ตอนที่แล้วบทที่ 86 ศิษย์คนแรก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 88 สนามประลองอสูร 2

บทที่ 87 สนามประลองอสูร


กำลังโหลดไฟล์

เช้าวันรุ่งขึ้นภายในลานกว้างของตำหนักหงส์ร่วง คมกระบี่ที่กำลังฟาดฟันไปยังอากาศส่งเสียงดังออกมาอย่างน่ากลัว

ถ้าเพ่งสายตาไปที่ต้นตอของเสียงแล้วจะปรากฎร่างของสตรีนางหนึ่งกำลังร่ายรำกระบี่ด้วยความตั้งใจ

ท่วงท่าของนางแม้จะขัดๆเกร็งๆไปบ้างเนื่องจากห่างหายจากการจับกระบี่เช่นนี้มานานถึงสองปี แต่ทุกกระบวนท่าที่ฟันออกนั้นสามารถบอกได้เลยว่าทักษะที่นางกำลังร่ายรำอยู่นั้นเป็นเพลงกระบี่ในระดับปราชญ์ขั้นสูง

แปะ แปะ แปะเสียงปรบมือของหนิงเทียนดังออกมาพร้อมกับร่างของมันที่ก้าวตรงมายังลานกว้าง มันใช้เวลาในการพิจารณาท่ารำกระบี่ของมู่เสวี่ยอยู่ลมหายใจเดียว

จากนั้นจึงประเมินมันออกมาให้นางได้ฟัง “คะแนนท่วงท่านั้นเอาไป1 ส่วนพลังนั้นข้าให้0”

“อาจารย์มันแย่มากขนาดนั้นเลยหรอ”มู่เสวี่ยยกยิ้มพร้อมกล่าวออกอย่างอ่อนน้อม ด้วยโอสถจิตวิญญาณและโอสถลับรวมถึงทักษะทางการแพทย์ เพียงสามสิ่งนี้ก็ทำให้มู่เสวี่ยเปลี่ยนแปลงกริยาท่าทางของตัวเองไปภายในช่วงข้ามคืน

“ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าท่านไม่ต้องเรียกข้าเช่นนั้น”หนิงเทียนกล่าวตอบด้วยเสียงอันเป็นปกติ

“ข้านั้นคิดมาแล้วว่ามันคงจะเป็นเรื่องไม่สมควรที่จะเรียกท่านด้วยฐานะที่เท่าเทียมกัน สิ่งที่มนุษย์เรามีเหนือกว่าสัตว์เดรัจฉานนั้นก็คือการรู้จักบุญคุณและการตอบแทนความแค้น” น้ำเสียงของมู่เสวี่ยนั้นกล่าวออกด้วยความจริงจัง

หนิงเทียนกล่าวออกอย่างไม่สนใจ“ถ้าเช่นนั้นก็ตามใจท่านเถอะ”

“อาจารย์อย่าได้เรียกข้าว่าท่านอีกเลย เรียกข้าอย่างธรรมดาเถอะ” นางกล่าวออกพร้อมรอยยิ้มที่สามารถถล่มโลกให้พังลงได้

หนิงเทียนที่มองเห็นรอยยิ้มนั้น มันอดไม่ได้ที่จะยิ้มตามออกมา จากนั้นมันพยักหน้าช้าๆเป็นอันตอบตกลง “เอาเถอะ ข้าจะทำตามที่เจ้าต้องการ จงดูสิ่งนี้ให้ดี”

กล่าวจบหนิงเทียนหักกิ่งไม้ออกมา และเริ่มร่ายรำกระบี่อย่างต่อเนื่อง มันใช้ออกด้วยกระบวนท่าตัดชีพจรไร้เสียง

แม้จะไร้ซึ่งลมปราณในการส่งเสริมแต่ทุกๆการฟาดฟันออกนั้นสร้างรอยบาดลึกให้ปรากฎบนพื้นลานประลองอย่างน่าหวาดกลัว

“แค่เพียงกิ่งไม้ เหตุใดถึงมีพลังทำลายที่รุนแรงเช่นนี้”มู่เสวี่ยอุทานออกด้วยความตกตะลึง นางเองอดคิดไม่ได้ว่าถ้าอาจารย์ของนางนั้นใช้ออกด้วยลมปราณได้เหมือนคนอื่นแล้วละก็ความสามารถของเขาจะสะเทือนฟ้าเพียงใด

แม้แต่ตัวหนิงเทียนเองมันยังอดแปลกใจในพลังของตัวเองไม่ได้ แค่เพียงท่วงท่าอย่างเดียวกลับมีพลังถึงระดับนี้

เวลานี้ด้วยร่างกายเพียงอย่างเดียวก็สามารถกำจัดนักรบแดนแห่งปราชญ์ขั้นกลางได้ด้วยเพียงการตวัดกิ่งไม้เท่านั้น

ยิ่งคิดเช่นนั้นภายในใจของมันยิ่งตื่นเต้น หรือว่า เคล็ดแท้จริงของม้วนภาพที่สอง ภาพแปดตะวันที่จำกัดการใช้ออกลมปราณอยู่ขณะนี้เพียงเพื่อที่จะส่งเสริมระดับของทักษะกายา

ทางเดียวที่จะพิสูจน์ความคิดของมันได้คือการร่ายรำกระบี่ออกอย่างต่อเนือง

คิดได้เช่นนั้น หนิงเทียนจึงปล่อยตัวเองไปตามกระแสลม พร้อมกับยกกิ่งไม้ขึ้นร่ายรำ เพลงกระบี่ของตระกูลมู่ถูกใช้ออกด้วยท่วงท่าอ่อนช้อยและดุดัน

ยิ่งตวัดกระบี่ออกมากเพียงใด พลังทำลายของมันยิ่งมากขึ้นตาม เวลานี้ตัวของหนิงเทียนเหมือนกำลังตกอยู่ในภวังค์ มันฟาดฟันกระบี่ออกโดยไม่คิดสิ่งใด

“ยะยะ....หยุ....หยุดดด หยุดก่อนอาจารย์” เสียงกรีดร้องของมู่เสวี่ยดังออกมาดึงสติของหนิงเทียนออกจากภวังค์ความคิด มันหยุดยืนนิ่งพร้อมกวาดสายตาออกไปยังพื้นที่มันยืนอยู่

ซึ่งเวลานี้พื้นลานกว้างถูกตัดขาดออกจากกันเป็นหกส่วนแล้ว แม้แต่ตัวของหนิงเทียนยังแทบไม่เชื่อในสายตาขอตัวมัน

มู่เสวี่ยกล่าวออกด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น “อาจารย์ท่านไม่ได้ใช้ออกด้วยพลังลมปราณจริงๆหรือ แล้วนั้นคืออะไร..มันใช่กิ่งไม้จริงๆ??...” นางกล่าวพร้อมกับยกมือชี้ไปยังกิ่งไม้ในมือของหนิงเทียนราวกับว่ามันคืออาวุธลมปราณระดับสูง

หนิงเทียนส่ายหน้าออกมันยกยิ้มพร้อมกับปรับลมหายใจให้เป็นปกติ “ไม่ต้องสนใจเรื่องของข้า ว่าแต่เจ้าจำเพลงกระบี่ตระกูลมู่ที่ข้าร่ายรำให้ชมได้กี่ส่วนแล้ว”

“เอ๋...อาจารย์ท่านกำลังเข้าใจผิดแล้ว เพลงกระบี่ที่ท่านร่ายรำออกมานั้นไม่ใช่เพลงกระบี่ของตระกูลมู่เราแม้จะมีส่วนคล้ายคลึงแต่พลังทำลายของมันเกินกว่าทุกกระบวนท่าที่ข้ารู้จัก” มู่เสวี่ยรีบกล่าวอธิบายโดยเร็ว

ได้ยินคำพูดเช่นนั้นคิ้วของหนิงเทียนขมวดเข้าหากันในทันที นี้เป็นเพลงกระบี่ที่มันได้เรียนรู้ตอนซ้อมมือกับพ่อบ้านมู่อีกทั้งมันยังได้รับการชี้แนะทุกกระบวนท่า

รวมถึงเคล็ดลับการถ่ายเทพลังปราณไปยังกระบี่อย่างไม่ผิดเพี้ยนแล้วนี่มันจะไม่ใช่เพลงกระบี่ของตระกูลมู่ได้อย่างไรกัน

หนิงเทียนครุ่นคิดอย่างหนักก่อนที่มันจะจับกิ่งไม้และเริ่มร่ายรำอีกครั้ง มันระวังอย่างมากไม่ให้พลังทำลายแผ่พุ่งออกมามากจนเกินไป

เมื่อร่ายรำไปได้ครึ่งทาง ประกายแสงปรากฏในดวงตาของมัน “หรือว่า เพลงกระบี่ตระกูลมู่นั้นเป็นเพลงกระบี่ที่พ่อบ้านมู่คิดค้นขึ้นมาก่อนจะได้เจอกับท่านพ่อใหญ่ มันจึงเป็นเพียงเพลงกระบี่ในระดับปราชญ์

แต่หลังจากที่พ่อบ้านมู่ได้พบกับท่านพ่อใหญ่แล้ว เพลงกระบี่ของมันจึงพัฒนาไปถึงระดับเทพสงคราม”

เมื่อมันรู้แจ้งถึงข้อเท็จจริงแล้วมันจึงกล่าวถามออกแก่มู่เสวี่ย “ไม่ต้องคิดถึงสิ่งอื่น แค่บอกข้ามาเท่านั้นว่าเจ้าต้องการเรียนรู้มันหรือไม่”

ขณะที่มู่เสวี่ยกำลังจะกล่าวตอบสิ่งใด ตังกุยที่อยู่ในชุดเกราะของทหารอย่างเต็มยศวิ่งเข้ามาในลักษณะที่รีบร้อน

มันรีบกล่าวออกเสียงดัง “คุณหนูใหญ่ ท่านผู้นำได้สั่งให้ข้า มาเชิญท่านไปที่ลานประลองอสูรเพื่อพบแขกคนสำคัญขอรับ”

ตังกุยนั้นเป็นเพียงหนึ่งในจำนวนคนไม่กี่คนของตระกูลที่กล่าวกับมู่เสวี่ยอย่างนอบน้อมในเกีรยติของคุณหนูใหญ่

มู่เสวี่ยปลายตามองไปยังต้นเสียงของผู้มาเยือนนางเพียงกล่าวตอบอย่างอ่อนโยน “ข้ารบกวนพี่ทหารนำความของข้าไปบอกแก่ท่านลุงว่า มู่เสวี่ยนั้นไม่มีความสนใจที่จะพบใคร ในตอนข้าเพียงแต่ต้องการฝึกฝนเพลงกระบี่เท่านั้น”

ด้วยคำกล่าวที่แสนธรรมดาประกอบกับภาพที่นางยืนจับกระบี่อยู่บนรอยแตกแยกขนาดใหญ่ของพื้นลานฝึกที่เกือบจะขาดออกจากกันด้วยร่องรอยการฟันของกระบี่

ด้วยภาพที่เห็นเช่นนี้ทำให้สองขาของตังกุยสั่นออกอย่างไม่มีที่ท่าว่าจะหยุด

“ขอรับคุณหนู ข้าน้อยจะรีบไปกล่าวบอกแก่ท่านผู้นำไม่ให้ผิดเพี้ยนไปแม้แต่คำเดียว”

กล่าวจบตังกุยใช้สองมือของมันนั้นจับกุมไปที่ขาของตัวเองพร้อมใช้แรงจากมือยกขาทั้งสองข้างให้วิ่งออกไปด้านหน้า

“เจ้าไม่สนใจที่จะออกไปดูข้างนอกบ้างหรืออย่างไร?”หนิงเทียนกล่าวออกมาขณะที่มือของมันหักกิ่งไม้ที่เมื่อครู่ยังเป็นศาตราวุธที่ใช้ฟาดฟันพื้นลานฝึกนี้อยู่เลย

มู่เสวี่ยส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม “ข้าไม่สนใจ ข้าต้องการที่จะฝึกฝนกระบี่ต่อ ท่านอาจารย์ช่วยสอนเพลงกระบี่เมื่อครู่ให้ข้าหน่อยได้ไหม ข้ารู้สึกว่าถ้าได้เรียนรู้มัน ข้าจะสามารถเข้าใจเคล็ดกระบี่ของตระกูลที่หายสาบสูญไปได้”

หนิงเทียนบ่นอยู่ภายในใจ “นี้คือเพลงกระบี่ของตระกูลเจ้าแล้วเจ้ายังจะขวนขวายอะไรอีก”ก่อนที่มันจะระบายลมหายใจเฮือกใหญ่พร้อมกล่าวออก

“เอาเถอะ เมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะสอนถึงเคล็ดลมปราณที่ใช้ออกในแต่ละกระบวนท่าให้”กล่าวจบหนิงเทียนเริ่มที่จะอธิบายถึงวิธีโคจรพลังลมปราณรวมไปถึงวิธีใช้ออกในแต่ละท่วงท่าอย่างชัดเจนและครบถ้วน

เวลาผ่านไปราวๆครึ่งชั่วยาม หนิงเทียนที่กำลังนั่งร่ำสุราพร้อมมองอิสตรีร่ายร่ำกระบี่อย่างชื่นอุราอยู่นั้น เสียงย่ำเท้าถี่ๆดังขึ้นมาอีกครั้ง ปรากฏร่างตังกุยคนเดิมแต่เวลานี้มันวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าปั่นยาก

ตังกุยหยุดยืนอยู่เบื้องหน้ามู่เสวี่ย มันรีบคุกเข่าลงข้างหนึ่งพร้อมกล่าวออกอย่างระวัง “คุณใหญ่ ท่านผู้นำได้ฝากข้อความมาบอกท่านว่า ถ้าท่านไม่ต้องการจะไปก็ไม่มีผู้ใดบังคับท่านใด

แต่ว่าท่านผู้นำจะไม่รับรองความปลอดภัยของบุคคลที่ท่านเป็นห่วง”กล่าวจบตรงนี้ตังกุยรีบก้มหัว โขกศีรษะลงกับพื้นดินทันที

“ขออภัย ขออภัย ทุกคำที่ตังกุยกล่าวออกนั้น ไม่มีคำใดที่ข้าน้อยแต่งเสริมเพิ่มเติมด้วยตัวเองเลยแม้แต่น้อย”

เมื่อได้ยินข้อความเช่นนั้นใบหน้าของมู่เสวี่ยเปลี่ยนเป็นสีแดง มือของนางก่ำไปยังกระบี่แน่นด้วยโทสะที่คุกรุ่นไปจนทั่วบริเวณ

“ในเมื่อเขาต้องการให้ท่านไป เช่นนั้นพวกเราก็ไปดูกันหน่อยเป็นไร”กล่าวจบหนิงเทียนรุกขึ้นอย่างเกียจคร้าน พร้อมกับยกสองมือแตะไปที่ไหล่ของตังกุย มันกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง “พี่ชายโปรดนำทางพวกเราด้วย”

สำหรับมู่เสวี่ยที่ต้องทำตามคำสั่งของมู่ซวนเฟิงอย่างขัดไม่ได้ เมื่อได้เห็นอาจารย์ของนางเป็นผู้เดินนำไป ภายในใจของนางรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ตราบใดที่แผ่นหลังนั้นยังคงอยู่ ถึงท้องฟ้าจะถล่มลงมา นางก็ไม่หวั่นเกรง

..

ระหว่างทางเดินนั้นน้ำเสียงของอันราบเรียบของหนิงเทียนดังขึ้นมา “พี่ตังกุย ท่านพอจะรู้หรือไม่ว่ามีเรื่องใดเกิดขึ้น มู่ซวนเฟิงถึงต้องการเรียกคุณหนูของข้าไป”

ได้ยินหนิงเทียนเรียกออกห้วนๆด้วยคำว่ามู่ซวนเฟิงเช่นนี้ตังกุยที่เดินนำหน้าอยู่ มันสะดุ้งเฮือก ก่อนจะชะลอความเร็วลงพร้อมกับกล่าวขึ้นมาอย่างระวัง

“ในเรื่องนี้ ข้าเองก็รู้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น วันนี้เป็นที่ตระกูลมู่ของเราจะจัดการประลองอสูรกันเหมือนเช่นทุกๆปี

แต่ที่จะพิเศษออกไปคือผู้ที่มาเยือนตระกูลมู่ในวันนี้ คือจี้ตงหลิน บุตรชายของขุนพลอัคคี เจ้าผู้ปกครองเมืองจี้หลิน

เวลานี้ท่านผู้นำ ผู้อาวุโสทั้งสามและคุณหนูทั้งสองได้รวมตัวกันอยู่ที่สนามประลองอสูรเพื่อรับรองคุณชายจี้”

“สนามประลองอสูร มันคือการประลองกฎที่สอง ของสามกฎฟ้าใช่หรือไม่”หนิงเทียนกล่าวถามออก

“อาจา....เอ่อหยางกวง สนามประลองอสูรของตระกูลมู่เราเป็นเพียงชื่อเรียกเท่านั้น แท้จริงแล้วมันคือสนามต่อสู้เดรัจฉานต่างหาก

สนามต่อสู้เดรัจฉานคือการจับมนุษย์เป็นๆไว้ในกรงเหล็กที่มีประตูออกเพียงทางเดียวและปล่อยสัตว์ป่าหรือสัตว์อสูรเข้าไป

ทางรอดของผู้ที่เข้าต่อสู้นั้นมีเพียงสองทางคือหนีออกมาจากประตูหรือไม่ก็สังหารสัตว์อสูรตัวนั้นเสีย

ซึ่งมันเป็นการละเล่นของเมืองฉางผิงเรา ที่ทุกตระกูลใหญ่จะต้องมีไว้เพื่อสร้างความรื่นเริงให้แก่ผู้คนในตระกูลหรือแขกพิเศษผู้มาเยือน”

มู่เสวี่ยกล่าวออกด้วยแววตาเศร้าสร้อยเห็นได้ชัดว่านางนั้นรู้สึกอดสู่กับประเพณีแย่ๆเช่นนี้ที่เกิดขึ้นภายในตระกูลของนาง

เพียงเดินต่ออีกไม่นานนักตันกุยได้เดินนำทั้งคู่มายังประตูเหล็กเส้นเล็กๆที่ไขว้กันเป็นตาข่าย เมื่อทหารยามที่เฝ้าประตูเห็นผู้มาเยือน มันรีบก้มหัวเล็กน้อยและเปิดประตูให้โดยเร็ว

“เร็วเข้า หนีเร็วสิ ไม่อย่างนั้นเจ้าตายแน่ๆ” เพียงแค่ไม่กี่ก้าวที่หนิงเทียนเดินเข้ามา มันได้ยินเสียงใสกังวานของสตรีดังออกมา

“น้องสี่ข้าว่าเกรงว่า2ล้านเหรียญทองของเจ้าคงจะปลิวเข้าไปในกระเป๋าคุณชายจี้อย่างแน่นอน อีกไม่ถึงสิบลมหายใจมันจะต้องเข้าไปอยู่ในท้องของจิ้งจอกเคี้ยวดาบที่น่ารักของข้าแน่นอน” เสียงเล็กแหลมของสตรีอีกคนหนึ่งดังโต้ตอบกัน

“ฮาฮาๆ คุณหนูสามอย่าได้กล่าวเช่นนั้น ข้าเพียงโชคดีเท่านั้น ถ้าให้ข้าเลือกอีกครั้งข้าคงจะเดิมพันข้างชายผู้นั้น

ข้าไม่ต้องการเอาชนะสตรีที่งดงามอย่างเช่นคุณหนูสี่แน่นอน” บุรุษผู้มีใบหน้าละม้ายคล้ายกับคางคก ร่างกายของมันอ้วนฉุราวกับว่าวันๆมันเอาแต่กิน นอนและทำเรื่องอย่างว่าเท่านั้น

“คุณชายจี้ไม่ต้องห่วง น้องสี่ของข้านางเป็นผู้มั่งคั่งที่สุดในหมูพี่น้องทั้งสามแล้ว” ด้วยคำพูดที่คล้ายจะเป็นคำชมเชย แต่น้ำเสียงที่กล่าวออกมานั้นชวนให้คนที่ได้ฟังรู้สึกมู่หยูกำลังประชดน้องสาวของตัวเองเสียมากกว่า

“หึ พี่สาม การเดิมพันมีได้มีเสีย แค่เพียงเงินเล็กน้อยเท่านั้น กิจการกำยานหอมของข้าในเมืองฉางผิงสร้างรายได้ต่อปีได้ถึง5หยกนิล

เงินเพียงไม่กี่ล้านเหรียญทองนับว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย” มู่เฉียนรีบกล่าวออกเพื่อไม่ให้เสียหน้าและนางยังกล่าววาจาข่มพี่สามของนางอีกด้วย

ไม่ทันสิ้นเสียงของมู่เฉียนดีนัก เสียงร้องโหยหวนของมนุษย์ก็ดังออกมาอย่างน่าอดสู่ยิ่งนัก มันเป็นเสียงสุดท้ายก่อนที่ศีรษะของมันจะถูกกัดกินโดยจิ้งจอกเขี้ยวดาบ

“ผู้อาวุโสมู่ปัง เหตุใดข้ารับใช้ของท่านถึงอ่อนแอเพียงนี้ แค่อสูรลมปราณขั้นที่1เท่านั้นกลับไม่สามารถชนะได้” มู่เฉียนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว

ถึงแม้นางจะกล่าวว่าเป็นเงินเล็กน้อยก็ตาม แต่การพ่ายแพ้ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ก็น่าอับอายเกินกว่าจะข่มโทสะลงได้หมด

“นั้นเป็นเพียงคนรับใช้ธรรมดาเท่านั้น ถ้าตระกูลเราไม่มีกฎห้ามนักรบลงสนามต่อสู่เดรัจฉาน ยังไงข้าก็ไม่มีทางพ่ายแพ้”มู่ปังกล่าวออกด้วยถ้อยคำที่สุภาพแต่น้ำเสียงของมันกลับแข็งกร้าว

ตัวมันนั้นได้เลือกอยู่ข้างคุณหนูสามมู่หยูไปแล้วฉะนั้นมันไม่จำเป็นจะต้องเกรงใจอันใดกับมู่เฉียนมากมาย

ได้ยินน้ำเสียงที่หวนห้าวของมู่ปัง มู่เฉียนบังเกิดโทสะขึ้นมาในใจ ถึงนางนั้นเป็นบุตรสาวของผู้นำตระกลู แต่ด้วยฐานะผู้อาวุโสหลักของมู่ปังนั้นมีความสำคัญมากกว่าที่นางจะไปหาเรื่องได้

นางจึงได้กล่าวออกแก่บิดา “ท่านพ่อ เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสมู่ปังนั้นไม่ยอมแพ้ เอาเช่นนี้เป็นอย่างไรวันนี้พวกเรามีพี่จี้มาเป็นแขกพิเศษ

ท่านพ่อโปรดยกเว้นกฎสักครั้ง อนุญาติให้พวกเรานำนักรบส่วนตัวลงสนามต่อสู้ด้วยเถอะ จะได้เพิ่มความตื่นเต้นและสนุกสนานให้พวกเรามากขึ้นกว่านี้” มู่เฉียนกล่าวด้วยเสียงออดอ้อนบิดาของนาง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด