บทที่ 84 นางคือสมบัติวิเศษของข้า
ที่บริเวณหน้าตำหนักเสียงย่ำเท้าที่ดังขึ้นเรื่อยๆบ่งบอกให้รู้ว่าผู้มาเยือนกำลังใกล้จะมาถึงแล้ว
มู่เสวี่ยหลับตาชั่วครู่ก่อนที่จะเปิดอีกครั้งด้วยสายตาที่แข็งกร้าว หนิงเทียนเห็นเช่นนั้มันยกยิ้มขึ้นภายในใจ “นางเป็นศิษย์ที่ดีทีเดียว เพียงข้าสั่งสอนไม่กี่คำ นางกลับทำตามได้อย่างดีเยี่ยม”
เวลาเดียวกับที่มู่เสวี่ยยืนนิ่งอย่างมั่นคงอยู่ที่หน้าตำหนักของนาง เสียงของผู้มาเยือนตะโกนดังออกมาราวกับเสียงฟ้าร้อง “เจ้าเด็กนี้ไม่มีพ่อแม่คอยสั่งสอนหรืออย่างไร เหตุใดจึงกล้ารังแกผู้คนในตระกูลมู่”
คิ้วของมู่เสวี่ยขมวดเข้าหากันทันทีเมื่อได้ยินเสียงของคนผู้นั้น นางนั้นเตรียมใจพร้อมที่จะรับมือสถานการณ์ที่กำลังจะเกิด แต่คาดไม่ถึงว่า มู่ซวนเฟิง ผู้นำคนปัจจุบันจะเดินทางมาด้วยตัวเอง
...
แสงของตะวันค่อยๆจะลาลับไป กลุ่มของผู้มาเยือนทั้ง7เดินเข้ามาด้วยท่าทีเกรี้ยวกราด เมื่อพวกมันเห็นมู่เสวี่ยกำลังยืนรอพวกอยู่นั้น
ดรุณีน้อยในชุดแดง ผู้ที่ถูกเรียกว่าคุณหนูสี่ ได้กล่าวขึ้นมาด้วยโทสะ “พี่ใหญ่ ท่านกล้าดีอย่างไรมารังแกคนของข้า”
มู่เสวี่ยได้ยินเช่นนั้น นางไม่ได้กล่าวตอบอันใดออกมา นางเพียงแต่มองไปยังมู่ซวนเฟิงพร้อมกล่าวขึ้น“ท่านลุง อย่าได้กล่าวล่วงเกินถึงพ่อแม่ของข้า มีเรื่องใดให้ไถ่ถามมาที่ข้าเท่านั้น” นางกล่าวออกเสียงแข็ง
ได้ยินนางพูดขึ้นเช่นนั้น มู่ซวนเฟิงก็ขมวดคิ้วขึ้นมา ไม่เจอกันเพียงหนึ่งเดือนนางเด็กนี้เปลี่ยนไปขนาดนี้ได้อย่างไร แม้มันจะครุ่นคิดถึงความผิดปกติแต่มันก็ไม่สนใจอันใด มันรีบเอ่ยขึ้นในทันที
“กล่าวล่วงถึงพ่อแม่? ถ้าเจ้าได้เลือดของพี่ชายข้ามาสักครึ่งหนึ่ง ตระกูลมู่ของเราคงไม่เป็นเช่นทุกวันนี้”
“ท่านลุงเลือดของพ่อข้าไหลเวียนในร่างของข้าทุกหยดและทุกหยดเป็นเลือดของตระกูลมู่”จากนั้นนางปลายตาไปยังมู่เฉียนและกล่าวขึ้น“น้องสี่เจ้าคงไม่เข้าใจหรอกว่าเลือดของตระกูลมู่เป็นอย่างไร”
มู่เฉียนมองไปยังใบหน้าของมู่เสวี่ยด้วยความรังเกียจพร้อมกล่าวออกมา“พี่ใหญ่ ท่านกล่าววาจาอะไรออกมา แน่นอนเลือดของตระกูลมู่ ข้าต้องมีมันอยู่เต็มเปี่ยมเพราะท่านพ่อของข้า คือผู้นำคนปัจจุบัน”
มู่เสวี่ยเอียงคอเล็กน้อย พร้อมถามออกไปด้วยความสงบ “น้องสี่ เจ้าแน่ใจเช่นนั้นหรือว่าเลือดของตระกูลมู่ไหลวนอยู่ในร่างของเจ้า”
“หยุดได้แล้ว!!” เสียงตวาดของมู่ซวนเฟิงดังลั่นออกมา มันกล่าวขึ้น “วันนี้ข้ามาด้วยเรื่องที่เจ้าทำร้ายคนในบ้าน แม้ว่าเจ้าจะเป็นคุณหนูใหญ่ แต่ก็ไม่มีสิทธิ์รังแกผู้อื่นได้
ถ้าการกระทำที่ชั่วร้ายของเจ้ารู้ไปถึงหูของผู้อื่นจะทำให้ตระกูลของเราเสื่อมเสียชื่อเสียง ข้าจึงต้องมาลงโทษเจ้าด้วยตัวเอง” ไม่ทันสิ้นเสียงของมันดี
ฟางเหนียงที่บัดนี้มีใบหน้าที่ปูดบวมได้ก้าวออกมาหยุดยืนด้านหน้าและมองไปยังมู่เสวี่ยด้วยสายตาโศรกเศร้า นางกล่าวออกด้วยคำพูดที่แตกต่างจากเมื่อครู่นี้อย่างสิ้นเชิง
“คุณหนูใหญ่ ข้าเห็นว่าท่านอยู่คนเดียวมานานจึงนึกสงสาร เลยแวะมาที่นี่เพื่อจะชวนท่านไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของคุณหนูสี่ แต่เมื่อข้าเอ่ยปากชวนไม่รู้ว่าเป็นเพราะท่านโมโหหรือโกรธเกรี้ยวเรื่องใดมา
ถึงสั่งให้คนรับใช้ตบหน้าของข้าและยังหักแขนของต้าหนิวอีกด้วย” นางกล่าวจบพร้อมกับยกมือชี้หน้าหนิงเทียนอย่างโกรธแค้น
เห็นเช่นนั้นหนิงเทียน พายมือทั้งสองออกไปด้านข้างพร้อมกับแสดงสีหน้าว่าไม่รู้เรื่อง
มู่ซวนเฟิงคำรามออกด้วยโทสะ“เป็นเจ้า!!” จากนั้นมันตะโกนสั่งออกแก่ทหารที่ติดตามมันมา “ไปจับสารเลวนั้นมาให้ข้า”
สิ้นเสียงคำสั่ง ทหารในชุดเกราะสองคนมองไปยังหนิงเทียนด้วยใบหน้าดุร้าย มันชักดาบในมือออกมา พร้อมกับย่างเท้าเข้าเหยื่อของมันโดยทันที
เมื่อเห็นทหารทั้งสองเดินตรงมาที่มัน ประกายตาของหนิงเทียนแสดงออกถึงความหวาดกลัว มันตะโกนออกมาเสียงดัง “อย่า อย่าเข้ามา”
จากนั้นหนิงเทียนแสร้งวิ่งไปหลบหลังมู่เสวี่ยมันกระซิบออกเบาๆให้ได้ยินเพียงสองคน “ข้าพิการลมปราณ”
จากนั้นหนิงเทียนตะโกนออกเสียงดัง “ข้า.... ข้าไม่เกี่ยวเลยแม้แต่น้อย ข้าเป็นเพียงข้ารับใช้อ่อนแอเท่านั้นไหนเลยจะมีความสามารถทำร้ายคน”
เมื่อมู่เสวี่ยได้ยินเสียงกระซิบของหนิงเทียน นางคิดออกโดยเร็วพร้อมกล่าวขึ้น “ท่านลุง คนรับใช้ของข้าเป็นผู้พิการทางลมปราณ จะไปสู้กับต้าหนิวที่อยู่ในดินแดนองครักษ์ได้อย่างไร
อีกทั้งคนรับใช้ผู้นี้ก็เป็นท่านเองที่ส่งมาให้ข้า ท่านน่าจะรู้เรื่องนี้ดีกว่าใครทั้งหมด และถ้าท่านยังไม่หมดข้อสงสัย
มู่เสวี่ยขอให้ท่านลุงตอบคำถามข้าสักเรื่อง ถ้าท่านเป็นผู้พิการทางลมปราณจะมีความสามารถหักแขนผู้คนในแดนองครักษ์ได้หรือไม่?”
