหล็กอย่างไม่วางตา ภายในใจของพวกมันทุกคนร้องออกเป็นเสียงเดียวว่า จะแพ้ไม่ได้เด็ดขาด
แม้ว่ามู่เสวี่ยจะมั่นใจในตัวของหนิงเทียนมากเพียงใด แต่นางยังอดวิตกกังวลอยู่ไม่ได้อยู่ดีเพราะการประลองในครั้งนี้อาจารย์ของนางไม่ได้เป็นคนลงไปสู้ด้วยตัวเอง
แต่นางจะต้องฝากความหวังไว้กับบุุคคลอื่นที่นางพึ่งจะเคยพบหน้าเพียงครั้งเดียวอย่างจิวอิง
ฮู่ววววว!!! เสียงเห่าหอนของหมาป่ารัตติกาลดังขึ้น พลังที่แผ่ออกมารอบๆร่างของมันมากขึ้นกว่าตอนที่ได้ต่อสู้กับเหวินซีเสียอีกอีก
หนิงเทียนเห็นเช่นนั้นมันอดบ่นออกในใจไม่ได้ “ข้าก็แปลกใจว่าทำไมเจ้านั้น ถึงเห็นดีเห็นงามให้คนอื่นร่างสัญญา ที่จริงแล้วมันต้องการถ่วงเวลาให้หมาป่ารัตติกาลมีพลังมากขึ้นนี่เอง ช่างระมัดระวังตัวจริงๆนะ”
คิดออกเช่นนั้นหนิงเทียนมองไปยังจิวอิงที่กำลังก้าวเดินเข้าไปในกรงเหล็กท่าทางของจิวอิงเวลานี้เสมือนกับร่างที่ไร้วิญญาณ
แค่เพียงปรายตามองผ่านๆไม่ว่าใครก็สามารถบอกได้เลยว่าจิตใจของจิวอิงผู้นี้ได้ยอมรับความตายตรงหน้าไปเรียบร้อยแล้ว
เมื่อเห็นเช่นนั้นหนิงเทียนระบายลมหายใจออก มันรีบกระโดดลงจากที่นั่ง วิ่งลงไปยังเบื้องล่างหมายจะเข้าใกล้สนามประลองอสูรให้ได้มากที่สุด
การกระทำของหนิงเทียนนั้นไม่ได้ผิดแปลกอะไรนักผู้คนที่มองดูมันต่างเข้าใจได้ว่า มันนั้นเดิมพันในการต่อสู้ครั้งนี้ไว้สูงมาก ถ้าอยากจะชมดูใกล้ๆก็เป็นเรื่องปกติที่ใครเขาก็ทำกัน
ขณะที่หนิงเทียนกำลังวิ่งลงไปนั้น จู่ๆมันก็เปล่งเสียงออกมา น้ำเสียงของมันนั้นหนักแน่นเกินกว่าที่ข้ารับใช้ปกติจะสามารถพูดขึ้นได้
"เจ้าชื่อ จิวอิง เจ้ารู้ความหมายของชื่อเจ้าหรือไม่?"
