ตอนที่แล้วบทที่ 84 นางคือสมบัติวิเศษของข้า
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 86 ศิษย์คนแรก

บทที่ 85 รักษาพิษ


กำลังโหลดไฟล์

เวลาผ่านไปชั่วครู่หนิงเทียนจึงรู้สึกตัวว่ามันกำลังปล่อยให้มู่เสวี่ยยืนรออยู่ มันจึงรีบกล่าวขึ้นอย่างรู้สึกผิด

“อย่างแรก ท่านนั้นไม่ต้องเรียกข้าว่าอาจารย์ อย่างที่สองข้านั้นต้องการล่วงรู้ถึงพรสวรรค์ของท่าน”กล่าวจบหนิงเทียนโบกแขนเสื้อส่งผนึกสีแดงลอยไปยังเบื้องหน้าของมู่เสวี่ย

เมื่อมู่เสวี่ยรับมานางนั้นใช้สองมือจับกุมไปยังแก้วผนึกพร้อมกับปิดตาลงอย่างว่าง่าย ไม่นานหนักแสงสว่างค่อยๆปรากฎบนแก้วผนึก

วูบบ...แสงที่สองเปล่งออกมา ....วูบแสงที่สาม...วูบแสงที่สี่สว่างขึ้น พร้อมกับค่อยๆหยุดลง

“ไม่เลว พรสวรรค์สี่แก่นแท้ ถ้าท่านไม่ถูกพิษเย็นเวลานี้ท่านคงจะอยู่ในดินแดนองครักษ์ขั้นปลายไม่ก็ทะลวงเข้าสู่แดนแห่งปราชญ์ไปแล้ว ช่างน่าเสียดายระยะเวลาบ่มเพาะที่หายไปสองปีจริงๆ”

ได้ยินเช่นนั้นภายในใจของมู่เสวี่ยรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก หัวใจของนางเต้นเร็วจนได้ยินเสียงดังออกมาภายนอก “ท่านรู้ได้อย่างไร”

หนิงเทียนยกยิ้มขึ้นพร้อมกล่าว“ถ้าเรื่องแค่นี้ข้าไม่รู้ ข้าก็ไม่มีหน้าจะมาเป็นอาจารย์ของท่านได้”

มู่เสวี่ยรีบกล่าวถามออกมา “พิษของข้า นั้นแปลกประหลาดหมอหลายคนก็ไม่สามารถรักษาและล่วงรู้ถึงสาเหตุได้เลย

แม้แต่ตัวของข้ายังไม่รู้ว่าพิษนี้อยู่ในร่างของข้าตั้งแต่เมื่อไรกัน” นางกล่าวออกด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อย ถ้าไม่ใช่เพราะพิษนี้นางคงจะเป็นผู้นำตระกูลคนต่อไปแทนบิดาที่ล่วงลับไปแล้ว

หนิงเทียนจับจ้องไปยังมู่เสวี่ยราวกับกำลังพินิจสิ่งใดอยู่ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา “แน่นอนว่าหมอพวกนั้นไม่สมควรเรียกตัวเองว่าเป็นหมอเพียงแค่พิษชั้นต่ำแบบนี้ยังไม่รู้วิธีรักษา”

เมื่อคำกล่าวของหนิงเทียนกระทบเข้ามายังสองหูของนาง ใบหน้าที่โศกเศร้าของนางฉายแววดีใจขึ้นมา “ท่าน ท่านรู้วิธีรักษามัน”

“แน่นอนว่าข้าต้องรู้ แต่ก่อนที่ข้าจะรักษาท่าน ข้ามีข้อสงสัยที่อยากให้ท่านชี้แจงแก่ข้าเล็กน้อย ข้านั้นได้กลิ่นของสมุนไพรบางอย่างจากตัวท่าน”หนิงเทียนหรี่ตาลงพร้อมกล่าวถามออกไป

“เอ๋....สมุนไพร ในตำหนักหงส์ร่วงนี้ นอกจากดอกโบตั๋นรากแดงแล้วไม่มีสิ่งอื่นอีก” มู่เสวี่ยกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง นางไม่ได้มีคำพูดใดที่ปกปิดเลยแม้แต่น้อย

หนิงเทียนพยักหน้าพร้อมกล่าวขึ้นมา“ภายในตัวท่านมีกล่องหยกสำหรับเก็บสมุนไพรติดตัวใช่หรือไม่” มันรีบกล่าวหยังเชิงออกไปถึงสิ่งของที่มันได้ให้ไว้เมื่อสองปีก่อน

