บทที่ 83 หยางกวง
สองมือของหนิงเทียนพุ่งตรงราวอสรพิษที่มีชีวิต มันคว้ากุมไปยังข้อมือของต้าหนิวที่กำลังจะจับไปยังร่างของมู่เสวี่ยโดยไว พร้อมกับออกแรงบีบราวกับว่าจะเค้นมันให้ละเอียดคามือ
“โอ้ย!!!”ต้าหนิวกระชากข้อมือของมันจนผับหักไปตามข้อแขน มือขวาของมันห้อยลงชี้พื้นดิน คาดเดาจากสายตาเกรงว่ากระดูกภายในคงจะป่นแตกละเอียดไปหมดแล้ว
การปรากฏตัวของหนิงเทียนนั้นสร้างความตกใจให้ผู้มาเยือนทั้งสามทันที
เมื่อเห็นแขนของผู้ฝึกตนในดินแดนองครักษ์ถูกบีบหักด้วยการจับเพียงครั้งเดียว ใบหน้าของฟางเหนียงซีดขาวลงทันที มันรีบตะโกนออกมาด้วยความหวาดกลัว “ผู้บุกรุก มีผู้บุกรุก ทหารมาจับตัวชายชู้ของนังสารเลวนี้ไปเร็ว”
ด้วยความตกใจของเสียงนั้น ตังกุยรีบพุ่งตัวออกมาจากหลังต้นไม้ทันที มันกล่าวด้วยท่าทีแตกตื่น “ฟางเหนียงเจ้าใจเย็นๆก่อน คนผู้นั้นไม่ใช่ผู้บุกรุกแต่อย่างใด แต่เขาเป็น....”
ก่อนที่ตังกุยจะได้อธิบายคำใดออกไป เสียงอันแข็งกร้าวของหนิงเทียนตะโกนดังขึ้น
“ข้าคือ หยางกวง ข้ารับใช้คนใหม่ของตำหนักหงส์ร่วง ด้วยหน้าที่ของข้าไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหนก็ไม่สามารถทำร้ายเจ้านายของข้าได้”
มู่เสวี่ยได้ยินคำกล่าวของหยางกวงนั้นภายในใจของมันตกตะลึงเป็นอย่างมาก มันหวนคิดถึงเรื่องราวเมื่อวานก่อน และพึมพำมันออกมา “หยางกวง แสงตะวัน!!!...”
เวลานี้สายตาของหนิงเทียนที่จับจ้องไปยังร่างของฟางเหนียงทำให้นางถึงกับขาสั่นออกมาอย่างไม่รู้สาเหตุ นางเองก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าเหตุใดจะต้องกลัวสายตาของข้ารับใช้คนหนึ่งถึงเพียงนี้
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใดที่ฟางเหนียงจะรู้สึกเช่นนี้เพราะว่าบุคคลที่ยืนอยู่ด้านหลังและด้านหน้าของมันอย่าง วานเอ๋อและต้าหนิว สองข้ารับใช้นั้นลงไปนั่งกองกับพื้นด้วยความหวาดกลัวก่อนตัวมันเสียอีก
ด้วยจิตสังหารที่เคยเข่นฆ่ามานับล้านชีวิตของหนิงเทียน ถ้ามันจงใจปล่อยออกมาทั้งหมดแล้วเกรงว่าพวกมันทั้งสามคงจะหวาดกลั่วจนกลายเป็นบุคคลสติฝั่นเฝืองเป็นแน่
ตังกุยที่เดินมาด้วยกันนั้น ต่างมองไปยังชายหนุ่มที่ชื่อหยางกวงด้วยสายแต่ที่เปลี่ยนแปลงไป ใบหน้าของมันแสดงถึงความประหลาดใจออกมาเป็นอย่างมาก
‘สามารถหักแขนผู้ฝึกตนแดนองครักษ์ได้อย่างง่ายดาย และจิตสังหารที่ชวนหัวลุกนั้นอีก สัตว์ประหลาดตัวนี้มาจากที่ใดกันแน่?’ ทีคำถามมากมายที่ตังกุยคิดอยู่ภายในใจ แต่ถึงอย่างไรเวลานี้มันก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยถามออกแม้แต่คำเดียว
“เจ้าจะทำอะไร ถ้าเจ้ากล้าแตะตัวข้า...นายท่านจะไม่ไว้ชีวิตน้อยๆของเจ้าแน่” ฟางเหนียงรวบรวมพลังใจและกล่าวขู่ออกด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
หนิงเทียนหาได้สนใจคำขู่ของนางแม้แต่น้อย มันค่อยก้าวเดินไปยังร่างทั้งสามอย่างช้าๆและเงื้อมมือหมายจะตบเอาเลือดของนางตัวเมียนี้ออกเสียบ้าง
แต่ขณะนั้นจู่ๆเสียงของมู่เสวี่ยได้ดังขึ้น นางกล่าวห้ามออกมาโดยเร็ว “ได้โปรดหยุดเถอะ”
หนิงเทียนชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ยินถึงเสียงของมู่เสวี่ย แต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้นมันพ่นลมออกจากจมูกก่อนจะกล่าวออกด้วยใบหน้าแย้มแย้ม
“ท่านช่างใจดีเสียจริง หรือจะเรียกว่าอ่อนแอดีนะ เป็นถึงคุณหนูใหญ่แท้ๆกลับยอมให้ข้ารับใช้รังแกได้เช่นนี้” กล่าวจบฝ่ามือของหนิงเทียนฟาดไปยังใบหน้าของฟางเหนียง
ปัก!!! โลหิตสดๆไหลออกจากปากของนางจนหยดเป็นทางพร้อมกับฟันหน้าสามซี่ที่กระเด็นลอยออกจากปากเพราะแรงตบจากฝ่ามือของหนิงเทียน
เวลานี้ดวงตาของฟางเหนียงเลื่อนลอยไร้สติ ร่างของนางแน่นิ่งไม่เคลื่อนไหวใดๆเลยแม้แต่น้อย
หนิงเทียนส่ายหน้าพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงดูถูก “เพียงแค่ฝ่ามือเดียวก็สลบแล้ว..”กล่าวจบมันโยนร่างของฟางเหนียงไปราวกับโยนสิ่งของชิ้นหนึ่ง
จากนั้นมันปลายตามองไปยังสาวใช้ว่านเอ๋อที่นั่งตัวสั่นอยู่กับพื้น พร้อมทั้งยกยิ้มออกมา “กลับไปรายงานนายของเจ้า ว่าต่อจากนี้ไป คุณหนูใหญ่มู่เสวี่ยจะไม่ยอมถูกใครรังแกอีกแล้ว”
สิ้นเสียงของหนิงเทียน วานเอ๋อ รีบเข้าพยุงร่างไร้สติของฟางเหนียงและวิ่งหนีไปอย่างรีบร้อนถึงขนาดที่รองเท้าของพวกมันหลุดออกทิ้งไว้กับพื้นคนละข้างสองข้าง
เวลานี้บรรยากาศอันน่าอึดอัดที่มาจากจิตสังหารของหนิงเทียนได้สลายหายไปจนหมดสิ้น
“ท่าน...ท่านรู้ถึงผลที่จะตามมาหรือไม่”มู่เสวี่ยกล่าวออกเสียงดัง ภายในใจของนางยังไม่หายจากอาการตกตะลึง
ได้ยินคำพูดเช่นนั้นร่างของตังกุยสะดุ้งขึ้นมาทันที มันรีบกล่าวลาโดยเร็วและภวนาให้เรื่องราวพวกนี้ไม่เกี่ยวข้องมาถึงมัน
เมื่อตังกุยเดินหายจากไปแล้ว หนิงเทียนหรี่ตาลงพร้อมตอบคำถามของมู่เสวี่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่สนใจสิ่งใด “ข้าไม่รู้ถึงผล ข้าเป็นเพียงแค่คนรับใช้เท่านั้น จะทำผิดเรื่องใดผู้เป็นนายต้องรับผิดชอบแทนไม่ใช่หรือไง”
“ท่าน....ท่านบอกว่าเป็นคนรับใช้ของข้า? ไม่ใช่เพียงเรื่องโกหกที่กล่าวออกแก่ฟางเหนียงเท่านั้นหรือ?”มู่เสวี่ยกล่าวถามด้วยความสงสัย
หนิงเทียนพยักหน้าและกล่าวขึ้น “ไม่มีคำใดที่โกหกแม้แต่น้อย ทุกอย่างที่ข้าพูดเป็นเรื่องจริงทั้งหมด”
“ไม่มีทางที่ท่านลุงจะส่งผู้ติดตามที่มีฝีมือสูงส่งเช่นท่านมาอยู่ข้างกายข้าแน่นอน” มู่เสวี่ยยังคงกล่าวออกอย่างแข็งขันเห็นได้ชัดว่าเป็นตายอย่างไรนางก็ไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด
“สูงส่ง? ท่านตาบอดหรืออย่างไร เห็นได้ชัดว่าข้าเป็นคนที่ลมปราณพิการผู้หนึ่งเท่านั้น”หนิงเทียนยืนสองมือออกไปเชิญชวนให้มู่เสวี่ยมาตรวจสอบ
มู่เสวี่ยใช้เวลาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่นางจะตัดสินใจยื่นสองมือไปสำรวจชีพจรของหนิงเทียน ขณะที่ปลายนิ้วของนางสัมผัสไปยังข้อมือของหนิงเทียนนั้น
ใบหน้าของนางแปรเปลี่ยนเป็นตกตะลึงก่อนจะกล่าวขึ้น “ท่านไม่ได้โกหกจริงๆ ทะ.....ท่านเป็นใครกันแน่” มู่เสวี่ยยังไม่ทันกล่าวถามได้ดีนัก
ฝ่ามือของหนิงเทียนจับกุมไปยังข้อมือที่ขาวเนียนของนางพร้อมกับสะบัดร่างของนางให้พลิกหงายขึ้นในลักษณะที่สวมกอดอยู่ด้านหลัง จากนั้นมืออีกข้างของหนิงเทียนยกขึ้นปิดไปที่ปากของนางราวกับภาพซ้ำที่เกิดในวันก่อน
จากนั้นหนิงเทียนโน้มหน้าไปติดกับใบหูของมู่เสวี่ยและกระซิบออกที่ข้างหูของนาง “เจ้าจำข้าไม่ได้หรือ?” ขณะที่ริมฝีปากของหนิงเทียนแตะเข้ากับหูของนางอย่างแผ่วเบา
ร่างกายของมู่เสวี่ยนั้นแข็งทื่อขึ้นมาในทันที ใบหน้าที่ขาวบริสุทธิ์บัดนี้ถูกสีของเลือดแต่งแต้มไปอย่างสวยงาม
มู่เสวี่ยใช้เวลาครู่หนึ่งก่อนที่ร่างกายของนางจะรู้ตัวว่าเวลานี้นางกำลังถูกสวมกอดจากผู้ชาย นางรีบสะบัดตัวออกมาจ้องหน้าหนิงเทียนตาเขม่ง
สายตาของนางมองลึกไปยังดวงตาของหนิงเทียนพร้อมกล่าวออก “ท่าน ท่านคือชายชุดดำเมื่อวันก่อน”
“จำข้าได้แล้ว?? ดี...เรื่องราวจะได้ง่ายขึ้น นับจากนี้เป็นต้นไปข้าจะมาเป็นคนรับใช้ให้แก่ท่าน โปรดดูแลข้าด้วย”หนิงเทียนกล่าวออกพร้อมรอยยิ้ม
“แท้จริงแล้วท่านเป็นใครกันแน่”มู่เสวี่ยกล่าวถามอย่างไม่ว่างใจนัก
“ข้าหรอ...ข้าคือหยางกวง ผู้ที่จะมาเป็นแสงปัดเป่าความมืดหม่นของท่านออกไปและท่านไม่ต้องห่วงว่าข้าจะคิดอะไรกับใบหน้าสวยๆของท่าน
ถ้าหากข้าไม่ได้รับไหว้วานมาละก็ ต่อให้เจ้าจ้างข้าสักกี่ล้านเหรียญ ข้าจะไม่ยอมลำบากมาเป็นคนรับใช้แน่นอน ไปเถอะข้าต้องการเห็นห้องพักของข้าแล้ว ช่วยนำทางที”
กล่าวจบหนิงเทียนพายมือออกไปแสดงท่าทีเชิญชวนเดินและเดินนำออกไปโดยไม่รู้ที่หมาย
มู่เสวี่ยงุนงงอยู่เล็กน้อยก่อนจะวิ่งตามไปอย่างตกใจ “ไม่ได้ ไม่ได้นั้นมันทางไปห้องนอนของข้า ห้องของท่านอยู่ทางโน้น” นางรีบวิ่งไปกระชากแขนของหนิงเทียนให้เปลี่ยนทิศไปจากห้องของนางโดยเร็ว
ถ้าไม่นับเหตุการณ์เมื่อวานก่อนที่หนิงเทียนได้บุกเข้ามาแล้ว ตั้งแต่เล็กจนโต นอกจากบิดาและพ่อบ้านเฉิงแล้ว ก็ไม่มีผู้ชายคนใดย่างกายเข้าห้องนางมาก่อนเลย เมื่อคิดถึงบิดาและเฉิงฮ่าว แววตาที่เศร้าโศรกอยู่แล้วกับทวีความเศร้ามาขึ้นไปอีก....
หนิงเทียนเดินเข้ามาภายในห้องรับรองของตำหนักหงส์ร่วง มันมองซ้ายแลขวาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวถามขึ้น “ท่านไม่มีสาวใช้หรือ?”
“ภายในตำหนักหงส์ร่วงเหลือข้าอยู่คนเดียว”มู่เสวี่ยกล่าวตอบขณะที่สายตาของนางนั้นมองไกลออกไปนอกจวน
หนิงเทียน เปลี่ยนสายตาไปทางมู่เสวี่ยพลางใช้มือลูบคางอย่างครุ่นคิด ไม่ใช่ว่านางมีพ่อบ้านที่ซื่อสัตย์อยู่คนหนึ่งหรอกหรือแล้วนี่อะไร ท่าทางที่เหมือนคนจะตายเช่นนี้ หนิงเทียนพิจารณาอย่างละเอียดก่อนจะกล่าวถามไป
“ท่านแน่ใจหรือว่า ไม่มีคนรู้จักหรือคนสนิทข้างกายแม้แต่คนเดียว”
ทันทีที่ได้ยินคำถามออกเช่นนี้ น้ำเสียงของนางเปลี่ยนไปทันที ก่อนจะกล่าวออก
“พวกเขาล้วนตกตายกันไปทีละคนอย่างไม่ทราบสาเหตุ ภายในปีนี้ ท่านก็เป็นคนที่10แล้วที่ถูกส่งมายังตำหนักหงส์ร่วงแห่งนี้ ถ้าท่านมีโอกาสหนี อย่าได้ลังเลที่จะจากไป”
มู่เสวี่ยกล่าวออกขณะที่สายตาของนางมองตรงไปภายนอกอย่างไม่เปลี่ยนแปลง
หนิงเทียนยกยิ้มพร้อมกล่าวออกด้วยเสียงเย็น “เช่นนั้นไม่ใช่ว่าพวกเราอยู่กันสองต่อสองหรอกหรือ”
ด้วยสายตาและมุมปากที่ยกขึ้นมาเพื่อหยอกล้อ ทำให้มู่เสวี่ยค้อนสายตาและมองไป “ท่านอย่าได้คิดเรื่องไม่ดีเด็ดขาด
แม้ตำหนักหงส์ร่วงจะไร้ผู้คนก็จริงแต่พวกมันถูกวางทหารยามไว้ตลอดทั้งวันเพื่อกันไม่ให้ข้าหนีออกไป แค่เพียงข้าตระโกนออกเท่านั้น ทหารพวกนั้นจะรีบเข้ามาจับกุมท่านในทันที”
ฮาฮาๆ หนิงเทียนหัวเราะออกอย่างขบขัน มันเพียงพูดล้อเล่นออกมาเพราะเห็นว่านางกำลังจมอยู่กับความเศร้าเท่านั้น แต่ไม่คิดว่าสตรีนางนี้จะคิดเป็นจริงเป็นจัง
จากนั้นมันกล่าวถามขึ้น “ข้าได้ยินที่ท่านคุยกับหญิงรับใช้นางนั้นว่าท่านไม่ต้องการแต่งงานจึงต้องค้นคว้าถึงเพลงกระบี่ที่หายไปอย่างนั้นหรือ?”
“นั้นเป็นแค่เพียงเหตุผลหนึ่ง แต่ที่จริงแล้วถ้าข้าสามารถเข้าใจถึงเพลงกระบี่ที่หายไปอีก2กระบวนท่าได้
ข้าจะนำมันไปแลกเปลี่ยนกับท่านลุง เพื่อช่วยญาติสนิทที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของข้าออกมา” มู่เสวี่ยกล่าวออกอย่างแผ่วเบา จากนั้นนางหยิบกระดาษหนังสัตว์จากอกเสื้อออกมาขีดเขียนต่ออย่างมุ่งมั่น
ได้ยินเช่นนั้นหนิงเทียนรู้สึกสงสัยขึ้นมา มันจึงเอ่ยถาม“เหตุใดต้องเป็นท่าน เห็นได้ชัดว่าผู้คนมากมายในตระกูลมีความสามารถมากกว่าท่าน”
มู่เสวี่ยส่ายหน้า “ไม่มีใครในตระกูลเคยเห็นมันนอกจากข้า แต่นั้นก็เป็นข้าในตอนที่ยังเด็กเท่านั้น มันจึงเลือนลางในความทรงจำเอามากๆ”
หนิงเทียนพยักหน้าอย่างช้าๆและกล่าวออกด้วยน้ำเสียงอันเป็นปกติ “เอาเช่นนี้เป็นไร ถ้าท่านก้มหัวกราบข้าเป็นอาจารย์ ข้าจะสั่งสอนกระบี่ให้ท่านสัก2-3ท่า ดีหรือไม่?”
มู่เสวี่ยกลอกตาไปมาก่อนจะหันหน้ามาทางหนิงเทียน “ให้ข้าเรียกท่านว่าอาจารย์ย่อมได้ แต่ท่านต้องเรียกข้าว่า องค์หญิง เป็นอย่างไร” สายตาที่มองออกมาพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปาก ชวนให้ใบหน้าของมู่เสวี่ยเต็มไปด้วยเสน่ห์ชวนมองเป็นอย่างยิ่ง
หนิงเทียนส่ายหน้า มันคิดออกอยู่ภายในใจ “ปู่ของเจ้ายังต้องเรียกข้าว่านายน้อย การที่ให้เจ้าเรียกข้าว่าอาจารย์นับว่าข้าเมตตาเจ้ามากแล้ว นี้อะไรต้องการให้ข้าเรียกเจ้าว่าองค์หญิงช่างไร้เหตุผลจริงๆ”
ก่อนที่มู่เสวี่ยจะกล่าวอะไรออกมา นางเห็นแต่เพียงภาพเบลอของร่างหนิงเทียนเท่านั้น พอรู้สึกตัวอีกที ริมฝีปากของหนิงเทียนกระซิบอยู่แนบหูของนาง “องค์หญิงท่านต้องการแบบนี้ใช่หรือไม่”
มู่เสวี่ยรีบใช้แรงของนางพลักร่างของหนิงเทียนออกให้ห่าง ก่อนกำลังจะกล่าวคำใดออกมา แต่นางก็ต้องหยุดคำพูดลง เพราะเห็นดวงตาของหนิงเทียนที่หรี่แคบลงอย่างเย็นชา
“หืมม์ 8 คน รู้สึกว่าวันนี้ตำหนักหงส์ร่วงของท่านจะมีแขกมาเยือนอย่างคึกคักจริงๆนะ”หนิงเทียนกระซิบอย่างแผ่วเบาพร้อมหัวเราะออกในลำคอ
มู่เสวี่ยได้ยินเช่นนั้นนางเข้าใจเรื่องราวได้ในทันที เรื่องที่ฟางเหนียงถูกทำร้ายจะต้องรู้ไปถึงหูของท่านลุงแล้วแน่
“ไม่มีใครช่วยท่านออกจากสถานการณ์ที่กำลังเป็นอยู่ได้ดีเท่ากับตัวท่านเองอีกแล้ว จงแสดงศักดิ์ศรีของบุตรสาวอดีตผู้นำตระกูลให้ข้าได้ดูชมหน่อย
จำคำข้าไว้ ถ้าท่านยอมเพียงหนึ่งครั้ง ท่านก็จะต้องยอมมันอีกร้อยครั้งอย่างช่วยไม่ได้ และถ้าท่านไม่รีบสลัดความอ่อนแอทิ้งไป ท่านจะสูญเสียทุกคนที่ท่านรัก ไม่มีคนอ่อนแอคนใดสามารถปกป้องผู้อื่นได้หรอก”
กล่าวถึงตรงนี้หนิงเทียนก้าวเดินไปยังมู่เสวี่ย พร้อมกับสองมือที่แตะลงบนบ่า และกล่าวขึ้น “ออกไปดูกันเถอะ”
ได้ยินคำพูดของหนิงเทียนเช่นนั้น ใบหน้าที่เคยซีดขาวของมู่เสวี่ยพลันเปลี่ยนแปลงไป สองมือของนางกำแน่น นางไม่ได้กล่าวอันใดออกมาอีก
เพียงแต่ก้าวไปข้างหน้าเดินนำหนิงเทียนออกไปอย่างเด็ดเดี่ยว นางหยุดยืนเบื้องหน้าตำหนัก ใบหน้าที่ขาวผ่องปะทะกับแสงแดดสีทองที่สาดส่องไปทั่วร่างด้วยความสง่างามและไร้ซึ่งความอ่อนแออย่างเช่นที่เคยเป็นมา
ถูกแล้วนางนั้นเป็นถึงบุตรสาวคนเดียวของอดีตผู้นำ นางจะทำตัวอ่อนแอให้ผู้อื่นก่นด่าถึงบิดาบนสวรรค์ได้อย่างไร