ได้ยินเช่นนั้นสีหน้าอันเฉยชาของจิวอิง หันมองไปตามทิศทางของเสียง โดยเจ้าของเสียงนั้นยังคงกล่าวต่อไป
“จิวอิง ชื่อของเจ้านั้นมีความหมายตรงตัว จิว阄 ที่แปลว่าโชคชะตา และคำว่าอิง英ที่แปลว่าความกล้า เจ้าที่เกิดมาพร้อมด้วยชื่อที่ประเสริฐเช่นนี้กลับจะมาก้มหน้ายอมแพ้แก่โชคชะตาได้อย่างไร
ทุกคนนั้นมีความกลัวเป็นของตัวเอง ถูกต้องเจ้ากำลังกลัวหมาป่ารัตติกาลที่ยืนอยู่เบื้องหน้า แต่กลับไร้ความรู้สึกเกรงกลัวต่อความตาย
เจ้าไม่รู้สึก ตลกตัวเองไปหน่อยหรือ?และถ้าเจ้าไม่รุกขึ้นมาและก้าวข้ามโชคชะตาเฮงซวยนี้ไปละก็เจ้าก็ไม่ต่างอะไรกับคนไร้ค่าคนหนึ่งที่ตายไปโดยไร้ซึ่งผู้คนจดจำ
เจ้านั้นกำลังก่นด่าอยู่ในใจสินะ ว่าข้านั้นไม่ใช่ตัวเจ้าหรือเจ้ากำลังตัดพ้อกับตัวเองอยู่ว่าองครักษ์ขั้นต้นนั้นไม่สามารถต่อสู้กับสัตว์อสูรขั้นที่1ได้ แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมหมาป่ารัตติกาลถึงถูกเรียกว่าสัตว์อสูรลมปราณขั้นที่1
ข้าจะบอกให้เจ้าได้ รู้ ก็เพราะว่ามันนั้นอ่อนแอ มันถึงถูกเรียกว่าเป็นอสูรขั้นที่1 ถ้ามันแข็งแกร่งอย่างที่เจ้ากำลังคิดจริง พวกเราจะต้องเรียกมันว่าสัตว์อสูรขั้นที่3 4หรือ5ไปแล้ว
เวลานี้เจ้าอาจจะไม่สามารถต่อสู้กับมันได้ตรงๆ แต่สำหรับระยะทางไม่กี่จั้งนั้น ข้าเชื่อว่าเจ้าสามารถหลบหนีออกมาได้อย่างปลอดภัยแน่นอน”
กล่าวจบตรงนี้หนิงเทียนได้หยุดยืนอยู่เบื้องหน้าของจิวอิง สองมือของมันตบไปที่บ่าของมันอย่างแผ่วเบา “ถ้าข้าไม่เชื่อมั่นว่าเจ้าจะรอดออกมาได้ ข้าจะไม่ใช้ทรัพย์สมบัติมากมายขนาดนี้เดิมพันข้างเจ้า”
เมื่อจิวอิงได้ยินคำกล่าวของหนิงเทียน ใบหน้าที่เคยไร้ความรู้สึกกลับแปรเปลี่ยนออกอีกครั้ง สายตาที่ราวกับคนตายได้เกิดประกายแสงจางๆอยู่ภายใน
สองมือของมันกำแน่น การที่มีใครสักคนเชื่อมั่นในตัวมัน ทำให้ภายในใจของมันสั่นออกด้วยความรู้สึก รอยน้ำตาแห่งความยินดีเริ่มที่จะปรากฏจางๆ
มันใช้เวลาจมลึกอยู่กับความรู้สึกเช่นนี้ชั่วขณะก่อนจะกล่าวออกมา “ขอบคุณพี่ชายและคุณหนูใหญ่มากที่เชื่อมั่นในตัวข้า ถูกแล้วข้าจะไม่ยอมตกเป็นอาหารของเดรัจฉานตัวนี้เด็ดขาด”
ความหวาดกลัวของมันถูกปัดเป่าโดยคำพูดของหนิงเทียนไปหมดแล้ว เวลานี้ประกายตาของมันเต็มไปด้วยความองอาจ
มันเป็นแววตาที่หนิงเทียนคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง ใช่แล้วมันเป็นแววตาเดียวกับทหารร่วมรบของมันในศึกที่ผาบรรจบเมฆ
หนิงเทียนจึงกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม “ดีจบการประลองนี้ เจ้าจงมาเป็นทหารผู้สัตย์ซื่อให้แก่คุณหนูใหญ่ของข้า”
จิวอิงพยักหน้าตอบรับพร้อมก้าวเดินเข้าไปในกรงเหล็กอย่างมั่นคง เพียงชั่วอึดใจเสียงของมู่ซวนเฟิงก็ส่งสัญญาณให้เริ่มการประลองได้
ทันใดนั้นเสียงของขลุ่ยได้ดังขึ้นมากระทบหูของผู้คนทั้งหมด มู่เฉียนนั้นเปลี่ยนบทบรรเลงที่ต่างออกไปจากคราวแรกมากนัก
เมื่อหมาป่ารัตติกาลได้ยินเสียงขลุ่ยที่มู่เฉียนเป่าออก ดวงตาที่ดำสนิทของมันเปลี่ยนสีเป็นแดงก่ำ
“นั้นๆคุณหนูสี่กำลังควบคุมหมาป่ารัตติกาลอยู่ใช่หรือไม่?”นักรบของตระกูลผู้หนึ่งกล่าวออกมา
มู่ปังระบายลมหายใจออกมา หลังที่แข็งตรงจากท่านั่งมองอย่างตั้งใจ ค่อยๆลดลงกลับกลายเป็นทอดหลังพิงเก้าอี้อย่างสบายใจ“ที่แท้คุณหนูสี่ก็มีไพ่ตายเช่นนี้”
มู่ฉูจีมองไปยังมู่เฉียนด้วยแววตาชื่นชม “คุณหนูสี่ฝึกฝนในเส้นทางของผู้ฝึกอสูร ช่างทำให้ตาแก่ผู้นี้ได้เปิดหูเปิดตาไม่น้อย”
มู่หลานเจี่ยยกยิ้มอย่างภูมิใจ “แน่นอน คุณหนูของข้านั้นมีความสามารถมากกว่าที่พวกท่านคิดเสียอีก ถ้าไม่นับรวมคุณหนูรองแล้ว อัจฉริยะอันดับ2ของตระกูลต้องตกเป็นของนางแน่นอน” มันจงใจกล่าวออกพร้อมกันทอดสายตาไปยังมู่ปัง
..
