บทที่ 90 สนามประลองอสูร 4
เมื่อทุกสายตามองเห็นทิศทางของปลายนิ้วนั้น มันขยับดวงตาของมันไปจับจ้องยังกลุ่มของอาวุโสสามมู่หลานเจี่ย
“เอ๋....ข้าหรอ!!! มะ...ไม่นะข้าพึ่งจะเลือนเข้าสู่แดนองครักษ์ได้ไม่ถึงเดือนเลยด้วยซ้ำ ทะ..ท่านเลือกคนผิดแล้ว”
เห็นเช่นนั้นมู่หลานเจี่ยได้มองไปยังหนิงเทียนด้วยสีหน้าดูถูก "เจ้านี่มันโง่จริงๆถึงได้เลือก คนที่พึ่งจะก้าวพ้นแดนนักรบได้ไม่นานอย่าง จิวอิง"
ถ้าจะบอกว่าจิวอิงเป็นคนที่อ่อนแอและขี้ขลาดที่สุด ในกลุ่มข้ารับใช้และนักรบของมู่หลานเจี่ยละก็อาจจะไม่ใช่คำพูดที่เกินไปเลยจริงๆ
สำหรับมู่หลานเจี่ยแล้ว ข้ารับใช้ที่มีไว้เพื่อใช้แรงงานอย่างจิวอิง จะหาอีกกี่คนก็ยอมได้ มันจึงพยักหน้าตกลงพร้อมกล่าวออกมา
“จิวอิงในเมื่องเจ้าถูกเลือกแล้ว เหตุใดยังไม่ออกไปอีก” มู่หลานเจี่ยกล่าวออกด้วยเสียงเย็นชา
“มะ..ไม่นะ ท่านยายมู่ข้าพึ่งจะเป็นองครักษ์ขั้นแรกเท่านั้น” มันรีบกล่าวปฎิเสธด้วยสีหน้าที่ซีดขาว
“ข้าบอกให้เจ้าออกไป เจ้าก็ต้องออกไป ท่านผู้นำได้ลั่นวาจาไปแล้ว ถ้าเจ้ายังกล้าปฎิเสธอีกคำเดียว ข้าจะสังหารเจ้าเสียตรงนี้”
มู่หลานเจี่ยกล่าวออกด้วยเสียงดุร้ายคำพูดของมันช่างแตกต่างจากบุคคลิกของมันอย่างสิ้นเสียง
ได้ยินเช่นนั้นจิวอิงไม่สามาถกล่าวอันใดออกมาได้อีก มีเพียงแต่ก้มหน้ายอมรับและเดินเข้าหาความตายเท่านั้น
ใครใช้ให้มันได้เกิดมาเป็นทาส ใช้ให้มันเกิดมาอยู่ในตระกูลที่ต่ำต้อย จะโทษใครได้อีกนอกจากโชคชะตาของตัวเอง
เดิมมันคิดว่าชีวิตของมันนับจากนี้จะมีแต่ความสุขสบายเมื่อได้เข้ากับตระกูลมู่ แม้มันจะต้องหาบน้ำ หุงข้าว ตัดฝืน มันก็ไม่เคยปริปากบ่นแม้แต่คำเดียว
แต่ชีวิตก็ไม่ได้เป็นอย่างที่มันคิด มันไม่สามารถหนีไม่พ้นการกดขี่ของโชคชะตาได้อยู่ดี
จิวอิงหัวเราะออกเสียงดังราวกับว่ามันหัวเราะให้แก่โชคชะตาในชีวิตนี้ของมัน และก้าวเท้าเดินไปยังสนามประลองด้วยท่าทางที่เลื่อนลอย ไร้ประกายแสงแห่งความหวังจากดวงตา
มู่ฉูจีถึงกับขมวดคิ้วออกมา “หมาป่ารัตติกาลสัตว์อสูรขั้นที่1กับผู้ฝึกตนในแดนองครักษ์ขั้นแรก!!”
