บทที่ 88 สนามประลองอสูร 2
“คงจะไม่ดีแน่ ถ้าตระกูลเราต้องสูญเสียนักรบไปด้วยเรื่องที่เล่นสนุกกันเช่นนี้”มู่ฉูจีที่นั่งอยู่เปิดตาขึ้นและกล่าวออก
มู่หลานเจี่ยที่นั่งอยู่ด้านข้างรีบกล่าวขัดขึ้นมา“ครั้งนี้เราต้องต้อนรับคุณชายจี้ให้สมเกียรติ ข้าคิดว่าคำพูดของคุณหนูสี่ก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผล” นางรีบกล่าวให้น้ำหนักแก่คำพูดของมู่เฉียน
“ข้าก็เห็นด้วยกับคุณหนูสี่”มู่ปังกล่าวออกเสียงดัง เป็นโอกาสดีที่พวกมันทั้งคู่จะใช้โอกาสนี้เลื้อยขาเก้าอี้ตำแหน่งอาวุโสใหญ่
“เอาละพวกท่านอย่าได้ถกเถียงกันต่อหน้าแขกอีกเลย”มู่ซวนเฟิงกล่าวยุติพร้อมหันไปทางมู่ฉูจี “พี่ฉูจีเรื่องครั้งนี้พวกเราหยวนๆสักครั้งเถอะ”
จากนั้นมันกล่าวออกโดยไม่รอฟังแม้แต่คำพูดตอบกลับของมู่ฉูจีแม้แต่น้อย “ข้าจะอนุญาติให้ส่งนักรบออกมาต่อสู้ได้ แต่ต้องเป็นนักรบที่อยู่ในแดนองครักษ์เท่านั้น
เราจะไม่เอานักรบในแดนแห่งปราชญ์ออกมาเสี่ยงด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง" ด้วยการกระทำของมู่ซวนเฟิงแสดงให้เห็นว่ามันไม่ได้ให้น้ำหนักใดกับคำกล่าวค้านของผู้อาวุโสใหญ่เลยแม้แต่น้อย
มู่ซวนเฟิงยังคงกล่าวต่อไป "เป็นตาของเจ้าแล้ว หวังว่าสัตว์อสูรที่เจ้าเลี้ยงไว้จะสร้างความสนุกสนานน่าดูชมให้แก่แขกพิเศษของเราได้”มู่ซวนเฟิงกล่าวออกพร้อมกับมองตรงไปยังมู่เฉียน ผู้เป็นบุตรสาวของมัน
หนิงเทียนที่อยู่ไม่ห่างจากกลุ่มของพวกมันเท่าไรนั้น สามารถได้ยินทุกคำพูดที่สนทนากันอย่างชัดเจน
‘แม้จะเรียกตัวเองว่าเป็นตระกูลใหญ่ แต่ภายในของพวกมันนั้นเปราะบางยิ่งกว่าแก้วเสียอีก รอยร้าวในใจของแต่ละคนช่างมากมายนักและที่สำคัญพวกมันนั้นไร้ซึ่งความสามัคคีกัน ไม่แปลกที่ตระกูลมู่จะตกต่ำลงเช่นทุกวันนี้’
เมื่อคิดได้อย่างนั้นหนิงเทียนปลายตาไปมองมู่ฉูจี "ดูเหมือนว่าถ้าต้องการยึดบังลังก์ของมู่เสวี่ยคืน อาวุโสใหญ่คนนี้ น่าจะเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุด"
ในช่วงชีวิตก่อนของหนิงเทียนมันเคยเขียนตำราพิชัยไว้เป็นอนุสรณ์แก่นักรบรุ่นหลัง ซึ่งหนึ่งในนั้นมีบทที่ว่าด้วยการช่วงชิง
มันถูกสลักข้อความไว้ว่า“ไม่มีบัลลังก์ใดที่แย่งชิงมาด้วยคาวเลือดจะจีรังยั่งยืน” และด้วยเหตุนี้ หนิงเทียนจึงใช้วิธีตีจากภายในมิได้คิดจะใช้กำลังบุกทะลวงจากภายนอกได้อย่างไร
เวลาเดียวกันตังกุยได้เดินนำมู่เสวี่ยและหนิงเทียนเข้ามายังลานประลอง เมื่อสายตาของมู่ซวนเฟิงมองเห็นมู่เสวี่ยแล้ว
ใบหน้าของมันยิ้มขึ้นพร้อมกล่าวด้วยถ้อยคำอ่อนโยน “เสวี่ยเอ๋อ เจ้ามาแล้ว เร็วเข้า ลุงจะแนะนำพี่ชายจี้ให้เจ้ารู้จัก”
แต่เมื่อมันเห็นทิศทางที่มู่เสวี่ยเดินตรงไปนั่งทำให้มุมปากของมันกระตุกขึ้นทันที เห็นได้ชัดว่านางนั้นไม่ได้ฟังคำพูดของมันเลยแม้แต่น้อย
ที่นั่งที่มู่เสวี่ยเลือกนั้นอยู่ในทิศทางตรงข้ามราวกับว่านางกำลังแฝงคำพูดบางอย่างในการเลือกที่นั่งเช่นนี้
แต่ถึงอย่างไร มู่ซวนเฟิง ก็ยังคงกล่าวออกด้วยเสียงอ่อนโยน ชวนให้คนนอกที่ได้ฟังรู้สึกเหมือนกับว่ามันเป็นลุงที่รักหลานสาวคนนี้ยิ่งกว่าบุตรของตัวเอง
“ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไรขอแค่เสวี่ยเอ๋อพอใจ จะนั่งที่ไหนก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เสวี่ยเอ๋อลุงขอแนะนำพี่ชายท่านนี้ เขาคือท่านจี้ตงหลินบุตรชายคนเดียวของขุนพลอัคคีและยังเป็นว่าที่เจ้าเมืองคนต่อไปของเมืองจี้หลินอีกด้วย”
เมื่อกล่าวแนะนำจบมันหันไปยังจี้ตงหลินพร้อมกล่าวออกด้วยเสียงสุภาพ “น้องชายจี้ นี้คือบุตรสาวคนเดียวของพี่ชายข้า
ถ้าท่านสามารถเอาชนะการประลองเลือกคู่ที่จะจัดขึ้นในอีกไม่กี่วันได้ ขอให้ท่านช่วยดูแลแก้วตาดวงใจ ดวงนี้ของข้าให้ดีด้วย”
“ผู้นำมู่ ท่านกล่าวเกินไปแล้ว สตรีที่หน้าตางดงามปานนางฟ้าเช่นนี้ข้าจะดูแลไม่ให้นางได้ลุกออกจากเตียงแน่นอน...เอ่อข้าหมายถึงว่าจะให้คนรับใช้ดูแลจนนางไม่ต้องขยับตัวให้ลำบากเลยละ”
จี้ตงหลินกล่าวออกขณะที่สายตาของมันจับจ้องมู่เสวี่ยอย่างไม่วางตา
สำหรับการประลองเลือกคู่นั้นมันมีความมั่นใจถึง9ใน10ส่วน ว่ามันจะต้องชนะและได้แต่งงานกับเทพธิดาเช่นนี้แน่นอน เวลานี้มันจึงอดที่จะจินตนาการภาพเวลาอยู่บนเตียงเดียวกับมู่เสวี่ยไม่ได้
แค่เพียงจ้องมองผ่านๆ มู่เสวี่ยก็เห็นคำว่าตัณหาปรากฏอยู่บนหน้าผากของจี้ตงหลินอย่างชัดเจน ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความรังเกียจ นางไม่แม้แต่จะกล่าวคำใดตอบกลับแม้แต่น้อย
หนิงเทียนเองก็ปลายตามองไปยังจี้ตงหลิน มันพิจารณาอยู่ชั่วครู่ก่อนจะบ่นออกมา "ไม่เลว.. หน้าเหมือนคางคกเช่นนี้แต่มีพลังในระดับแดนแห่งปราชญ์ขั้นต้นแล้ว"
ขณะที่มู่ซวนเฟิงเห็นการแสดงออกที่ไม่เต็มใจรับแขกของมู่เสวี่ย เส้นเลือดเล็กๆปรากฏบนหน้าผากของมันอย่างไม่รู้ตัว มันรีบปรบมือออกเสียงดัง พร้อมกล่าวขึ้น
“เอาล่ะพวกเรามาดูการประลองอสูรกันต่อเถอะ”จากนั้นมันมองไปยังมู่เฉียนพร้อมกับพยักหน้าให้เป็นสัญญาณ
แม้มู่เฉียนจะรังเกียจที่ได้เห็นใบหน้าของมู่เสวี่ย แต่นางก็ยังคงแสร้งเล่นละครโดยที่ใบหน้าของนางปั่นรอยยิ้มออกมาและกล่าวขึ้นอย่างภาคภูมิ“ท่านพ่อ สัตว์อสูรของลูกจะไม่ทำให้ท่านพ่อผิดหวังแน่นอน”
กล่าวจบนางโบกมือให้ทหารนำกรงเหล็กขนาดใหญ่ออกมา ถ้าประเมินด้วยสายตานั้นมันน่าจะสูงถึงสามช่วงตัวคน
กรงเหล็กนั้นถูกปกปิดด้วยผ้าคลุมสีดำผืนใหญ่ทำให้สายตาทุกคู่ไม่สามารถบอกได้ว่า ภายในนั้นเป็นสัตว์อสูรตัวใดที่คุณหนูสี่นำมา
มู่เฉียนยกยิ้มออกมาพร้อมกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะ “มีใครต้องการส่งข้ารับใช้ของตัวเองให้มาเป็นอาหารสัตว์อสูรของข้าหรือไม่”
ได้ยินเช่นนั้น มู่หยูหันกลับไปมองข้ารับที่ใช้ที่ยืนเรียงรายอยู่ด้านหลังนับสิบคน เวลานี้ใบหน้าของพวกมันทั้งสิบนั้นซีดขาว พวกมันเพียงแต่ภวนาว่า ตัวมันจะไม่ไปสะดุดตาของคุณหนูสามผู้นี้
มู่หยูกำลังพิจารณาพวกมันทีละคน จู่ๆน้ำเสียงของชายหนุ่มที่เป็นหนึ่งในข้ารับใช้ทั้งหมดของนางได้กล่าวอาสาตัวเองขึ้นมา
มู่หยูพยักหน้าพร้อมกล่าวออก “เจ้ามั่นใจ? ภายหลังผ้าม่านสีดำนั้น มันอาจะเป็นสัตว์อสูรลมปราณขั้นที่1 แดนองครักษ์ขั้นกลางอย่างเจ้ามีโอกาสรอดเพียง3ใน10ส่วนเท่านั้น”
ที่มู่หยูกล่าวออกเช่นนี้ไม่ใช่เพราะความเมตตาหรือเป็นห่วงอย่างใด เพียงแต่นางไม่ต้องการที่จะพ่ายแพ้น้องสาวตัวเอง นางจึงกล่าวถามออกเพื่อความแน่ใจ
เหวินซีกล่าวตอบอย่างอาจหาญมันหวังใช้โอกาสนี้เพื่อสร้างความชอบแก่มู่หยู
“แม้ข้าน้อยจะไม่มั่นใจว่าจะสังหารมันได้ แต่แค่เพียงหลบหนีนั้น ข้าน้อยมั่นใจเต็มสิบส่วน”
“ดีมาก ถ้าเจ้าชนะการประลองครั้งนี้ข้าจะให้เจ้าได้ปรนนิบัติข้าภายในห้องนอน แต่ถ้าไม่ก็จงทิ้งชีวิตไว้ภายในกรงเหล็กนั้นซะ ข้าไม่ต้องการมีข้ารับใช้ที่เป็นขยะ”
แม้คำกล่าวของมู่หยูจะเต็มไปด้วยความเย็นชาและอำมหิตแต่ด้วยน้ำเสียงและข้อเสนอที่ยั่วยวนเช่นนี้มันยิ่งทำให้เหวินซีมีความตั้งใจเพิ่มมากขึ้นอีกมากโข
มู่ซวนเฟิงมองไปยังเหวินซี มันยกยิ้มและกล่าวขึ้น “คนรับใช้ของเจ้าอยู่ในดินแดนองครักษ์ไม่เลว ครั้งนี้พ่อขอเดิมพันว่ามนุษย์เป็นผู้ชนะ 1หยกนิล”
ได้ยินเช่นนั้นมู่เฉียนมองค้อนไปทางบิดาเล็กน้อยก่อนจะเปล่งเสียงอย่างไม่พอใจนัก “ท่านพ่อ อย่าได้ดูแคลนสัตว์เลี้ยงของข้า”
“ฮ่าฮาๆ แค่เพียงเรื่องสนุกในครอบครัว เจ้าอย่าได้จริงจังนัก” มู่ซวนเฟิงกล่าวตอบบุตรสาวพร้อมทั้งหันไปมองจี้ตงหลิน “คุณชายจี้ ท่านต้องเดิมพันฝั่งไหนหรือ”
“ฝั่งไหนก็ได้...เอ่อฝั่งเดียวกับท่านแล้วกัน 1หยกนิล”จี้ตงหลินตอบกลับแบบส่งๆ เพียงเพราะสายตาของมันเวลานี้มีแต่ใบหน้าของมู่เสวี่ยเท่านั้น
มู่หยู่เห็นเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิด แม้ว่ามู่เสวี่ยจะได้รับความสนใจจากคนอัปลักษณ์หน้าคางคก แต่ถึงอย่างไรนางก็ไม่สามารถทนให้มู่เสวี่ยนั้นเด่นเกินกว่าตัวนางไปได้
นางจึงกล่าวออกทั้งๆที่รู้ว่าคุณหนูใหญ่ผู้นี้ไร้ซึ่งเงินทองใดๆทั้งสิ้น “พี่ใหญ่แล้วท่านละจะพนันฝ่ายใด”
“พี่สามท่านกล่าวอันใดออกมา พี่ใหญ่หรือจะมีเงินทองมากมายมาร่วมสนุกกับพวกเราได้” เห็นพี่สาวของนางเริ่มเช่นนี้ ถ้าจะไม่ตามไปถับถมดูแคลนมู่เสวี่ยแล้วเห็นทีจะไม่ใช่นิสัยของนาง
มู่ซวนเฟิงได้ยินคำสนทนาของทั้งคู่มันถึงกับขมวดคิ้ว ทำไมมันจะไม่รู้นิสัยบุตรสาวของมัน ก่อนจะเหลือบไปมองใบหน้าของจี้ตงหลิน เมื่อเห็นว่าจี้ตงหลินไม่ได้กล่าวอันใดออกมา มันจึงปล่อยให้สถานการณ์เป็นไปตามเลย
ขณะที่มู่เสวี่ยจะได้กล่าวคำใดออกมา ฝ่ามือของหนิงเทียนได้จับกุมไปบนบ่าของนางเป็นสัญญาณเชิงให้นางเงียบ พร้อมกับเปล่งเสียงดังขึ้น “คุณหนูใหญ่เดิมพันว่าชายที่ชื่อเหวินซีตาย 1หยกนิล”
“มันเป็นใคร? มันมีสิทธิ์อะไรมาเสนอหน้าเช่นนี้” มู่เฉียนปลายตาไปยังต้นตอของเสียงพร้อมทั้งมองสำรวจหนิงเทียนตั้งแต่หัวจรดเท้า
เหวินซีเองได้ยินนั้น มันเหลือบมองไปยังเจ้าของเสียงด้วยสายตาอาฆาต “นั้นมันขยะเมื่อวันก่อน รู้สึกจะชื่อหยางกวงสินะ คิดว่าข้าจะตาย?? ตลกสิ้นดี”
แม้แต่ตัวของมู่เสวี่ยเองยังหันไปมองหน้าหนิงเทียนโดยเร็ว นางไม่คาดคิดว่าหนิงเทียนจะเอ่ยคำใดออกมาในสถานการณ์เช่นนี้
นางมองไปยังใบหน้าของหนิงเทียนที่ยิ้มออกมาอย่างสบายๆ ก่อนที่จะเอนหลังไปกับพำนักพิงพร้อมกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงไร้กังวาล "มู่เสวี่ยนั้นต้องการเป็นผู้ชม ในทุกๆเรื่องที่อา.."
ก่อนที่นางจะลืมตัวและกล่าวคำนั้นออก เสียงกระแอ่มของหนิงเทียนดังเตือนสติของมู่เสวี่ยอีกครั้ง นางจึงกล่าวใหม่อีกครั้ง
“ข้าต้องการให้คนรับใช้ของข้าตัดสินใจแทน ทุกคำพูดของเขา เท่ากับเป็นคำพูดที่ออกจากปากข้า” มู่เสวี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น
ด้วยถ้อยคำเช่นนี้นั้นแม้จะสร้างความฮืออาให้กลุ่มผู้อาวุโสทั้งหลายของตระกูลมู่เป็นอย่างมากก็ตาม แต่ส่วนใหญ่นั้นจะลงความเห็นกันเป็นเสียงเดียวกันว่า
“คุณหนูใหญ่ถูกทอดทิ้งจนเสียสติไปแล้ว”
แต่เพราะทุกคนกลัวว่าถ้ากล่าวคำใดออกไป จะเป็นการทำลายภาพลักษณ์ของคุณหนูใหญ่ต่อหน้าจี้ตงหลิน
ใช่แล้วพวกมันทุกคนล้วนกลัวว่านางจะกลายเป็นสินค้าที่มีตำหนิและไม่มีผู้ใดมาเอาไปต่างหาก
“นางไร้ความเคารพแก่พวกเราเกินไปแล้ว ถึงกับให้ข้ารับใช้ออกมาเสนอหน้าเช่นนี้”มู่หลานเจี่ยกล่าวออกแก่บุคคลที่อยู่ด้านซ้ายและขวา
“เป็นมัน สารเลวนั้นกล้ามาเสนอหน้าที่นี้ได้อย่างไร”มู่ปังนั้นจำหนิงเทียนได้ดี เป็นตัวมันเองที่ส่งหนิงเทียนไปตำหนักหงส์ร่วง
มู่ฉูจี หัวเราะออกเสียงดัง “โฮะๆๆ ดูท่าทางว่างานนี้คงจะไม่น่าเบื่ออย่างที่ข้าคิดอีกแล้ว”
มู่ซวนเฟิงหรี่ตาแคบเมื่อมองไปยังหนิงเทียน ‘เป็นมันอีกแล้ว เมื่อวันก่อนข้าใจดีปล่อยไปแต่คราวนี้ไม่คิดว่าเจ้าจะวิ่งเข้าสู่กองไฟด้วยตัวเอง’
ภายในใจของมันคิดเช่นนั้นจึงกล่าวขึ้นมาเสียงดัง “เสวี่ยเอ๋อ ที่เจ้าพูดนั้นเป็นเรื่องจริง เจ้าต้องการให้ข้ารับใช้ชั้นต่ำเป็นตัวแทนอย่างนั้น?”
เมื่อมู่ซวนเฟิงเห็นมู่เสวี่ยพยักหน้าตอบรับมันจึงกล่าวต่อ “เจ้าขี้ข้า เจ้าควรรู้ว่าพวกเรากำลังทำอะไรกันอยู่ วาจาที่ลั่นออกมาแล้วไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ 1หยกนิล เจ้าคิดว่าเจ้ามีปัญญาจ่ายเช่นนั้น”
“ปัญญาจ่าย? ท่านผู้นำท่านเข้าใจผิดแล้ว 1หยกนิลนั้นเป็นเงินทองที่ทั้งชีวิตข้าน้อยก็ไม่สามารถหาได้ ข้าจะนำมันมาเดิมพันได้อย่างไรกัน
ข้าน้อยเป็นเพียงแค่ตัวแทนของคุณหนูเท่านั้น แน่นอนว่าหนึ่งหยกนิลนั้นคุณหนูของข้าจะเป็นผู้จ่ายมัน ท่านผู้นำคงไม่มีปัญหาใดใช่หรือไม่”หนิงเทียนกล่าวออกพร้อมรอยยิ้ม
เวลาเดียวกันมู่เสวี่ยใช้มือของนางกระตุกแขนเสื้อของหนิงเทียนเบาๆ นางกล่าวออกด้วยเสียงกระซิบ “อาจารย์ท่านจะทำอะไร ข้าไม่มีเงินทองมากมายอย่างที่ท่านพูด”
ได้ยินเสียงกระซิบของมู่เสวี่ยเช่นนั้น หนิงเทียนได้แต่กรอกตาไปมา มันพึมพำเชิงบ่นออกแก่มู่เสวี่ย
“เจ้าเป็นถึงคุณหนูใหญ่ทำไมถึงจนเช่นนี้นะ แต่เอาเถอะนี้เป็นสถานการณ์ที่ดีที่เจ้าจะได้แสดงอำนาจของตัวเองให้เหล่าฝูงวัวพวกนี้ได้ประจักษ์แก่สายตา ข้าจะยอมให้เจ้ายืมเงินเล็กน้อยแล้วกัน”
แปะ แปะ จี้ตงหลิน ปรบมือเสียงดังพร้อมกล่าวชม“คุณหนูใหญ่ตระกูลมู่นอกจากงดงามดังเช่นเทพธิดาแล้ว ซ้ำยังร่ำรวยมากมายอีกด้วย ท่านช่างน่าสนใจจริงๆ
ดีถ้าครั้งนี้ฝ่ายสัตว์อสูรชนะ ข้าจะจ่ายให้เป็นสองเท่าของเงินเดิมพันเลย” จี้ตงหลินกล่าวออก เวลานี้มันยิ่งสนใจมู่เสวี่ยมากขึ้นไปอีก
มู่เฉียนกัดฟันแน่น เห็นได้ชัดว่านางไม่พอใจที่มู่เสวี่ยมาเดิมพันฝ่ายเดียวกันนาง ถ้าสัตว์อสูรของนางเป็นฝ่ายชนะนี้ไม่เท่ากับกับว่านางจะต้องแบ่งเงินเดิมพันครึ่งนึงให้แก่มู่เสวี่ยหรอกหรือ
เออ.. หนิงเทียนส่งเสียงในลำคอออกมาก่อนจะกล่าวขึ้น “คุณหนูข้าได้วางเดิมพันไปแล้ว พวกท่านไม่คิดจะเดิมพันกันบ้างหรือไง”
“ช่างเป็นชายที่น่าเกลียดเสียจริง แต่ถึงอย่างไรข้าก็ขอขอบคุณที่เจ้าที่แสดงความโง่ออกมาให้พวกเราได้หยกนิลมาใช้ฟรีๆเช่นนี้ ข้าเดิมพัน1หยกนิลฝ่ายมนุษย์ชนะ”มู่หลานเจี่ยกล่าวออกมาเสียงดัง
มู่ปังมองไปยังหนิงเทียนด้วยจิตสังหารพร้อมกล่าวออก“ข้าก็เดิมพัน1หยกนิลด้วยเช่นกัน”
โฮะๆ “เจ้าหนุ่ม ชื่อว่าหยางกวงใช่ไหม ข้าเกรงว่าการเดิมพันครั้งนี้เจ้าจะทำให้ผู้เป็นนายเสียเงินโดยใช้เหตุแล้ว สัตว์อสูรของคุณหนูสี่นั้นนับว่าไม่เลว แต่เจ้าหนุ่มที่ชื่อเหวินซีนั้นแท้จริงแล้ว
มันเป็นถึงองครักษ์ขั้นปลายและถ้าสายตาข้าไม่ได้ฝ้าฟางเกินไปเจ้าหนุ่มนั้นจะต้องบ่มเพาะทักษะระดับมนุษย์ขั้นสูงเป็นแน่ เช่นนั้นตาแก่คนนี้ขอเดิมพันข้างคุณหนูสาม1หยกนิล”
ทุกคำที่มู่ฉูจีกล่าวออกมาเป็นเรื่องจริง เหวินซีนั้นอยู่ในแดนองครักษ์ขั้น8 กอปรกับทักษะมนุษย์ระดับสูงแล้ว
การจะหลบหนีจากสัตว์อสูรขั้น1นั้น นับว่าไม่ใช่เรื่องยาก และด้วยเหตุผลนี้เองผู้อาวุโสทุกคนรวมถึงมู่ซวนเฟิงถึงได้เลือกเดิมพันฝ่ายมนุษย์อย่างมั่นใจ