ภายในลานประลองเดรัจฉาน หมาป่ารัตติกาลค่อยๆสืบเท้าทีละคู่ก้าวไปยังร่างของจิวอิง คราบเลือดของสองร่างที่มันได้กัดกินจนไม่เหลือกระดูกยังคงติดอยู่บนปากของมัน ทำให้มันดูคล้ายกับปีศาจกระหายเลือดเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อจิวอิงเห็นหมาป่ารัตติกาลกำลังใกล้เข้ามา มันรีบพุ่งร่างถอยออก ยิ่งมันถอยออกมากเพียงใด ประตูที่จะทำให้มันรอดไปได้นั้นยิ่งอยู่ห่างไกลมากขึ้นเท่ากัน ทางเดียวที่จะรอดได้คือพุ่งร่างผ่านหมาป่ารัตติกาลไป
เมื่อหมาป่ารัตติกาลหยุดนิ่งและใช้สายตาอำมหิตจับจ้องไปยังเหยื่อเบื้องหน้า จิวอิงรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลกำลังทับร่างกายของมันอยู่
แม้มันจะเตรียมใจมาแล้วแต่ความหวาดกลัวนี้ ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะใช้เพียงคำพูดแล้วจะขับไล่มันออกไปจากส่วนลึกในจิตใจได้
มีคนเคยกล่าวไว้ว่าเมื่อมนุษย์ต้องเผชิญหน้ากลับความตายแขนและขาจะไม่ใช่ของเราอีกต่อไป จิวอิงเองก็หนีไม่พ้นคำบอกเล่าดังกล่าว
เวลานี้ขาทั้งสองข้างไม่ใช่ของมันอีกต่อไปแล้ว ไม่ว่ามันจะพยายามมากเพียงใด การจะก้าวเท้าออกสักก้าวดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่ยากเกินไป
แม้พวกคนรับใช้และนักรบของตระกูลจะเดิมพันข้างสัตว์อสูรก็ตามที แต่ถึงอย่างไรพวกมันก็ยังมีจิตสำนึกความเป็นมนุษย์ คำพูดที่พวกมันส่งเสียงออกมานั้นย้อนแย้งกับการกระทำที่มันได้เดิมพันไปอย่างชัดเจน
“หนีเร็ว จิวอิง รีบวิ่ง”
เมื่อเสียงหนึ่งดังออกมา เสียงที่สองก็ดังตามมาติดๆ
“ใช่แล้ว แม้ข้าจะอยากได้เงิน แต่ข้าก็ไม่อยากเห็นสหายที่กินข้าวหม้อเดียวกันต้องตกตายด้วยเรื่องแค่นี้ หนีเร็ว!!”
เสียงตะโกนด้วยความเป็นห่วงของสหายในตระกูลดังออกมา แม้คนที่เปลี่ยนใจมาเชียร์ให้มันรอดตายจะมีน้อยกว่าคนที่กล่าวแช่งสาปส่งให้มันรีบๆตายโดยเร็วก็ตาม
แต่มันก็เพียงพอแล้วที่จะช่วยละลายความกลัวที่เกาะกุมขาของจิวอิงเอาไว้
“จิวอิง รีบหนีเร็วเข้า” หนิงเทียนตะโกนออกมาเสียงดัง เป็นสัญญาณให้สองเท้าของจิวอิงเริ่มก้าวออกไปด้านข้าง มันพุ่งร่างทิ้งระยะห่างออกถึง
ยามนี้จิตใจของจิวอิงมีเพียงสามคำ “ข้าต้องรอด ข้าต้องรอด”
ยิ่งมันหนีออกเท่าใด หมาป่ารัตติกาลยิ่งคืบคลานเข้าใกล้มันมากขึ้น
ด้วยระดับพลังที่แตกต่างกันมากการที่จิวอิงใช้เวลาหนีได้ถึง 15ลมหายใจนั้น จะเรียกว่าปาฎิหาริย์ก็เป็นไปได้
แต่สำหรับหนิงเทียนแล้วมันไม่เคยเชื่อสิ่งที่เรียกว่าปาฎิหาริย์เลย คำตอบเดียวที่ทำให้จิวอิงยังรอดอยู่บนสนามประลองเดรัจฉานคือการที่เดรัจฉานสี่ขาหน้าขนตัวนี้กำลังหยอกล้อกับเหยื่อของมันต่างหาก
“วูบบบบ!!!” เสียงของกรงเล็บอันแหลมคมตัดผ่านอากาศดังออกมาอย่างน่าสยดสยอง ทันใดนั้นเลือดสดๆจากแผ่นหลังของจิวอิงสาดกระเซ็นออกเป็นละออง
ไม่รู้ว่าด้วยโชคที่ดีหรือเจตนาล้อเล่นกับเหยื่อของหมาป่ารัตติกาลทำให้รอยเล็บด้านหลังของมันไม่ได้บาดลึกไปถึงกระดูก
เสียงทำนองของขลุ่ยยังดังขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งมันเร่งจังหวะให้เร็วมากเท่าไร ดวงตาของหมาป่ารัตติกาลยิ่งแดงก่ำไปด้วยเลือดมากเท่านั้น
“หูววววว” มันเงยหน้าขึ้นสูงพร้อมเห่าหอนด้วยเสียงที่ชวนขนหัวลุก ผู้ฝึกตนที่อยู่ในระดับต่ำกว่าแดนแห่งปราชญ์ทุกคนอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเพราะเสียงร้องนั้น
จะมีก็เพียงแต่หนิงเทียนเท่านั้นที่ยังคงยืนสงบนิ่งอยู่ติดกับสนามประลองเดรัจฉาน เวลานี้มันเปิดปากออกด้วยเสียงเย็น
ถ้ามีผู้ใดให้ความสนใจกับมัน จะสามารถบอกได้เลยว่าบรรยากาศรอบๆของหนิงเทียนนั้นน่ากลัวกว่าหมาป่ารัตติกาลนับร้อยเท่า
“จิวอิงมนุษย์นั้นถูกเรียกเป็นสัตว์ประเสริฐ เหตุผลที่มันถูกเรียกว่าสัตว์นำหน้า เพราะว่ามนุษย์ทุกคนนั้นมีความเป็นสัตว์อยู่ในตัวแต่ที่มันได้ได้แสดงออกมา
เพราะว่ามันถูกกดข่มด้วยพลังของจิตใจให้อยู่ในส่วนลึกเท่านั้น แต่ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่เจ้าจะต้องปลดปล่อยสัตว์ร้ายในจิตใจออกมา”
ด้วยคำกล่าวที่เย็นเยือกของหนิงเทียน ทำให้ร่างของจิวอิงแข็งค้างไปทันที เวลาเดียวกันหมาป่ารัตติกาลที่กำลังถูกควบคุมโดยมู่เฉียนก็สืบเท้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
ดูจากแววตาที่แดงก่ำของมันแล้ว การโจมตีต่อไปของมันหมายจะปลิดชีพเหยื่อ อย่างแน่นอน
หนิงเทียนเองเห็นดังนั้น มันได้แต่ถอนหายใจออกมา “นับวันสายตาของข้ายิ่งแย่ลงทุกที เอาเถอะข้าเองก็ไม่สามารถแพ้การเดิมพันนี้ได้” กล่าวจบหนิงเทียนขยับร่างของมันให้อยู่ระนาบเดียวกับหมาป่ารัตติกาล
ดวงตาของหนิงเทียนดำมืดลง จิตสังหารที่ผ่านการฆ่าฟันนับล้านปะทุขึ้นมาจากภายใน สัตว์อสูรลมปราณขั้นที่1นั้น ไม่สามารถทนทานจิตสังหารระดับนี้ได้แน่นอน
ขณะที่มันกำลังจะส่งออกไปนั้น ร่างที่แข็งทื่อของจิวอิงได้เริ่มขยับ มันแหงหน้าขึ้นมองฟ้าและร่ำร้องออกมาสุดเสียง
“อ๊ากกกกกกกก!!!” ได้ยินเช่นนั้นมุมปากของหนิงเทียนยกยิ้มขึ้นจิตสังหารของมันจางหายไปราวกับเมฆหมอกพร้อมกับจ้องมองไปยังจิวอิงอย่างไม่วางสายตา
มู่เฉียน จับจ้องไปยังจิวอิงด้วยรอยยิ้ม ดวงตาของนางนั้นมีแต่ความพึงพอใจ ‘มันกลัวจนเสียสติไปแล้ว’
กลุ่มของผู้อาวุโสหลักทั้งสามจับจ้องจิวอิงที่กำลังเปลี่ยนแปลงท่าทีอย่างไม่ละสายตา
แม้แต่มู่ซวนเฟิงเองก็ยังมองตรงไปด้วยสายตาหรี่แคบ“คำพูดของข้ารับใช้ชั้นต่ำ กำลังทำให้นักรบผู้นั้นคลั่งอย่างนั้น?”
เวลาเดียวกับที่จิวอิงและหมาป่ารัตติกาลเผชิญหน้ากัน หมาป่ารัตติกาลมองไปที่จิวอิงด้วยสายตาแดงก่ำขณะที่มันกำลังยกเท้าก้าวไปสังหารเหยื่อของมันนั้น
สิ่งที่ทำให้ทุกคนรู้สึกแปลกใจอย่างที่สุดก็คือจิวอิงหยุดเสียงร้องและก้าวเข้าหาหมาป่ารัตติกาลทีละก้าวด้วยสายตาที่แดงก่ำ ปากของมันพึมพำอย่างไม่หยุดยั้ง
“ข้าคือจิวอิง ข้าคือจิวอิงข้าไม่ยอมตายเด็ดขาด”
ตอนนี้ในสายตาของหมาป่ารัตติกาล มันเห็นมนุษย์ที่เคยเป็นเหยื่อของมันกำลังกลายร่างเป็นสัตว์อสูรที่สามารถคุกคามชีวิตมันได้ มันได้แต่ได้หยุดนิ่งพร้อมก้าวขาคู่หลังถอยออกทีละนิด
การแสดงออกของหมาป่ารัตติกาลนั้นสร้างความตกตะลึงแก่ผู้คนอยู่ไม่น้อย แม้แต่มู่เฉียนเองยังสะดุ้งด้วยความตกใจ นางรีบเร่งทำนองของขลุ่ยสีดำเพื่อควบคุมหมาป่ารัตติกาลอีกครั้ง
ได้ยินเสียงขลุ่ยนั้น หมาป่ารัตติกาลได้แต่สะบัดศีรษะอันใหญ่โตของมันอย่างรวดเร็วพร้อมกับเห่าหอนออก
จากนั้นมันถีบขาหลังพุ่งใส่จิวอิงอย่างรวดเร็ว เพียงลมหายใจเดียวพวกมันเผชิญหน้าโดยห่างกันเพียง1ช่วงตัวเท่านั้น
จิวอิงยกสองมือของมันเหวี่ยงเข้าหาหมาป่ารัตติกาลอย่างบ้าเลือด ขณะเดียวกันหมาป่ารัตติกาลพุ่งศีรษะของมันหมายจะกัดกลืนร่างของจิวอิงให้ขาดในคำเดียว
แต่จู่ๆร่างกายหมาป่ารัตติกาลกลับเย็นเฉียบ มันรีบหุบปากของมันพร้อมกับก้มร่างลงแทบพื้นด้วยความหวาดกลัว ตัวของมันสั่นไหวอย่างบ้าคลั่งราวกับว่ามันกำลังเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรในระดับที่สูงกว่ามันหลายเท่า
“หวาดกลัว??” เป็นไปได้อย่างไร สัตว์อสูรลมปราณกำลังหวาดกลัวนักรบผู้นั้น” จี้หลินตงยันกายขึ้นจากเก้าอี้ พร้อมมองไปยังภาพเบื้องหน้า....