“ฮ่าๆ ข้าเริ่มชอบเจ้าเด็กหยางกวงขึ้นมาซะแล้วสิ มันนอกจากจะโง่และยังตาบอดอีกด้วย เห็นได้ชัดว่ามันเลือกคนเพราะยืนอยู่ข้างกายท่านหลานเจี่ยสินะ” มู่ปังหัวเราะเยาะอย่างสุขใจ
เมื่อทุกคนได้ยินชัดเจนแล้วว่า มนุษย์ที่ฝ่ายคุณหนูใหญ่เลือกมาประลองนั้นเป็นใคร พวกมันรีบยกยิ้มขึ้นมาอย่างพร้อมเพียง เห็นได้ชัดว่าการประลองรอบนี้ ฝ่ายสัตว์อสูรต้องชนะแน่นอน
จี้ตงหลิน ระบายลมหายใจออกมา พร้อมองไปยังมู่เสวี่ยก่อนจะบ่นออกมา “เหตุใดแม่นางมู่ถึงได้มีข้ารับใช้ที่โง่เง่าเช่นนี้ได้”
มู่ซวนเฟิงได้ยินดังนี้ มันจึงรีบกล่าวออกแก่หนิงเทียนโดยเร็ว “เจ้าได้เลือกแล้ว ถ้าเจ้าต้องการกลับคำพูดมีแต่ความตายเท่านั้นที่รออยู่”
จากนั้นมันหันไปกล่าวกับกลุ่มคนในตระกูล “เอาละใครต้องการที่จะวางเดิมพันฝ่ายมนุษย์ เชิญได้เลย..”
หนิงเทียนพยักหน้าช้าๆก่อนจะหันไปกล่าวออกแก่มู่ซวนเฟิง “แน่นอนว่ารอบนี้ข้าต้องเลือกเดิมพันฝั่งมนุษย์อยู่แล้ว
แต่ว่ามีสิ่งหนึ่งที่ข้าคิดว่าตระกูลมู่ไม่ได้ให้ความยุติธรรมแก่พวกเรา ในรอบก่อนนี้คุณหนูของข้าก็เป็นเจ้ามือรับเดิมพันแล้ว
ถ้าในรอบนี้พวกท่านยังต้องการให้คุณหนูของข้าเป็นเจ้ามือรับเดิมพันอีกครั้งละก็ พวกเราจะต้องประลองกันอีกกี่รอบกัน ข้าถึงจะได้เงินที่เสียไปคืนให้แก่ผู้เป็นนาย”
ได้ยินคำกล่าวเช่นนั้น มู่ซวนเฟิงยกคิ้วขึ้นสูง “เจ้าขี้ข้า เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“เรียนท่านผู้นำ ข้าน้อยแค่ต้องการให้พวกท่านทั้งตระกูลเป็นเจ้ามือรับการเดิมพันจากฝั่งคุณหนูของข้าบ้าง” หนิงเทียนกล่าวออกอย่างระวัง
ปัง!!! มู่หลานเจี่ยทุบโต๊ะออกเสียงดัง มันกล่าวขึ้นอย่างมีโทสะ“สามห้าวเกินไปแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงตระกูลมู่ทั้งตระกูล แค่ข้ามู่หลานเจี่ยคนเดียวก็สามารถเป็นเจ้ามือรับเดิมพันในรอบนี้ได้”
“ท่านอาวุโสสาม ทำอย่างนี้ไม่ดีนะ ท่านจะเดินพันกับคนโง่เช่นนี้และนำเงินไปฝ่ายเดียวไม่ได้เด็ดขาด” มู่ปังรีบกล่าวออกมันกลัวว่ามู่หลานเจี่ยกำลังแสดงละครออกเพื่อที่จะได้เป็นฝ่ายรับการเดิมพันครั้งนี้
เสียงของผู้อาวุโสคนอื่นดังเสริมคำพูดของมู่ปัง “พวกเราก็ต้องการเป็นเจ้ามือครั้งนี้ด้วยเช่นกัน”พวกมันกลัวว่าเนื้อปลามันชิ้นนี้จะถูกมู่หลานเจี่ยเก็บไว้กินเพียงผู้เดียว
ไม่มีคนใดในตระกูลมู่ที่ต้องการเดิมพันฝ่ายมนุษย์ พวกมันทุกคนไม่เว้นแม้แต่ข้ารับใช้ที่มีรายได้ ไม่กี่สิบเหรียญทองต่อเดือนยังคงเลือกเดิมพันฝ่ายสัตว์อสูร
แม้พวกมันจะโง่เป็นเพียงข้ารับใช้ต่อยต่ำแต่มันก็ไม่ได้บ้าที่จะมองไม่ออกว่าสัตว์อสูรขั้นที่1นั้นมีพลังมากกว่าองครักษ์ขั้นที่1ขนาดไหน ฟ้ากับเหวที่คือคำเปรียบเปรยที่ดีที่สุดในเวลานี้
มู่ฉูจียกยิ้มและกล่าวออก “เจ้าหนุ่มที่เจ้ากล่าวออกมาเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าเจ้าต้องการให้ตัวเองเป็นผู้กำหนด วงเงินในการเดิมพันครั้งนี้หรอกหรือ?”
หนิงเทียนพยักหน้าอย่างช้าๆ “ข้านั้นเสียไปเยอะมาก แม้มันจะเป็นเศษเงินของคุณหนูแต่ข้าก็ไม่ต้องการให้ใครเห็นว่าข้าเป็นพวกใจบุญที่ชอบแจกจ่ายเงิน เช่นนั้นครั้งนี้ข้าต้องการเดิมพันอะไรที่มันใหญ่ๆหน่อย”
คำพูดและการกระทำของหนิงเทียนนั้นคล้ายกับพวกนักพนันที่ยิ่งเสียยิ่งเดิมพันสูงขึ้น
“หึ เจ้ากล้าที่จะกล่าวออกมาว่าให้ผู้คนทั้งตระกูลมู่เป็นฝ่ายรับเดิมพันจากเจ้า เช่นนั้นของที่มันใหญ่ที่เจ้าว่า คงจะไม่น้อยไปกว่า10หยกนิลหรอกนะ
ไม่เช่นนั้นพวกเราทั้งตระกูลคงได้รับกันอย่างไม่ทั่วถึง” มู่ซวนเฟิงรีบกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม มันนั้นมองไปยังข้ารับใช้หน้าโง่ที่กำลังทำตัวเหมือนนักพนันที่ไม่สามารถคุมสติได้เมื่อแพ้พนัน
“ตกลง แพ้หรือชนะมีโอกาส ครึ่งต่อครึ่ง ข้าไม่เชื่อว่าเดิมพันฝ่ายมนุษย์ทุกครั้งจะเสียทุกครั้งแน่นอน”หนิงเทียนกล่าวออกมาอย่างภาคภูมิ แต่ด้วยคำกล่าวของมันนั้นสร้างเสียงหัวเราะให้แก่ทุกได้เป็นอย่างดี
“ฮาฮาๆข้าเชื่อแล้วว่ามันโง่จริงๆ มันคิดว่าพวกเรากำลังเดิมพันโยนเหรียญทองอยู่หรือไง?” จี้ตงหลินกล่าวออกมาด้วยเสียงหัวเราะ
หนิงเทียนหาได้สนใจเสียงหัวเราะไม่ มันเพียงแต่ปลายตามองไปยังจี้ตงหลิน “คุณชายจี้ ท่านสนใจจะร่วมเดิมพันครั้งนี้กับพวกเราด้วยหรือไม่?”
“ฮาฮาๆ เมื่อเจ้าเชิญชวน ข้าจะไม่ตอบรับได้อย่างไร” จี้ตงหลินกล่าวออกพร้อมกับหัวเราะอย่างหยุดไม่ได้
ได้ยินเช่นนั้น หนิงเทียนหันไปกล่าวออกแก่มู่เสวี่ยด้วยเสียงดังที่หมายจะให้ทุกคนได้ยิน“คุณหนูท่านจะเดิมพันมันเท่าไรดี?...”
มู่เสวี่ยกล่าวตอบ“ข้านั้นไม่ได้สนใจเรื่องเงินทอง ถ้าชนะก็นับว่าโชคดี ถ้าแพ้ก็คิดเสียว่าทรัพย์สินของบิดาข้า จะถูกใช้ออกเพื่อพัฒนาชีวิตและความเป็นอยู่ของทุกคนในตระกูล หยางกวงเจ้านำทั้งหมดออกมาเดิมพันเถอะ”
มุมปากของหนิงเทียนยกยิ้มขึ้นมาทันที ‘เด็กนี้มีไหวพริบไม่เบาจริงๆ’
จากนั้นมันหันกลับไปทางกลุ่มคนทั้งหมดพร้อมกล่าวขึ้นมา “ได้ยินแล้วหรือไม่ คุณหนูข้าให้ใช้ทรัพย์สมบัติของท่านทั้งหมดออกมาเดิมพัน”
หนิงเทียนทำเป็นล่วงมือเข้าไปในอกเสื้อจากนั้นมันเอาแหวนมิติสีทองแดงที่เตรียมไว้ขึ้นมาพร้อมกล่าวออก “ข้าเดิมพันว่าผู้ชายที่ชื่อจิวอิงจะเป็นฝ่ายชนะ”
สิ้นเสียงของหนิงเทียน มันสะบัดมือเผยให้เห็นสิ่งของที่อยู่ในแหวนมิติ พร้อมกล่าวอธิบาย
“หยกนิล400ก้อน โอสถลับกลั่นกระดูกทะลวงชีพจร2เม็ดคิดเป็น100หยกนิล
หินลมปราณระดับสูง1000ก้อนคิดเป็น10หยกนิล โอสถจิตปัญญา100เม็ดคิดเป็น10หยกนิล รวมทั้งสิ้น520หยกนิล”
ทุกๆคำพูดที่หนิงเทียนอธิบายออกมากอปรกับสิ่งของที่ได้วางอยู่ตรงหน้าของมัน ให้สายตานับร้อยๆคู่ได้มองมาอย่างทั่วถึง
เห็นเช่นนั้นทุกคนเบิกดวงตากว้างขึ้นอย่างไม่ได้นัดหมายกันมาก่อนพวกมันขยี้ตาอย่างพร้อมเพียงกัน พวกมันไม่เชื่อสายตาในสิ่งที่กำลังได้เห็น และไม่เชื่อในหูสำหรับสิ่งที่ได้ยิน
กลุ่มของข้ารับใช้บางส่วนถึงกับตกใจจนเป็นลมไปก็มีให้เห็นอยู่ประปราย
จี้ตงหลินที่กำลังจิบชาอย่างสบายใจถึงกับพ่นออกมาพร้อมสำลักออก “แคร่กๆ”มันรีบเช็ดมุมปากพร้อมมองไปยังกองสมบัติอีกครั้ง
มู่ปัง มู่หลานเจี่ยพวกมันทั้งสองอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง ไม่เว้นแม้แต่มู่เฉียนและมู่หยู พวกนางกล่าวออกมาอย่างติดๆขัดๆ “หะ...ห้าร้อยหยกนิล”
มู่ฉูจีหาได้สนใจหยกนิลที่หนิงเทียนกล่าวออกมา มันเพียงแต่จับจ้องไปยังโอสถลับทั้งสองเม็ดด้วยสายตาเป็นประกาย
แม้หนิงเทียนจะตีราคามันอย่างส่งๆไปเม็ดละ50หยกนิลก็ตาม แต่ต่อให้ตระกูลใดในเมืองฉางผิงกำเงิน50หยกนิลไปหาซื้อมันละก็ บอกได้เลยว่าไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน
มู่ซวนเฟิงขมวดคิ้วทั้งสองเข้าหากัน โดยนิสัยแล้วมันเป็นคนระแวงระวังเป็นอย่างมากแต่ครั้งนี้ด้วยสมบัติที่อยู่ตรงหน้ามันมากกว่าคลั่งสมบัติที่สะสมกันมานับ100ปีของตระกูลเสียอีก
หนิงเทียนเปล่งเสียงออกมาทำลายความตกตะลึงปนสับสนของพวกมันทั้งหมด “คุณหนูของข้าต้องการให้กลุ่มคนรับใช้ทั้งหมดรับเดิมพัน20หยกนิล
กลุ่มพวกนักรบ50หยกนิล ท่านอาวุโสหลักทั้งสามคน 150หยกนิล คุณหนูทั้งสอง100หยกนิล คุณชายจี้50หยกนิลและท่านผู้นำ150หยกนิล” หนิงเทียนแจกแจ้งทุกสิ่งราวกับว่ามันกำลังบริจาคทรัพย์สมบัติครั้งใหญ่ก็ไม่ปาน
บรรยากาศภายในสนามประลองอสูรร้อนระอุขึ้นมาทันที หนิงเทียนกวาดสายตามองผ่านกลุ่มคนนับร้อยๆชีวิตที่แสดงความรู้สึกแตกต่างกันออกไป
ถึงแม้ว่าพวกมันจะมั่นใจในตัวของหมาป่ารัตติกาลก็ตามที แต่ด้วยเงินจำนวนมากมายขนาดนี้ ถ้าเกิดมีอะไรผิดพลาดไป มันจะเอาปัญญาที่ไหนมาชดใช้ได้
ในกลุ่มของคนรับใช้พวกมันต้องตายแล้วเกิดใหม่อีกสักสิบชีวิตถึงจะมีปัญญาได้จับหยกนิลสักก้อน ไม่ต่างอะไรกับกลุ่มนักรบที่ดีกว่าหน่อย พวกมันอาจจะตายแล้วเกิดใหม่เพียง8ชีวิตเท่านั้นถึงจะได้จับหยกนิลสักก้อนหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้ใบหน้าของพวกมันกว่าครึ่งซีดขาวราวกับคนตาย
มู่เสวี่ยมองไปยังสมบัติตรงหน้า มันพยามข่มร่างกายไม่ให้สั่นออกในช่วงที่บิดานางยังมีชิวิตอยู่ นางนั้นเห็นสมบัติทุกอย่างในคลังของตระกูล แต่นั้นก็ไม่ได้มีค่ามากมายเหมือนกับสมบัติที่หนิงเทียนนำออกมา
ถ้าการประลองครั้งนี้นางเป็นชนะก็เท่ากับว่า กลุ่มคนรับใช้รวมถึงนักรบที่ไร้ปัญญาจ่ายได้นั้นจะต้องเป็นหนี้ชีวิตนางไปจนตาย
มู่ฉูจีนั้นมองผ่านร่างของหนิงเทียนไป มันเอ่ยออกแก่มู่เสวี่ย“คุณหนูใหญ่ สมบัติทั้งหมดนี้ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของท่านใช่หรือไม่?
มันเป็นของท่านผู้ก่อตั้งตระกูล มู่เฉิน ปู่แท้ๆของท่านใช่หรือไม่?”
ด้วยเพียงคำถามที่เกิดจากการคาดเดาของมู่ฉูจีนั้น โดยไม่ต้องรอคำตอบจากปากของมู่เสวี่ย มันทำให้ทุกคนปักใจเชื่อในที่มาของสมบัติเหล่านี้ทันที
เพราะนอกจากผู้ก่อตั้งตระกูลแล้ว แม้แต่ผู้นำคนก่อนก็ไม่ทางที่จะมีสมบัติมากมายขนาดนี้ได้แน่
“คุณหนูใหญ่ ท่านไม่คิดว่าการเดิมพันครั้งนี้มากไปหรือ?”มู่หลานเจี่ยรีบกล่าวออก แม้มันมั่นใจว่าจะชนะเดิมพันแต่ด้วยจำนวนเงินที่มากขนาดนี้ ไม่แปลกที่มันจะรู้สึกไขว้เขวและไม่กล้าที่จะเสี่ยง
“นี้ไม่มากแต่อย่างใด อย่างน้อยที่สุด ถ้าไม่นับคุณชายจี้ที่เป็นแขกร่วมสนุกแล้ว หยกนิลกว่า500ก้อนนั้นก็ยังคงอยู่ในตระกูลมู่ของเราเช่นเดิม” มู่เสวี่ยกล่าวออกด้วยรอมยิ้ม
“ถูกต้องแล้วมันแค่เพียงเปลี่ยนจากมือของคุณหนูใหญ่กระจายสู่ทุกคนอย่างทั่วถึงเท่านั้น แต่ฝ่ายของข้าโชคดีชนะขึ้นมาพวกท่านก็แค่ร่างสัญญาหนี้มาให้คุณหนูของข้าคนละ1ฉบับก็น่าจะเพียงพอแล้ว ข้ากล่าวถูกหรือไม่คุณหนู”
หนิงเทียนรีบกล่าวเสริม มันจงใจใช้คำพูดที่ทำให้คนพวกนั้นสบายใจ ถ้าชนะก็ร่ำรวยถ้าแพ้ก็แค่เป็นหนี้เท่านั้น ไม่ได้เสียชีวิตหรือบังคับให้จ่ายแต่อย่างใด เมื่อพวกมันคิดตามคำพูดของหนิงเทียนเช่นนั้น
กลุ่มของคนรับใช้และทหารรีบกล่าวออกมา “ตกลงพวกเรารับเดิมพัน”
หนิงเทียนยกยิ้มขึ้นพร้อมกับมองไปทางตันกุย “ไปเอากระดาษมาให้พวกเขาเขียนสัญญา”ด้วยคำพูดที่เปี่ยมไปด้วยอำนาจ แม้ว่าพวกมันจะอยู่ในฐานะคนรับใช้เหมือนกันแต่ตันกุยก็อดไม่ได้ที่จะทำตามอย่างโดยดี
จากนั้นหนิงเทียนมองไปยังกลุ่มของผู้อาวุโสหลักทั้งสามและคุณหนูทั้งสอง “แล้วพวกท่าน?”
พวกมันใช้เวลาคิดกันไม่นานนักจากนั้นมันก็ก้มหน้าร่างสัญญาออกมาคนละฉบับและประทับตราของตัวเองลงไป
จะมีเพียงแต่มู่ซวนเฟิงและจี้ตงหลินสองคนเท่านั้นที่ไม่ยอมเสียหน้าร่างสัญญากู้ พวกมันทั้งคู่สะบัดมือนำหยกนิลออกมาเดิมพัน
สำหรับจี้ตงหลินแล้วนั้น50หยกนิลสำหรับบุตรชายคนเดียวของเจ้าเมืองจี้หลินนับว่าไม่ใช่เรื่องที่แปลกมากนัก
แต่สำหรับมู่ซวนเฟิง150หยกนิลที่มันนำออกมานั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นเงินทองในคลังของตระกูล และการที่มันเอาเงินคงคลังของตระกูลมาเดิมพันด้วยเรื่องส่วนตัวนั้น ทำให้กลุ่มข้ารับใช้เริ่มที่จะซุบซิบกันอย่างเบาๆ
ทันใดนั้น มู่ซวนเฟิงก็กล่าวออกมาด้วยเสียงดัง “ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าร่างสัญญากันเป็นเวลาสองชั่วยาม
การประลองจะเริ่มเมื่อสัญญาถูกเขียนขึ้นจนครบทุกคน” จากนั้นมันสะบัดมือเป็นสัญญาณ ในข้ารับใช้นำสุราออกมารับรองคุณชายจี้