บทที่ 89 สนามประลองอสูร 3
ฮ่าฮ่าๆ หนิงเทียนหัวเราะออกเสียดัง พร้อมกล่าวขึ้น “มันเป็นเพียงการละเล่นสนุกๆเท่านั้น เหตุใดพวกท่านต้องคิดให้มากด้วย” ก่อนที่มันจะทำท่าทางหยุดคิดอยู่ชั่วครู่และมองออกด้วยสายตาดูถูก
"อ่อข้ารู้แล้วเพราะว่ามันคือ1หยกนิลสินะ จึงต้องคิดให้ถี่ถ้วน สมควรแล้ว สมควรแล้ว...”
ด้วยการกระทำและคำพูดของหนิงเทียนนั้น มันทำให้ผู้อาวุโสและสมาชิกคนอื่นๆเริ่มเกิดความสงสัยภายในใจแล้วว่าเหตุใดคุณหนูใหญ่คนนี้ถึงมีทรัพย์สินมากมาย
มู่ซวนเฟิงไม่อาจจะทนคำพูดและเสียงหัวเราะของพวกขี้ข้าได้อีก มันจึงรีบกล่าวออกอย่างรวดเร็ว “เริ่มได้”
การประลองอสูรนั้นเป็นส่วนหนึ่งของแดนสวรรค์แห่งนี้ มันเป็นการละเล่นของเหล่าผู้มั่งมีด้วยอำนาจและชนชั้นสูงเพื่อใช้เดิมพันและฆ่าเวลา
แต่เนื่องด้วยสัตว์อสูรนั้นมีความยากในการจับเป็น มันจึงมีราคาที่แพงมาก อีกทั้งเมื่อเวลาที่สัตว์อสูรสองตัวต่อสู้กัน ด้วยสัญชาตญาณของพวกเดรัจฉานถ้าอีกฝ่ายไม่ตายพวกมันจะไม่หยุดพุ่งเข้าใส่กัน
ด้วยเหตุนี้การประลองแต่ละครั้งจึงเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรเงินทองเป็นอย่างมาก มนุษย์จึงได้คิดวิธีใหม่ออกมาโดยใช้คนเป็นๆเข้าต่อสู้กับสัตว์อสูรแทนและได้ถูกเปลี่ยนแปลงชื่อเรียกเป็นสนามต่อสู้เดรัจฉานในเวลาต่อมา
มุมปากของเหวินซีฉีกยิ้มขึ้นมามันทะยานร่างลงไปในกรงเหล็กที่ถูกปิดกั้นอย่างแน่นหนาด้วยทวงท่าที่ ถ้าไม่มีใครบอกว่ามันคือคนรับใช้ จะไม่มีทางรู้ได้เลย
หนิงเทียนเอียงคอมองไปยังเหวินซี มันคิดอยู่ในใจ ‘ข้าไม่สนว่าเป้าหมายที่แท้จริงของเจ้าจะเป็นอะไร ตราบใดที่ความเหย่อหยิ่งของเจ้าไม่ขวางทางข้า ข้าก็จะทำเป็นไม่สนใจ’
ขณะเดียวกันทหารในชุดเกราะนับสิบคนกำลังช่วยกันเข็นกรงเหล็กที่ถูกประดับไปด้วยล้อทั้งสี่เข้าไปในสนามประลองก่อนที่ทหารนายหนึ่งจะใช้ดาบตัดโซ่ที่ล็อกกรงเหล็กไว้
เพียงชั่วลมหายใจเข้าออกสองครั้ง มันเผยให้เห็นสัตว์อสูรตัวร่างใหญ่โต ค่อยๆย่างก้าวออกมาจากลูกกรง
“หมาป่ารัตติกาล หนึ่งในเผ่าพันธุ์ระดับสูงของเผ่าหมาป่า”มู่ปังกล่าวออกพร้อมกับแหงนหน้าขึ้นไปมองดวงตะวัน “อืมโชคดีที่เป็นเวลานี้ ถ้าเป็นยามตะวันตกดินละก็ เกรงว่า1หยกนิลของข้าคงจะปลิวไปแล้ว”
มู่ซวนเฟิงพยักหน้าช้าๆ “ไม่เลว...ไม่เลวเฉียนเอ๋อ เจ้าทำให้พ่อประหลาดใจจริงๆ”
ได้ยินคำชมจากบิดา มู่เฉียนยิ้มออกพร้อมกับสะบัดมือเรียกแตรสีดำออกมาและเป่ามันออกเป็นท่วงทำนอง เมื่อหมาป่ารัตติกาลได้ยินเสียงของแตรนั้น ดวงตาของมันดำมืดพร้อมพุ่งร่างเข้าใส่เหวินซีโดยเร็ว
เหวินซีนั้นยืนกอดอกอย่างสงบ สายตาของมันจับจ้องไปยังหมาป่ารัตติกาลที่กำลังฟาดอุ้งเท้ามาที่มัน
ปังงง!!! อุ้งเท้าของหมาป่ารัตติกาลฟาดลงกับพื้น เหวินซีบิดกายหลบออก แขนของมันปรากฏรอยเลือดเล็กน้อย “ถ้าจะฆ่ามันคงไม่ไหวแน่ เจ้านี้แข็งแกร่งเกินไป”
เมื่อมันคิดเช่นนั้น มันจึงเลือกทางหนี เหวินซีพุ่งร่างออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วพร้อมกับหลบการโจมตีของหมาป่ารัตติกาลอย่างเฉียดฉิว ทุกๆครั้งที่หมาป่ารัตติกาลพุ่งเข้าใส่มันได้สร้างบาดแผลให้แก่เหวินซีจนเกือบจะทั่วทั้งตัว
มู่หลานเจี่ยอุทานออก “หมาป่ารัตติกาลช่างน่ากลัวจริงๆ ผู้ฝึกตนที่ระดับต่ำกว่าแดนแห่งปราชญ์คิดจะหนีจากมันเห็นทีจะเป็นไปไม่ได้”
“ท่านแก่จนดวงตาฝ่าฟางแล้วหรือไง ไม่เห็นหรือว่าเจ้าหนุ่มนั้นใช้ทักษะก้าวพันลี้”มู่ปังกล่าวออกอย่างเป็นกันเอง
“อืม น่าจะไม่เกิน10ลมหายใจที่เจ้าหนุ่มเหวินซีจะออกมาได้ เห็นที่ว่าคุณหนูใหญ่และคุณหนูสี่ต้องเสียเดิมพันแล้ว” มู่ฉูจีกล่าวออกอย่างสบายๆ
และเมื่อเวลาผ่านไป10ลมหายใจก็เป็นไปตามที่มู่ฉูจีได้เคยกล่าวไว้ เหวินซีทะยานร่างออกมาด้านนอกกรงเหล็กได้อย่างหวุดหวิด
แม้ร่างกายของมันจะโชกไปด้วยเลือด แต่นั้นก็นับได้ว่าเป็นชัยชนะที่งดงามของมัน
การกระทำที่องอาจของเหวินซีเรียกเสียงเฮของกลุ่มคนรับใช้ที่เฝ้ามองอยู่ หรือแม้แต่กลุ่มของผู้อาวุโสคนอื่นๆยังอดไม่ได้ที่จะกล่าวชื่นชม พวกมันเริ่มที่จะถกเถียงกันว่าใครจะได้ชายผู้นี้มาเป็นศิษย์
มู่ซวนเฟิงยกยิ้มขึ้นพร้อมมองไปยังหนิงเทียนและมู่เสวี่ย มันเอ่ยออก “เสวี่ยเอ๋อ โชคของเจ้านั้นไม่ดีเอาเสียเลย ในรอบแรกก็สูญเสียไปถึง3หยกนิล ลุงเกรงว่า...”ก่อนที่มันจะเอ่ยคำใดออก
หนิงเทียนหยิบ3หยกนิลวางไว้เบื้องหน้าพร้อมกล่าวขึ้น “เล็กน้อยเล็กน้อยใช่หรือไม่คุณหนูสี่”กล่าวจบมันปลายตามองไปยังมู่เฉียน
มู่เฉียนนางกัดฟันแน่นด้วยความโกรธ 3หยกนิลที่ต้องเสียออกนั้น เป็นรายได้เกือบทั้งปีของนางเลย นางมองไปยังมู่เสวี่ยพร้อมกล่าวออกอย่างเดือดดาด
“หยางกวง เจ้ามันตัวซวยจริงๆ”แม้นางจะกล่าวชื่อหยางกวงออกมาแต่สายตาที่นางมองไปนั้นสามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่านางต้องการจะก่นด่าใครกันแน่
จากนั้นนางประกาศออกเสียงดัง“ข้าต้องการใช้หมาป่ารัตติกาลประลองต่อไป มีผู้อาวุโสคนใดต้องการส่งข้ารับใช้ในแดนองครักษ์ลงมาหรือไม่”
“ดีดี พวกเราเริ่มกันอีกครั้ง ข้าไม่เชื่อว่าครั้งหน้าดวงข้าจะไม่ดี”หนิงเทียนรีบกล่าวเสริม
“ต่อไปให้คนของข้าลองดูบ้าง”ผู้อาวุโสคนหนึ่งตะโกนกล่าวขึ้นมา
“ข้าเดิมพันฝั่งสัตว์อสูร” มู่ปังพิจารณาชั่วครู่ก่อนกล่าวออกเป็นคนแรก
“ข้าด้วย”
“ข้าก็ด้วย”
ทุกคนลงความเห็นเป็นเสียงเดียวว่าจะเดิมพันฝ่ายหมาป่ารัตติกาลของคุณหนูสี่กันหมด เมื่อเป็นเช่นนี้พวกมันทั้งหมดล้วนมองหน้ากันและกัน ถ้าไม่มีใครเดินพันฝ่ายตรงข้ามแล้วใครละจะกลายเป็นเจ้ามือรับเดิมพัน
แม้แต่อาวุโสผู้ที่เป็นเจ้านายของฝั่งมนุษย์ที่จะลงไปประลอง ยังไม่กล้ารับความเสี่ยงที่จะวางเดิมพันข้างตัวเอง จำนวนเดิมพันของฝั่งอสูรนั้นนับรวมกันเกือบ10หยกนิล
นอกจากสามผู้อาวุโสหลักและผู้นำตระกูลแล้ว เห็นทีว่าจะไม่มีใครที่มีความมั่งคั่งพอที่จะรับหน้าที่นี้ได้
พวกมันทั้งหมดเริ่มจะมองหน้ากันและกัน ต่างฝ่ายต่างบุ่ยปากโยนให้กันละกันเป็นเจ้ามือในรอบนี้ แม้แต่กลุ่มของผู้อาวุโสหลักก็เริ่มกระอักกระอ่วนใจ ไม่มีใครยินยอมเป็นเจ้ามือรับการเดิมพันครั้งนี้
แม้ว่าถ้าฝ่ายมนุษย์ชนะขึ้นมามันจะได้รับเงินเดิมพันของคนทั้งตระกูลไป แต่ถ้าเกิดแพ้ขึ้นมาละ การจ่ายเดิมพันให้คนทั้งตระกูลนั้นนับว่าเป็นความเสี่ยงที่ไม่คุ้มค่ากันเลยแม้แต่น้อย
เวลาผ่านไปชั่วครู่ก็ยังไม่สามารถหาผู้เดิมพันฝ่ายมนุษย์ได้ จนเสียงระบายลมหายใจของหนิงเทียนดังออกมา เฮ้ออออ....
“คุณหนูใหญ่บอกว่าถ้าเป็นเช่นนี้ตระกูลมู่เราจะขายขี้หน้าต่อแขก จึงอนุญาติให้ข้าเดิมพันฝ่ายมนุษย์”
เสียงพูดอย่างไม่ใส่ใจของหนิงเทียนเหมือนกับสายฟ้าที่ฟาดลงมากลางลานประลองอสูร
“อะไรกัน คุณหนูใหญ่นะหรือจะเดิมพันฝ่ายมนุษย์”เสียงของข้ารับใช้เริ่มที่จะสนทนากันออก
“เจ้าโง่นั้นรู้หรือไม่ว่าการเดิมพันฝ่ายมนุษย์นั้นเท่ากับว่ามันจะต้องเป็นเจ้ามือรับการเดิมพันของผู้คนทั้งตระกูลมู่”
“เสวี่ยเอ๋อ เจ้ารู้หรือไม่กำลังทำสิ่งใดอยู่” มู่ซวนเฟิงกล่าวออกด้วยดวงตาที่หรี่แคบลง
“ข้ารู้ตัวดี” มู่เสวี่ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
“พี่ใหญ่ ท่านกล่าวออกมาแล้ว จะคืนคำไม่ได้หรอกนะ” มู่หยูกล่าวออกพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า
มู่หลานเจี่ยกล่าวถามขึ้นมาทันที“คุณหนูใหญ่ ข้าเองไม่มีปัญหาที่ท่านจะเป็นเจ้ามือรอบนี้ แต่ว่า10หยกนิลนั้นยังเป็นที่น่าสงสัยอยู่ว่าท่านสามารถจ่ายมันได้จริงหรือไม่”
“พวกท่านนั้นมากเรื่องเสียจริงๆ”หนิงเทียนส่ายหัวพร้อมกับหยิบหยกนิลนับสิบก้อนออกมาวางไว้เบื้องหน้า มันกล่าวอย่างไม่สนใจ“เพียงเท่านี้พอหรือไม่”
เมื่อเห็นหยกนิลจำนวนมากมาย ดวงตาของมู่เฉียนเปิดกว้างพร้อมกล่าวออกเสียงดัง “พี่ใหญ่ท่านไปเอาเงินมามายเช่นนี้มาจากไหนกัน!!!”
มู่เสวี่ยกล่าวตอบด้วยใบหน้าที่เย็นชา “ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”
“เสวี่ยเอ๋อ ในเรื่องนี้ลุงเองก็ต้องการรู้ว่าเจ้านำเงินมากมายมาจากที่ใดกันแน่” มู่ซวนเฟิงกล่าวถามอีกครั้ง
เวลานี้ภายในใจของมันรู้สึกถึงบางสิ่งที่ไม่ชอบมาพากล มันนั้นรู้ดีว่าตลอดสองปี นางนั้นไม่เคยออกห่างจากตำหนักและที่สำคัญการค้าทุกอย่างของพ่อนาง ได้ตกเป็นของตัวมันหมดแล้ว และเช่นนี้นางจะมีเงินมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร
มู่เสวี่ยหันมองไปยังหนิงเทียน ถ้าจะถามว่าใครนั้นเป็นผู้รู้สึกสงสัยมากที่สุดคงจะหนีไม่พ้นตัวของนางเอง นางก็ไม่รู้เลยว่าหนิงเทียนเอาหยกนิลมากมายขนาดนี้มาจากไหนและนางจะไปกล่าวตอบคำถามได้อย่างไร
หนิงเทียนที่เห็นสายตาขอความช่วยเหลือ มันจึงรีบกล่าวออกแก่มู่เสวี่ยด้วยระดับเสียงที่จงใจให้ได้ยินอย่างทั่วถึง
“คุณหนูใหญ่คนพวกนี้ไม่รู้หรือว่า บิดาผู้ล่วงลับไปแล้วของท่านทิ้งมหาสมบัติไว้ให้มากมายเพียงใด?”
กล่าวจบตรงนี้มันหันหน้ามองออกไปทางผู้คนทั้งหมดพร้อมกับตะโกนออกเสียงดัง
"เอาเถอะหยกนิลข้าก็นำออกมาแสดงแล้ว ถ้าพวกท่านยังต้องการซักไซ้คุณหนูของข้าอีกละก็ พวกเราจะเลิกเดิมพันและกลับทันที”
มู่ฉูจีพยักหน้าให้กับคำพูดของหนิงเทียน พร้อมกล่าวขึ้นมา“อดีตผู้นำนั้นแม้ท่านจะมีพรสวรรค์ในด้านการบ่มเพาะที่ไม่ได้โดดเด่นนัก แต่ในด้านการค้านั้น ท่านนับว่าเป็นพ่อค้าอัจฉริยะคนหนึ่ง
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ท่านจะทิ้งสมบัติอื่นๆที่พวกเราไม่รู้ไว้ให้แก่บุตรสาวเพียงคนเดียวของท่าน”
แม้มู่ซวนเฟิงยังรู้สึกสงสัยในคำกล่าวอ้างนั้นและด้วยคำพูดของมู่ฉูจีเองก็มีน้ำหนักอยู่ไม่น้อย แต่ทว่าที่สำคัญที่สุดคือสิ่งที่นางกำลังทำอยู่ตอนนี้ต่างหาก
มันแทบไม่ต่างจากเอาสมบัติที่พ่อนางได้เก็บไว้ให้มาถลุงอย่างไร้หัวคิด
เมื่อมันคิดได้เช่นนั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องสงสัยนางอีกต่อไป มันรีบกล่าวออกโดยทันที “ดี เริ่มการประลองได้”
และการประลองก็เป็นไปอย่างที่คนส่วนมากคาดคิด เพียงชั่วอึดใจเดียวหมาป่ารัตติกาลได้กัดกินร่างของมนุษย์ผู้นั้นอย่างหิวโหย
“สัตว์อสูรเป็นฝ่ายชนะ”มู่ซวนเฟิงยกยิ้มและประกาศออก
หนิงเทียนแหงนหน้าก่นด่าสวรรค์อย่างฉุนเฉียวเสียงของมันดังออกให้ทุกคนได้ยินอย่างชัดเจน “เหตุใดโชคชะตาถึงไม่เข้าข้างข้าบ้าง”
“ฮ่าฮาๆ ดูมันสิมันกำลังคลั่งเพราะแพ้เดิมพัน”
“ไม่แปลก รอบนี้คุณหนูใหญ่สูญเสียไปเกือบ10หยกนิล!!! ใช่นั้นมันคือหยกนิลเชียวนะ”
“ข้าว่ามันไม่น่าโทษโชคชะตาหรอกนะ มันน่าจะโทษความโง่ของตัวมันเสียมากกว่า”
เสียงก่นด่ามากมายดังออกมาจากทั้งกลุ่มผู้อาวุโส นักรบ และคนรับใช้ด้วยกัน
“ฮาฮาๆคุณหนูผู้อาภัพกับข้ารับใช้ขยะ คำนี้คู่ควรกับสองคนนั้นจริงๆ”มู่ปังกล่าวออกอย่างอารมณ์ดี 2หยกนิลที่มันได้มานั้น นับว่าเป็นรายได้ครึ่งปีของตำแหน่งผู้อาวุโสสองของมันเลยก็ว่าได้
“เดิมพันต่อ พวกเราเล่นกันต่อเถอะ”หนิงเทียนกล่าวออกอย่างเร่งร้อน ท่าทางของมันเหมือนนักพนันที่กำลังหัวเสียและต้องการเอาคืนให้เร็วที่สุด
จี้ตงหลินได้ยินดังนั้น มันจึงรีบกล่าวเตือนหมายจะสร้างความดีให้พิชิตใจสตรี
“แม่นางมู่ ข้ารับใช้ของท่านกำลังถูกเงินทองกลืนกินจนสูญเสียสติไปแล้ว ข้าแนะนำให้ท่านหยุดเสียตอนนี้”
ได้ยินคำกล่าวของจี้ตงหลิน มู่หยูรีบกล่าวขึ้นอย่างรวดเร็ว นางไม่ต้องการให้มู่เสวี่ยได้คิดถึงคำเตือนนั้นและแน่นอนว่านางไม่ต้องการให้การประลองหยุดเพียงเท่านี้
“เมื่อพี่ใหญ่ไม่ได้พูดอันใดออกมาแสดงว่านางนั้นเห็นด้วยกับที่ขี้ข้าตัวนี้กล่าวขึ้น เช่นนั้นแล้วทำไมพวกเราไม่รีบเริ่มกันต่อเสียทีละ”
มู่เฉียนแย้มยิ้มพร้อมกล่าวออก "เมื่อเห็นหมาป่ารัตติกาลของข้าแล้ว คงไม่มีใครหน้าไหนจะเสนอตัวออกมาตายอีก”กล่าวจบมันมองไปยังหนิงเทียน
“เจ้าชื่อหยางกวงสินะ เจ้าเองก็เป็นข้ารับใช้ของพี่ใหญ่ไม่ใช่หรือ ทำไมไม่ลงมาประลองเสียเองดูละ”
“ไม่...ไม่เด็ดขาด คุณหนูสี่ ตัวข้านั้นไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องลมปราณ แค่ระดับบ่มเพาะก็เห็นได้ชัดว่าพึ่งอยู่ในแดนนักรบขั้นต้นเท่านั้น ถึงข้าจะไม่ฉลาดแต่ข้าก็ไม่คิดที่จะลงไปตายอย่างแน่นอน”
หนิงเทียนรีบกล่าวปัดพร้อมยกสองมือขึ้นมาสะบัดไปมาอย่างเร็ว
“หึ ข้าก็คิดไว้แล้วว่าเจ้าจะต้องไม่กล้า ขยะก็ยังคงเป็นขยะอยู่วันยังค่ำละนะ”มู่เฉียนกล่าวออกด้วยน้ำเสียงและท่าทางดูถูกเป็นอย่างมาก
นางยังคงกล่าวต่อ "ถ้าเช่นนั้นเจ้าจะเอายังไง เมื่อไม่มีฝ่ายมนุษย์กล้าลงสนามและการประลองเดรัจฉานจะเริ่มขึ้นได้อย่างไร?”
หนิงเทียนเห็นเช่นนั้นมันได้แต่หยักไหล่ขึ้นสูงพร้อมกับรอยยิ้มที่แสดงถึงความไม่สะทกสะท้านในคำดูถูกนั้น
จากนั้นมันกวาดสายตาไปโดยรอบ ไม่นานนักสายตาของมันก็มาหยุดอยู่ที่มู่ซวนเฟิง
“ขออภัยที่ข้าต้องกล่าวเช่นนี้ แต่ว่าเหตุใดนักรบของตระกูลมู่ถึงได้ขี้ขลาดตาขาวถึงขนาดนี้ กะอีแค่หมาป่ารัตติกาลตัวเดียวเท่านั้นกลับทำท่าหวาดกลัวจนตัวสั่นและเลือกที่จะหลบอยู่หลังผู้เป็นนาย”
กล่าวจบหนิงเทียนหันไปทางมู่เสวี่ย “คุณหนูใหญ่เห็นทีหยกนิลที่ท่านเตรียมมาคงไม่ได้ใช้อีกแล้ว”
มู่ซวนเฟิงได้ยินถึงคำพูดที่หนิงเทียนได้กล่าวออกแก่มู่เสวี่ย จึงเกิดความความคิดออกมาอย่างฉับพลัน
"เด็กนั้นยังเหลือสมบัติอีกเยอะ? จะปล่อยให้กลับไปง่ายๆไม่ได้เด็ดขาดเมื่อมันคิดได้เช่นนั้นมันจึงเปล่งเสียงออกมา
“นักรบของตระกูลมู่ไม่มีผู้ใดเกรงกลัวความตาย เมื่อเจ้าเลือกที่จะเดิมพันฝ่ายมนุษย์แล้ว ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้เลือกข้ารับใช้ในแดนองครักษ์ออกมาด้วยตัวเอง
ไม่ว่าเจ้าจะเลือกข้ารับใช้ของอาวุโสคนใด พวกมันจะต้องออกมาและลงประลองโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆทั้งสิ้น” มู่ซวนเฟิงกล่าวออกด้วยเสียงเด็ดขาด
แม้ว่าคำพูดของมู่ซวนเฟิงจะดูดีและเป็นธรรม แต่ทว่าข้ารับใช้ในแดนองครักษ์ของตระกูลมู่ อย่างเก่งที่สุดก็อยู่ในขั้นที่7เท่านั้น
ซึ่งมันไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่จะสามารถต่อต้านสัตว์อสูรขั้นที่1ได้
หนิงเทียนยกยิ้มขึ้นที่มุมปากกอนกล่าวออกพร้อมยกสองมือขึ้นมาประกบกันไปทางมู่ซวนเฟิง“ขอบคุณท่านผู้นำ”
จากนั้นมันกวาดสายตามองไปรอบๆก่อนที่จะมาหยุดอยู่ที่ใบหน้าของมู่หลานเจี่ย
จากนั้นหนิงเทียนยกนิ้วชี้ขึ้นมา พร้อมกับชี้ไปทางมู่หลานเจี่ยและค่อยๆขยับทิศไปทางบุรุษที่ยืนอยู่ด้านข้างของมู่หลานเจี่ย “ข้าเลือกเจ้าแล้วกัน”