ได้ยินคำพูดที่ฉะฉานของมู่เสวี่ย ผู้มาเยือนทุกคนได้แต่นิ่งเงียบพวกมันทุกคนเป็นผู้ฝึกตนทั้งหมด มันจึงเข้าใจถึงคำพูดของมู่เสวี่ยได้เป็นอย่างดี
ความแตกต่างระหว่างผู้ที่ใช้ออกด้วยลมปราณได้และผู้ที่พิการไร้ลมปราณนั้นมีมากเพียงใด อย่าว่าแต่จะให้ไปสู้กับดินแดนองครักษ์เลย แค่เพียงดินแดนนักรบก็สามารถใช้แขนข้างเดียวเอาชนะผู้พิการลมปราณได้อย่างง่ายดาย
“มะ....ไม่จริง อย่าไปเชื่อคำพูดนางเด็ดขาด ข้าพ่ายแพ้มันในกระบวนท่าเดียว มันต้องเป็นผู้ฝึกตนในแดนแห่งปราชญ์แน่นอน” ต้าหนิวกล่าวขึ้นเสียงดัง น้ำเสียงของมันเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ
ได้ยินเช่นนั้นหนิงเทียนหัวเราะขึ้น “พี่ต้าหนิว ถ้าท่านไม่เชื่อ ข้ายินดีให้ท่านพิสูจน์”กล่าวจบหนิงเทียนยื่นแขนออกด้วยใบหน้าอันไร้เดียงสา มันเชิญชวนให้ต้าหนิวมาทดสอบด้วยตนเอง
มู่ซวนเฟิงได้ยินเช่นนี้มันก็จับจ้องไปยังกระแสปราณรอบๆตัวหนิงเทียน แค่เท่านี้มันก็สามารถบอกได้ทันทีว่าสิ่งที่มู่เสวี่ยกล่าวออกมานั้นเป็นความจริง
ขณะที่มู่ซวนเฟิงยังคงนิ่งเงียบและใช้ความคิดอยู่นั้น เสียงของมู่เสวี่ยได้ดังขึ้นมา
“ท่านลุง ที่ข้ายอมแต่งงานเพราะสาเหตุใดตัวท่านเองย่อมรู้ดีที่สุด ไม่ใช่ว่าข้านั้นยอมแต่งงานตามที่ท่านต้องการและจะยอมถูกบุตรสาวของท่านรังแกตามใจชอบได้
ถึงอย่างไรข้าก็เป็นคุณหนูใหญ่ เป็นผู้สืบสายเลือดของตระกูลมู่อย่างชอบธรรม ต่อจากนี้ไปจะไม่มีมู่เสวี่ยคนเก่าอีกแล้ว”
กล่าวจบตรงนี้ นางจับจ้องไปยังมู่ซวนเฟิงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวขึ้นต่อ
“ท่านลุงอย่าได้ลืมเรื่องที่พวกเราสัญญากันไว้ ถ้าท่านทำร้ายเขาละก็ ต่อให้ตายมู่เสวี่ยก็จะไม่ยอมเข้าร่วมงานประลองเลือกคู่เด็ดขาด....
ถ้าท่านลุงไม่มีเรื่องใดแล้ว มู่เสวี่ยขอตัว”สิ้นเสียงมู่เสวี่ยหันหลังกลับและเดินเข้าไปในตำหนักหงส์ร่วงทันที
เมื่อเดินลับจากกลุ่มของมู่ซวนเฟิงแล้ว นางระบายลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะกล่าวกับตัวเองด้วยหัวใจที่เต้นแรง ‘ข้าทำได้’
กลุ่มของมู่ซวนเฟิงที่มองมู่เสวี่ยและหนิงเทียนเดินจากไปด้วยความประหลาดใจพวกมันไม่คาดคิดว่าคุณหนูใหญ่ผู้อาภัพจะกลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้
อยู่ๆนิสัยแข็งกร้าวเช่นนี้มาจากที่ใด และใครเป็นคนเสี้ยมสอนนาง คำถามนี้ยังคงวนเวียนอยู่ภายในใจของมู่ซวนเฟิงอย่างไม่สามารถหาคำตอบได้
ฟางเหนียงมองไปยังแผ่นหลังอันอ่อนช้อยที่กำลังจะจากไปของมู่เสวี่ยด้วยความโกรธ มุมปากของนางยกขึ้นมาอย่างน่าเกลียด “นายท่านจะปล่อยนางไปง่ายๆเช่นนี้หรือเจ้าค่ะ ข้าน้อยไม่ยอมเด็ดขาด”
มู่ซวนเฟิงยกมือขึ้นห้ามพร้อมกล่าวขึ้น“พอได้แล้ว เจ้าไม่ได้ยินหรือไงว่า นางยกเรื่องแต่งงานขึ้นมาอ้าง ถ้าเราบีบบังคับนางมากเกินไปเรื่องราวมันจะแย่ไปมากกว่านี้
ข้าไม่กลัวว่านางจะหนี แต่กลัวว่านางจะคิดสั้นก่อนที่จะถูกส่งเข้าห้องหอ....ก่อนที่งานแต่งจะเริ่มขึ้นนางจะเป็นอะไรไม่ได้เด็ดขาด
และอีกอย่างพวกเจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรืออย่างไร ว่าใครกันแน่เป็นผู้เริ่มเรื่องก่อน นับจากนี้พวกเจ้าจำไว้ให้ดีถ้าไม่จำเป็นอย่าได้มาเหยียบตำหนักหงส์ร่วงและยั่วยุนางอีก”
มู่เฉียนกำมือแน่นขณะที่มองไปทางตำหนักหงส์ร่วง มันกล่าวขึ้นอย่างแผ่วเบา “ท่านพ่อปีศาจตัวใดเข้าสิงนาง ถึงทำให้นางเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้”
ได้ยินเช่นนั้นมู่ซวนเฟิงส่ายหน้าพร้อมกล่าวออก “อย่าได้สนใจอีกเพียง10วัน นางจะไปจากตระกูลของเราแล้ว และตระกูลมู่จะตกเป็นของพ่อโดยสมบูรณ์ ฉะนั้นระหว่าง10วันนี้เจ้าต้องอดทน
แม้จะต้องเห็นนางในสายตาก็ตาม“กล่าวจบมันหันไปสั่งกับทหารที่ติดตามมันมา”สั่งออกไปในระหว่าง10วันนี้ดูแลเฉิงฮ่าวให้ดี มันเป็นตัวประกันเดียวที่จะใช้บังคับนางเด็กนั้นให้เดินไปตามทางที่เราต้องการได้"
จากนั้นมันหลังเดินกลับออกไปโดยทันที
…
……
ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องอย่างสุขสว่าง ในห้องโถงใหญ่ตำหนักหงส์ร่วง
มู่เสวี่ยยืนจ้องมองไปยังหนิงเทียนด้วยสายตาที่ราวกับจะกินเลือดบุรุษคนนี้ให้ได้
ไม่แปลกที่นางจะรู้สึกเช่นนี้เพราะภาพตรงหน้าของนาง คือหนิงเทียนที่อยู่ในท่าทางสบายๆ มันยกจอกสุราขึ้นดื่มราวกับว่าตำหนักนี้คือบ้านของมันเอง
“เหตุใดท่านยังไม่กลับไปที่ห้องของตัวเองอีก” มู่เสวี่ยกล่าวออกเสียงดัง
หนิงเทียนหาได้สนใจคำพูดของนางไม่มันเพียงกล่าวขึ้นด้วยใบหน้าที่เปี่ยมสุข “สุราในตระกูลมู่ของท่านรสชาติดีเป็นบ้าเลย ข้าคิดไม่ผิดจริงๆที่ตัดสินใจมาเป็นคนรับใช้เช่นนี้”
หลังจากที่กลุ่มของมู่ซวนเฟิงจากไปสิ่งแรกที่มันทำคือการลอบเข้าไปขโมยสุราออกมา
มู่เสวี่ยวถอนหายใจออกและกล่าวขึ้น“นั้นคือสุราหลิงเซียงที่ผู้อาวุโสมู่ปังใช้เวลาหมักมันเกือบสิบปี ถ้าเขาจับตัวท่านได้ละก็ แม้แต่ข้าก็ไม่สามารถช่วยได้แน่”
นางยังคงกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่แฝงโทสะเล็กน้อย “ทำไมท่านถึงไม่กลับไปดื่มมันที่ห้องของท่าน ข้ามีเวลาเหลืออีกไม่มากและยังมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ ไม่มีเวลามานั่งดูท่านร่ำสุราหรอกนะ รีบกลับไปได้แล้ว”
คำพูดของมู่เสวี่ยเป็นดังลมที่ผ่านหู หนิงเทียนกล่าวขึ้นอย่างไม่สนใจ“ท่านน่าจะหาสาวใช้สักคนนะ ข้าจะได้ไม่ลำบากที่ต้องจัดเตรียมสุราเองเช่นนี้”
ได้ยินคำพูดของหนิงเทียน เส้นเลือดจางๆค่อยปรากฏบนหน้าผากของนาง “ไม่ใช่ว่าท่านมาที่นี้เพื่อทำหน้าที่นั้น?”
คนรับใช้เรียกร้องหาคนรับใช้นี้ไม่ใช่เรื่องที่น่าตลกเกินไปหรอกหรือ คนประเภทใดกันที่กล้ากล่าวถ้อยคำเช่นนี้ออกมาได้
หนิงเทียนระบายลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่งก่อนจะกล่าวขึ้น "ช่างเป็นสตรีที่ใจร้อนจริงๆถ้าเช่นนั้นพวกเรามาเข้าเรื่องกันเลย ข้านั้นไม่ใช่คนมากพิธีอันใด
เพียงแค่ท่านยกสุราให้ข้าหนึ่งจอก ข้าจะรับท่านเป็นศิษย์เอง” มันกล่าวออกพลางคว่ำไหสุราและเขย่าอย่างแรงหมายจะรีดน้ำเมาสุดท้ายให้หยดลงมาในจอก
“ท่านยังไม่เลิกล้อเล่น” มู่เสวี่ยกลอกตาและกล่าวออกเช่นเดิม
หนิงเทียนส่ายหน้า พร้อมตอบกลับ“ถูกแล้ว ข้านั้นชอบล้อเล่น แต่ไม่ใช่ครั้งนี้แน่นอน ที่ข้ายอมมาทำอะไรบ้าๆเช่นนี้ก็เพื่อตัวท่าน แต่ข้าเองไม่ชอบช่วยเหลือใครฟรีๆ
เพียงเพราะผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือหนึ่งครั้ง มันจะรอคอยความช่วยเหลือครั้งต่อๆอีกนับร้อยๆครั้ง
ถ้าท่านต้องการทุกอย่างคืนมาละก็ ท่านต้องช่วยเหลือตัวเอง ข้าจะเป็นแค่เพียงหินลับคมมีดเท่านั้น สุดท้ายแล้วก็ขึ้นอยู่กับว่ากระบี่ในมือท่านนั้นคมพอที่จะฉุดตัวเองออกจากโคนตมเช่นนี้ได้หรือไม่”
หนิงเทียนนั้นเชื่อในสิ่งนี้มาตลอดการช่วยเหลือคนเป็นเรื่องดี แต่หลังจากที่ช่วยเหลือแล้วจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง ถ้าต้องรอดในวันนี้เพียงเพื่อจะตายในภายหน้า สู้ยืนมองให้นางตายไปเสียตอนนี้คงจะเป็นทางที่สบายที่สุดสำหรับนางแล้ว
ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความจริงจังเช่นนี้ ทำให้ภายในใจของมู่เสวี่ยรู้สึกโอนเอียงขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก นางนั้นเกิดความรู้สึกเชื่อมั่นในคำพูดของหนิงเทียนอย่างไม่สามารถหาเหตุผลได้
ตลอดสองปีมานี้นางได้รับความอดสู่มามากมายเพียงใดแล้ววันนี้การยกสุราให้คนรับใช้เป็นอาจารย์นั้นจะนับว่าเป็นเรื่องเสียเกียรติอันใดได้อีก คิดออกเช่นนั้นมู่เสวี่ยยืนนิ่งหลับตาอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยออกมา “ข้าต้องทำเช่นใดบ้าง”
“ไม่ยาก ค่าเล่าเรียนของข้าไม่แพง เพียงแต่ท่านนำสุรามาให้ข้าอีกไห่หนึ่งก็เพียงพอแล้ว” หนิงเทียนยกยิ้มอย่างสบายใจ ไม่ว่าชีวิตนี้หรือชีวิตก่อนนอกจากสหายร่วมรบแล้ว ก็มีเพียงดาบและสุรานี้แหละที่เป็นเพื่อนตายของมัน
“เพียงเท่านี้?” มู่เสวี่ยกล่าวถามย้ำอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเห็นใบหน้าของหนิงเทียนที่พยักขึ้นลงเป็นสัญญาณตอบกลับแล้ว นางหันหลังพร้อมเดินจากไปอยู่ชั่วครู่ ไม่นานนักนางเดินกลับมาพร้อมกับไห่สุราสีเขียวอ่อน
เมื่อหนิงเทียนจ้องมองไปยังสุราในมือของมู่เสวี่ย มันถึงกับตกตะลึงจนทำให้ดวงตาที่เคยหรี่แคบอยู่ตลอดเวลาเบิกกว้างขึ้นมาในทันใด
“หะ...*เหมาไถ” กล่าวจบมันกลืนน้ำลายลงคอจจนส่งเสียงดังออกมา
*เหมาไถ เหล้าจีน
มันพยามข่มความตื่นเต้นในใจของมัน ก่อนจะกล่าวออกอย่างรวดเร็วจนลิ้นของมันเกือบที่จะพันกัน“ทะ...ท่านเอามันมาจากที่ใด”
ที่หนิงเทียนตกใจออกเช่นนี้เพราะกลิ่นที่โฉยออกมาจากไห่สุราสีเขียวนั้นเป็นกลิ่นที่ห่างหายไปจากชีวิตมันนานจนเกือบจะลืมเลือนรสชาติไปแล้ว
ในชีวิตก่อนของมัน เหมาไถนั้นเป็นสุราประจำชาติจีน และก็เป็นเพราะเหมาไถนี้แหละที่เกือบฆ่าชีวิตของขุนพลสวรรค์ด้วยพิษของสุรา
“เหมาไถ!!?? มันคือสิ่งใดกัน” มู่เสวี่ยกล่าวถามอย่างงุนงง จากนั้นนางปลายตามองไปยังไห่สุราในมือพร้อมกล่าวขึ้น “นี้คือสุราที่ข้าหมักเล่นในยามว่างเท่านั้น”
ได้ยินเช่นนั้นดวงตาของหนิงเทียนเปิดกว้างขึ้นมาอีก ภายในใจของมันแย้มยิ้มออกมาอย่างบ้าคลั่ง “สมบัติวิเศษ นางคือสมบัติวิเศษ”
มันรีบส่ายหน้าพร้อมกล่าวขึ้นทันที “เร็วเข้า....ไม่ต้องมากพิธี เจ้าไม่ต้องคุกเข่าหรือคำนับข้า แค่ยกสุรานั้นให้ข้าหนึ่งจอกและทิ้งไห่สุรานั้นไว้ นับว่าเสร็จพิธี”
จากนั้นมู่เสวี่ยยกสุราให้แก่หนิงเทียนหนึ่งจอกและวางไห่สุราไว้ด้านหน้าของหนิงเทียน
เมื่อหนิงเทียนได้ยกจอกสุราเข้าปากแล้ว มันได้แต่อุทานออกมา “ไม่ใช่เพียงแค่กลิ่น แม้แต่รสชาติก็เหมือนกัน ยอดสุราจริง”
จากนั้นมันรีบยกไห่เทลงอีกจอกหนึ่ง ก่อนที่มันจะโยนจอกสุราทิ้งลงบนพื้น พร้อมใช้สองมือยกไห่สีเขียวอ่อนเข้าปากอีกหลายอึก
ปัก!! หนิงเทียนวางไห่สุราสีเขียวลงบนโต๊ะจนเกิดเสียงดังออกมาพร้อมกล่าวขึ้น “สุราเหมือนสหายรู้ใจ ลิ้มรสหมื่นแก้วพันจอกก็มิเมามาย” ไม่บ่อยครั้งนักที่มันจะตกอยู่ในภวังค์โดยไม่สนใจรอบข้าง