เห็นได้ชัดว่านางยังไม่ได้ใช้มันออกมา ไม่เช่นนั้นพิษในร่างของนางสมควรถูกยับยั้งไปหมดแล้ว

ได้ยินเช่นนั้นร่างของมู่เสวี่ยสะดุ้งด้วยความประหลาดใจ นางค่อยๆสะบัดมือปรากฎกล่องหยกขึ้นบนฝ่ามือ “ท่านหมายถึงสิ่งนี้”

เมื่อมู่เสวี่ยเห็นหนิงเทียนพยักหน้า นางจึงกล่าวขึ้นต่อ “สิ่งนี้คือของที่ผู้มีคุณคนหนึ่งได้ให้ข้าไว้ ไม่ว่าสิ่งของภายในนั้นเป็นอะไร

ข้าก็ไม่คิดจะเปิดมันออกมาเด็ดขาดเพราะมันเป็นเพียงของสิ่งเดียวที่ทำให้ข้าระลึกถึงเขา” มู่เสวี่ยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน แววตาของนางที่มองไปยังกล่องหยกนั้นเต็มไปด้วยความคะนึงถึง

เพียงชั่วลมหายใจเดียว นางรีบสะบัดมือเก็บกล่องหยกลงแหวนมิติโดยเร็วราวกับว่านั้นเป็นสิ่งที่นางหวงแหวนและไม่อยากนำมันออกมานานนัก

หนิงเทียนได้ฟังดังนั้นภายในใจของมันรู้สึกตกตะลึงอยู่ไม่น้อยมันเองก็ไม่คาดคิดว่าเรื่องราวเมื่อคราวนั้นจะทำให้สตรีตรงหน้ามันหวนคิดถึงได้เช่นนี้

มันเพียงระบายลมหายใจออกมา จากนั้นก็กล่าวต่อว่า “ข้าจะไม่ยุ่งกับสมบัติของท่าน เพียงแต่เวลานี้พิษหนอนหิมะในร่างของท่านนั้นรุกรามไปจนทำให้เส้นลมปราณของท่านถูกแช่แข็งด้วยความเย็น

การที่จะละลายมันโดยไม่ให้ส่งผลกระทบต่อเส้นลมปราณนั้น ข้าต้องใช้เวลาราวๆ12ชั่วยามในการขับพิษออกมา จากนั้นท่านถึงจะสามารถบ่มเพาะพลังลมปราณได้ดังเดิมอีกครั้ง”

“สะสะ..สิบสองชั่วยาม” มู่เสวี่ยอุทานขึ้นนางลืมตัวจนพูดออกมาเสียงดัง

หนิงเทียนขมวดคิ้วเข้าหากัน มันเอ่ยถามขึ้นมา “ถ้าท่านรีบร้อนจนเกิดไปและเกิดผลกระทบต่อเส้นลมปราณจะทำให้เจ้าเสียเวลาเพิ่มนับสิบวัน”

“ไม่ ไม่ใช่ ท่านกำลังเข้าใจผิด ข้าเองนั้นตกใจจนเกินไปไม่ได้มีเจตนาจะเร่งร้อนอย่างที่ท่านคิด” มู่เสวี่ยรีบกล่าวออกโดยทันที

พิษที่สร้างความลำบากให้แก่นางมานาน จะถูกสลายภายในสิบสองชั่วยาม ถ้าจะกล่าว่านี้คือปาฎิหาริย์คงไม่ใช่คำพูดที่เกินเลยไปนัก

“เมื่อเจ้าตัดสินใจได้แล้ว คงจะดีที่สุด ถ้าพวกเราเริ่มมันเสียแต่ตอนนี้”กล่าวจบหนิงเทียนสะบัดมือปรากฎเข็มเงินในมือของมัน “ข้าจะฝังเข็มเพื่อปลดปล่อยลมปราณที่ถูกแช่แข็งของท่านออก”

มู่เสวี่ยรีบพยักหน้าด้วยความดีใจ ภายในใจของนางนั้นตื่นเต้นจนไม่สามาถหาคำใดออกมาอธิบายได้

หนิงเทียนจ้องมองไปยังมู่เสวี่ย มันเพียงแต่พยักหน้าช้าๆพร้อมกล่าวขึ้น “ถอดเสื้อผ้าออกซะ”

ได้ยินคำกล่าวเช่นนี้เหมือนสายฟ้าที่ฟาดลงมากลางห้อง ใบหน้าของมู่เสวี่ยด้านชาขึ้นมาทันที มันกล่าวออกอย่างติดๆขัดๆ “ท่าน..ท่านต้อง ต้องการให้...”

หนิงเทียนเห็นเช่นนั้นมันรีบกล่าวซ้ำออกมาอีกครั้งหนึ่ง “อย่าได้เสียเวลา รีบถอดเสื้อผ้าออก เจ้าต้องรู้ไว้ เมื่อข้าฝั่งเข็มถอนพิษเย็นออกมาแล้ว

ไอความเย็นในเส้นลมปราณเจ้าจะแผ่พุ่งออกมาสู่ภายนอก ถ้ามันถูกเสื้อผ้าของเจ้าปิดไว้มันจะเกิดอะไรขึ้น”

หนิงเทียนไม่รอให้มู่เสวี่ยเอ่ยตอบมันกล่าวตอบแทนโดยทันที “เมื่อความเย็นถูกปิดกั้นเส้นทางโดยเสื้อผ้าที่สวมอยู่ มันจะเกาะกุมเสื้อผ้าของเจ้าจนกลายเป็นน้ำแข็งแทน

ทีนี้เจ้าก็จะมีเสื้อเกราะน้ำแข็งปกคลุมร่างกาย ยามที่เจ้าต้องการถอดเสื้อเกราะน้ำแข็งออกนั้นเห็นทีว่าผิวขาวๆของเจ้าคงจะหนีไม่พ้นบาดแผลที่ถูกน้ำแข็งกัด”

เมื่อยังเห็นท่าทีเขินอายของมู่เสวี่ยแล้ว หนิงเทียนระบายลมหายใจออกพร้อมกล่าวขึ้น

“เอาเถอะ ถ้าเจ้ารู้สึกกระอักกระอ่วนใจ ข้าจะฝังเข็มในยามที่ราตรีไร้แสงจันทร์และเจ้าสามารถดับแสงของเปลวเทียนช่วยได้อีกขั้นหนึ่ง” ด้วยวิธีการเช่นนี้ มีแต่หนิงเทียนที่บรรลุถึงขั้นปิดตาฝังเข็มได้แล้วเท่านั้น ถึงจะสามารถทำเช่นนี้ได้

เมื่อไม่มีทางเลือกและนี้คือทางที่ดีที่สุดสำหรับมู่เสวี่ย นางจึงได้แต่พยักหน้าตกลงด้วยใบหน้าที่แดงซ่าน

..

....

เมื่อเวลาผ่านไปจนถึงยามดึก มันเป็นช่วงเวลาที่แสงจันทร์ถูกเมฆหมอกปกคลุม ปรากฏร่างของมู่เสวี่ยที่นั่งอยู่บนเตียงด้วยร่างกายที่แข็งเกร็ง นางไม่คุ้นชินกับการที่ต้องมานั่งอยู่บนเตียงเดียวกันในยามวิกาลกับบุรุษเพศเช่นนี้

จากนั้นหนิงเทียนสะบัดแขนเสื้อออก เปลวไฟจากแสงเทียนที่ถูกวางไว้รอบห้องทั้งสี่ทิศได้ดับลง เผยให้เห็นเพียงเงาลางๆเท่านั้น ด้วยความมืดที่เข้าปกคลุมเช่นนี้

ถ้าไม่ได้โคจรพลังปราณเข้าสู่จุดไป๋ฮุย(กลางศีรษะ)แล้วจะไม่มีทางมองเห็นได้เลย

เมื่อวิสัยทัศน์ถูกปกคลุมด้วยความมืดแล้วมีเพียงสัมผัสเท่านั้นที่ทำให้หนิงเทียนรับรู้ว่าเวลานี้เสื้อผ้าอาพรของมู่เสวี่ยได้ถูกถอดออกจากกายไปแล้ว

“ท่านอาจจะรู้สึกทรมานจากความหนาวเย็น โปรดอดทนกับมันด้วย”หนิงเทียนกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา แต่ด้วยความใกล้ของทั้งสองที่อยู่ห่างกันไม่ถึงครึ่งช่วงแขน ลมจากปากของหนิงเทียนแผ่ไปสัมผัสกับต้นคอกอปรกับปลายนิ้วที่อ่อนนุ่มสัมผัสไปบนแผ่นหลังของนางอย่างแผ่วเบานั้น ทำให้ร่างของมู่เสวี่ยสั่นเกร็งขึ้นมาในทันที

“ท่าน...ท่านไม่ต้องห่วงข้า มันไม่สามารถเทียบได้กับความหนาวเย็นที่ข้าต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวมาตลอดสองปี”มู่เสวี่ยกล่าวออกด้วยอย่างหนักแน่น แต่เห็นได้ชัดว่าน้ำเสียงของนางนั้นสั่นเครือทุกครั้งที่ปลายนิ้วของหนิงเทียนได้สัมผัสไปยังแผ่นหลังของนาง

หนิงเทียนยกยิ้มออก ‘ข้าหวังเพียงว่าพลังใจนี้ของนางจะช่วยให้นางข้ามพ้นความทรมานที่แสนสาหัสไปได้’

การรักษาพิษของหนอนหิมะนั้นในช่วงระยะแรกเริ่ม ผู้ที่มีความรู้ทางการแพทย์และทักษะการปรุงยาในระดับโลกที่7ขึ้นไปก็สามารถทำได้อย่างง่ายดายและปลอดภัย

แต่เมื่อมันพัฒนาจนมาถึงระยะกลางแล้ว โอสถที่จะช่วยขับพิษได้ต้องมาจากผู้ปรุงยาในระดับโลกที่9ขึ้นไปเท่านั้น แต่ตอนนี้พิษของหนอนหิมะที่อยู่ภายในร่างของมู่เสวี่ยมันอยู่ในจุดที่แทบจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเส้นลมปราณของนางแล้วเห็นจะมีเพียงแต่ระดับจ้าวโอสถขึ้นไปเท่านั้นที่สามารถรับมือกับพิษเย็นนี้ได้

ขณะที่หนิงเทียนใช้ปลายนิ้วกดไปยังจุดเชินจู้และจือหยาง อย่างระวัง มันได้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “ที่ท่านได้มาพบข้าอย่าได้ขอบคุณโชคชะตาหรือสวรรค์ที่เห็นใจ เพราะพวกมันไม่มีส่วนใดๆให้ข้ามายืนอยู่ที่นี้แม้แต่น้อย สิ่งที่ทำให้ท่านรอดชีวิตจากพิษเย็นนี้คือความห่วงใยจากคนๆหนึ่งเท่านั้น”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น มู่เสวี่ยเองรู้สึกสงสัยกับคำพูดของหนิงเทียนอยู่ไม่น้อย ขณะนางกำลังจะเปิดปากถามคำใดออกมาเข็มเงินของหนิงเทียนทะลวงเข้าไปยังจุดเทียนจงของนาง ร่างของมู่เสวี่ยสะดุ้งเพราะความเจ็บปวดนางส่งเสียงร้องออกอย่างไม่สามารถควบคุมได้

“อ้า...” ด้วยภาพและเสียงเช่นนี้หนิงเทียนถึงกับต้องขมวดคิ้วเข้าหากัน มันต้องใช้ความพยายามที่ในการรักษาพิษและยังต้องแบ่งความพยายามอีกส่วนหนึ่งในการสะกดข่มความเป็นชายของมันอีกด้วย

เมื่อเข็มเงินเล่มแรกถูกฝังไปบนแผ่นหลัง ความหนาวเย็นจนถึงขั้วของหัวใจได้แผ่กระจายไปทั่วร่างของนาง ชั้นของน้ำแข็งบางๆค่อยๆลุกลามปกคลุมไปทั่วร่างของนาง ความทรมานจากไอเย็นพุ่งเข้าสู่มโนความรู้สึก จนทำให้ คำพูดที่นางต้องการกล่าวถามนั้นหยุดลงในลำคอ

หนิงเทียนเห็นเช่นนั้น มันรีบสะบัดมือนำดักแด้อัคคีพิโรธพิษระดับปฐพีออกมาโดยเร็วจากนั้นมันใช้ร่างของตัวเองเป็นสื่อกลางถ่ายเทพิษจากตัวดักแด้อัคคีเข้าขับพิษเย็นที่ปกคลุมร่างของมู่เสวี่ย ทำให้เรือนร่างที่ขาวบริสุทธิ์ถูกเกาะกุมไปด้วยหยกน้ำเม็ดใส

การกระทำเช่นนี้ถ้าไม่ใช่ตัวหนิงเทียนเป็นผู้ทำมันละก็ เกรงว่าร่างของมู่เสวี่ยคงจะถูกธาตุไฟเข้าแทรกจนดวงจิตแตกสลายเป็นแน่

พิษจากดักแด้อัคคีและพิษจากหนอนหิมะ ทั้งสองนั้นนับว่าเป็นพิษร้ายแรงแม้แต่ผู้ฝึกตนในแดนวีรชนได้รับมันไปไม่พ้นจะต้องตกตายภายในเวลาไม่เกินครึ่งชั่วยาม แต่สำหรับตัวหนิงเทียนแล้ว มันได้รับการสั่งสอนมาตั้งแต่เด็ก คำพูดของบิดารองนั้นสลักลึกลงในจิตใจ ‘โอสถพิษหากใช้ถูกวิธีมันก็ กลายเป็นโอสถทิพย์ได้’ ฉะนั้นการใช้พิษข่มพิษเป็นการรักษาที่ตัวมันถนัดมากยิ่งกว่าการรักษาด้วยแนวทางของโอสถทิพย์

เวลาผ่านชั่วกาน้ำเดือด พิษของดักแด้อัคคีกับหนอนหิมะค่อยๆไหลรวมกันอยู่ภายในร่างกายของมู่เสวี่ย ด้วยความร้อนจากดักแด้อัคคีนั้น ช่วยให้ความทรมานของนางลดลงห้าในสิบส่วน

หนิงเทียนระบายลมหายใจออกมา นี้เป็นเพียงขั้นแรกของการรักษาเท่านั้น จากนั้นปลายนิ้วจากมือขวาของมันสะบัดเข็มเงินเข้าสู่จุดต่างในร่างของมู่เสวี่ย

ทุกๆการลงเข็มนั้นเสียงครางในลำคอของมู่เสวี่ยที่ชวนให้ร่างกายส่วนล่างของหนิงเทียนเกิดความบ้าคลั่งดังออกมาอย่างต่อเนือง “อื้อ อือ...”จนครบเจ็ดเข็ม

ในส่วนมือซ้ายยังคงกดลงบนจุดเชินจู้และจือหยางเพื่อควบคุมพิษทั้งสองไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากจนข่มอีกฝ่ายได้ ทุกๆกระบวนการรักษานั้นคิ้วของหนิงเทียนยิ่งขมวดเข้าหากันเป็นปมแน่น ที่เป็นเช่นนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความยากของการรักษาหรือเป็นเพราะความยากในการสะกดข่มอารมณ์ของมันกันแน่

จากนั้นหนิงเทียนพ่นลมออกจากปากมันตัดสินใจใช้ปลายนิ้วกดลงไปยังจุดเอี่ยเหมิน(หลังลำคอ)ของมู่เสวี่ยเพื่อดับสติของนางลง ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วเกรงว่าแม้แต่เทพเซียนที่ตัดซึ่งกิเลศก็ไม่สามารถทนทานความเย้าหยวนของร่างกายและเสียงนี้ได้แน่

“ข้าจะให้อภัยเจ้าเพราะเห็นว่าเป็นความเจ็บปวดที่สตรีเช่นเจ้ายากจะทนทาน แต่ถ้าครั้งหน้าเจ้าทำเช่นนี้ต่อหน้าข้าอีกละก็ เวลานั้นข้าจะให้เจ้ากลายมาเป็นหญิงอุ่นเตียงซะให้เข็ด”หนิงเทียนพึมพำออกกับร่างที่ไร้สติของมู่เสวี่ยอย่างโอดครวญ จากนั้นมันสะบัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไปและรวบรวมสมาธิอีกครั้งหนึ่ง

หนิงเทียนตกอยู่ในภวังค์ของสมาธิเช่นนี้ไปอีกเกือบ5ชั่วยาม หน้าผากของมันปรากฏเหงื่อเม็ดน้อยใหญ่ ที่ไหลผ่านดวงตาของมันตกไปยังพื้นเตียง หนิงเทียนได้แต่กัดฟัน มีเพียงพลังใจและความอดทนล้วนๆที่ใช้ควบคุมพิษเย็นของมู่เสวี่ย

ถ้าเป็นสภาพปกติแล้วแค่ หนิงเทียนโคจรปราณจากม้วนภาพพยัคฆ์ทมิฬลงสู่เข็มเงินก็เพียงพอแล้วที่จะควบคุมพิษพวกนี้ได้ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีที่ยุ่งยากมากมายเช่นนี้

หนิงเทียนยังคงสะบัดมือดึงเข็มเงินทั้งเจ็ดเล่มออกมา บัดนี้เข็มสีเงินนั้นกลายเป็นสีฟ้าครามเข้มด้วยฤทธิ์ของพิษเย็น มันเปลี่ยนเข็มเงินชุดใหม่และยังคงทำเช่นเดิมต่อไปซ้ำๆอีกสามถึงสี่ครั้ง

เวลานี้แสงจากดวงตะวันเริ่มสาดส่องผ่านบานหน้าต่างเข้ามาตกกระทบร่างของพวกมันทั้งคู่แล้ว เมื่อความมืดถูกปัดเป่าโดยจากแสงของตะวัน ร่างกายทุกส่วนของมู่เสวี่ยปรากฎต่อสายตาของหนิงเทียนอย่างช่วยไม่ได้

หนิงเทียนอดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกอีก ‘อุปสรรคในการรักษานางช่างมากมายเสียจริง ใครใช้ให้เจ้ามีใบหน้าที่งดงามและเรือนร่างที่สมส่วนเช่นนี้’

คราวนี้มันใช้วิธีปิดตาลง มันกลัวว่าถ้าใช้สายตาเป็นตัวนำพาจิตใจละก็ไม่พ้นจะต้องได้เป็นลูกเขยพ่อบ้านที่แดนภูตเร้นลับเป็นแน่ ผ่านไปอีกราวๆ2ชั่วยาม ร่างกายที่ขาวซีดของมู่เสวี่ยค่อยๆถูกเติมเต็มด้วยสีแดงของเลือด

หนิงเทียนเปิดตาขึ้น มันถอนหายใจออกเฮือกใหญ่ด้วยความเหนื่อยล้าอย่างที่สุด พร้อมกับสะบัดมือดึงเข็มเงินทั้งเจ็ดเล่มที่ฝังอยู่ในร่างของมู่เสวี่ยออกมา

ทันใดนั้น หนอนหิมะขนาดเท่าปลายนิ้วก้อยพุ่งออกมาจากร่างกายของนางในทิศทางเดียวกับเข็มที่ถูกดึงออก เห็นเช่นนั้นหนิงเทียนสะบัดมือเก็บหนอนหิมะลงกล่องหยกอย่างรวดเร็ว

“ไม่ต้องห่วงเจ้าต้องการอยู่ในร่างของนาง ข้าก็จะส่งเสริมเจ้า แต่ต้องหลังจากที่ข้านำเจ้าไปปรุงเป็นโอสถจิตวิญญาณหยินละน่ะ”สิ้นคำกล่าวนี้ กล่องหยกที่ใช้จับหนอนหิมะสั่นออกอย่างแผ่วเบา ราวกับว่ามันมีจิตวิญญาณล่วงรู้คำพูดของหนิงเทียน

เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการถอนพิษแล้ว คิ้วที่เคยขมวดเข้าหากันมาตลอด12ชั่วยามได้คลายออกจากกัน มุมปากของมันเริ่มยกยิ้มขึ้นมาเป็นปกติได้ มันมองไปยังร่างที่เปลือยเปล่าของมู่เสวี่ยก่อนจะพึมพำออกมา“นางนั้นซ่อนรูปมากมายเพียงนี้ ได้อย่างไรกันแน่”

จากนั้นหนิงเทียนใช้ผ้าห่มคลุมร่างของมู่เสวี่ยไว้ ในขณะที่มันกำลังลุกขึ้นและเดินจากไปนั้น จู่ๆเสียงของฟันกระทบกันดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ชวนให้สองเท้าของหนิงเทียนชะงักหยุดก่อนจะเหลือบมองไปยังมู่เสวี่ยที่กำลังหลับใหลไร้สติ ร่างของมู่เสวี่ยเกิดอาการสั่นด้วยความหนาวเย็นขึ้นมา

เมื่อเห็นเช่นนั้นไม่รู้ว่าเพราะสัญชาตญาณหรือความหวังดีของหนิงเทียน มันได้เดินกลับไปยังเตียงพร้อมทั้งใช้สองมือสวมกอดให้ร่างของมู่เสวี่ยอยู่ใต้อ้อมแขน ด้วยไอความร้อนจากร่างของหนิงเทียนนั้นทำให้ร่างที่สั่นหนาวของมู่เสวี่ยสงบลง และด้วยความเหนื่อยล้าทั้งกายและจิตวิญญาณส่งให้เปลือกตาของหนิงเทียนปิดลงอย่างไม่รู้ตัว พวกเขาทั้งคู่หลับลงในลักษณะที่สวมกอดกันในท่านั่ง..

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด