บทที่ 82 คุณหนูผู้อาภัพ
จากนั้นมู่ฉูจีเริ่มจะร่ายรำกระบี่อย่างช้าๆ ท่วงท่าของมันประดุจผีเสื้อที่สยายปีกออกบิน
ทุกๆการฟาดฟันของมันเต็มไปด้วยความอ่อนช้อยชวนให้ทุกคนหยุดเคลื่อนไหว แม้แต่คำพูดก็ไม่มีใครกล้าเปล่งเสียงออกมาทว่าสายทุกคู่นั้นเต็มไปด้วยความชื่นชม
นี้คือการร่ายรำกระบี่ของผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลมู่ มู่ฉูจีนั้นอยู่ในขั้นที่6ของแดนวีรชนมันเป็นทั้งผู้อาวุโสและที่ปรึกษาที่คอยยืนหยัดค้ำชูตระกูลมู่มาตลอดนับร้อยปี
เมื่อได้เห็นภาพเช่นนี้แม้ว่าพวกกลุ่มคนนับพันจะไม่ได้รับคัดเลือกเข้าสู่ตระกูลมู่ แต่พวกมันกลับไม่มีใครเสียดายเลยแม้แต่น้อยที่ได้มาเข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้
นั้นก็เพราะว่าการได้ชมตัวตนระดับสูงเช่นนี้ร่ายรำกระบี่อย่างใกล้สายตานับว่าได้ว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้มเสียอีก
หนิงเทียนมองไปยังมู่ฉูจีที่กำลังร่ายรำกระบี่ ดวงตาของมันหรี่แคบลงในสายตาของหนิงเทียนนั้นแตกต่างจากผู้อื่นอย่างชัดเจน
“ตาแก่นั้น ไม่ได้สอนกระบี่ตัดชีพจรให้ลูกหลานของมันครบทั้ง3กระบวนท่าหรืออย่างไร? เหตุใดพวกมันถึงมีแค่กระบวนท่าตัดชีพจรไร้เสียงเพียงกระบวนท่าเดียว”
จากนั้นหนิงเทียนระบายลมหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่ายมันหวนคิดถึงเรื่องราวในอดีต “อย่าบอกนะที่ตาแก่นั้นชอบว่าชวนข้าซ้อมกระบี่บ่อยๆเพราะมันคาดหวังที่จะให้ข้าส่งต่อกระบวนท่าที่เหลือ
หึ!!! อย่าได้ฝันแค่เรื่องเดียวที่เจ้าไหว้วานข้าก็มากเกินพอแล้ว” หนิงเทียนไม่ได้มองไปยังมู่ฉูจีเลยแม้แต่น้อย มันเพียงแต่บ่นอุบอยู่ภายในใจคนเดียว
ไม่นานนักมู่ฉูจีก็ร่ายรำกระบี่ไปจนจบครบทุกกระบวนท่า มันกล่าวถามขึ้นมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เจ้าหนุ่มหยางกวง เจ้าจดจำมันได้กี่ส่วน จงแสดงออกมาให้ข้าได้ดูชม”
หนิงเทียนพยักหน้าอย่างเชื่องช้า จากนั้นมันหยิบยืมกระบี่ผุๆของคนด้านข้างมันพร้อมสะบัดกระบี่ไปมา แค่เพียงการแกว่งกระบี่ไปมาอย่างไร้จุดหมายเท่านั้น มันสามารถสะกดสายตาทุกคู่ให้จับจ้องมาที่มันได้อย่างไม่วางตา
ขณะที่หนิงเทียนกำลังตั้งท่าร่ายรำออกมานั้น สุ้มเสียงใสกังวาลของดรุณีนางหนึ่งดังขึ้นมา “ขอข้าชมด้วยคนได้ไหม?”สิ้นเสียงนั้นร่างของสตรีที่หนิงเทียนเคยเห็นบนศาลาหยางจูเดินตรงเข้ามาอย่างอ่อนช้อย นางคือมู่หยู่ คุณหนูสามแห่งตระกูลมู่
บัดนี้ร่างของนางปรากฏต่อสายตาผู้คนนับพันๆ ด้วยผิวที่ขาวออกเหนืออาพรที่ปิดไม่สนิทนั้นชวนให้เหล่าชายชาตรีทุกคนเกิดอาการหลงใหลขึ้นมาอย่าบ้างคลั่ง
“คุณหนูสาม ท่านก็มาชมการคัดเลือกครั้งนี้ด้วย” มู่ฉูจีกล่าวออกพร้อมยิ้มให้แก่นางอย่างอ่อนโยน
“ข้าต้องการคนรับใช้ไว้ฝึกเพลงกระบี่สักคน เห็นทีจะมีแววเพียงแค่คนเดียว” นางกล่าวออกขณะมองไปยังเหวินซีเพียงครู่หนึ่งก่อนจะเบนสายตามาจับจ้องไปยังหนิงเทียน
ใช้เวลาไม่กี่ลมหายใจในการจ้องมองนั้น มู่หยูจึงกล่าวขึ้นมา “ผู้อาวุโสปังเหตุใดคนพิการไร้ลมปราณจึงได้เข้ามาถึงการทดสอบรอบสองนี้ได้
ตระกูลมู่ของเราตกต่ำถึงขนาดนั้นได้อย่างไร” น้ำเสียงและสายตาของนางที่มองไปยังหยางกวงนั้นเต็มไปด้วยความดูถูก
มู่ปังได้แต่ปลายตามองไปยังผู้อาวุโสหนึ่งก่อนจะส่ายหน้าเชิงห้ามปรามไม่ให้คุณหนูสามกล่าวคำอันใดออกมาอีก
ระหว่างที่นางกำลังพูดอยู่นั้นหนิงเทียนฉวยโอกาสยกกระบี่ขึ้นร่ายรำราวออก มันยังคงร่ายรำกระบี่ออกอย่างเชื่องช้า มันจงใจแสดงออกให้เหมือนเพียง2ใน10ส่วนเท่านั้น
ถ้าหนิงเทียนคิดจะร่ายรำอย่างจริงจังแล้วละก็อย่าว่าแต่ลอกเลียนให้เหมือนเลยแม้แต่กระบวนท่าที่พวกมันคิดว่าหายสาบสูญ หนิงเทียนยังสามารถแสดงออกได้ง่ายยิ่งกว่าการตักอาหารเข้าปากเสียอีก
เห็นเช่นนั้นมู่ฉูจีกล่าวขึ้น“ดีมาก แม้จะไร้พรสวรรค์ในการบ่มเพาะแต่ยังมีสติปัญญาในการฝึกเพลงกระบี่อยู่บ้างเล็กน้อย พรสวรรค์นั้นเป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จ
แต่อย่างไรก็ไม่สามารถละเลยพรแสวงได้”มันกล่าวสั่งสอนออกมา จากนั้นมันหันไปกล่าวแก่มู่ปัง
“อาวุโสปัง เพื่อไม่ให้ตระกูลเราต้องเสื่อมเสียเกียรติเมื่อลั่นวาจาไปแล้วพวกเราต้องทำมัน ขอให้ท่านลืมเรื่องผิดใจในวันนี้ไปเสีย”
ได้ยินขอคำเช่นนั้น มู่ปังได้แต่พยักหน้ายอมรับ ก่อนจะกล่าวไปยังหนิงเทียน“ข้าเองก็ไม่ใช่คนใจแคบอันใด เพราะเจ้าโตมาในสถานที่ไร้การศึกษา
ข้าเข้าใจว่าบิดามารดาของเจ้าคงไม่ได้มีเวลาสั่งสอนเรื่องของมารยาท ไม่เป็นไร ครั้งนี้ข้าจะใจกว้างให้อภัยเด็กอย่างเจ้า”
หนิงเทียนที่ได้ฟังดังนั้น ดวงตาของมันฉายแววสังหารออกมาอย่างไม่สามารถปกปิดได้ มันทำได้เพียงแต่ก้มหน้าลงมองพื้นดินข่มจิตสังหารไว้ไม่ให้รั่วไหลออกมาภายนอก มันสูดหายใจเข้าออกลึกอยู่สามสี่ครั้ง
ทุกคนที่ได้เห็นท่าทีเช่นนั้นต่างพากันนึกว่าเจ้าเด็กหยางกวงกำลังก้มหน้าสำนึกผิดอยู่
“โฮะๆ” เห็นท่าท่างสำนึกผิดของหนิงเทียน มู่ฉูจีหัวเราะพร้อมกล่าวออก “ดีมาก เจ้าหนุ่ม ถ้าเจ้าต้องการอยู่ในตระกูลมู่อย่างสงบก็ต้องยอมลดความยโสลงบ้าง ข้าเองก็สามารถช่วยเจ้าได้เพียงเท่านี้”สิ้นคำกล่าว ร่างของมู่ฉูจี เดินหายไปทันที
จากนั้นมู่ปังมันหันไปปรึกษากับคุณหนูสามอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่นางจะกล่าวขึ้นว่า “ส่งมันไปรับใช้ที่ตำหนักหงส์ร่วง คุณหนูผู้อาภัพกับทาสรับใช้ขยะ คงจะเข้ากันได้ดีทีเดียว”
กล่าวจบนางเรียกทหารนายหนึ่งออกมาและสั่งให้มันนำทางหยางกวงไปยัง ตำหนักหงส์ร่วง จากนั้นมู่หยู่ยกนิ้วชี้ไปยังเหวินซีนางกล่าวออกเสียงดัง
“เจ้ามีพรสวรรค์3แก่นแท้ ดี!! ข้าต้องการให้เจ้ามาเป็นคู่ซ้อมกระบี่ให้แก่ข้า” สิ้นเสียงของมู่หยูนางหันหลังกลับพร้อมเดินจากไป ด้านหลังมีเหวินซีที่เดินตามด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ มันมองไปยังคนอื่นๆทีรอรับการทดสอบที่สองด้วยสายตาเหย่อหยิ่ง
เมื่อมู่หยูจากไปแล้ว การทดสอบก็ได้เริ่มดำเนินต่อไป ขณะเดียวกันหนิงเทียนเองก็ได้เดินตามทหารที่มานำทางมันด้วยสีหน้าเฉยชา
ระหว่างทางที่พวกมันเดินไปด้วยกัน ทหารผู้นั้นได้กล่าวขึ้นมาทำลายความเงียบ “น้องชายเจ้าเรียกข้าว่า ตังกุยได้” ทหารที่เดินนำหนิงเทียนกล่าวแนะนำตัว
หนิงเทียนพยักหน้าพร้อมกล่าวตอบ “ข้าชื่อหยางกวงพึ่งมาที่นี่เป็นวันแรก”
ได้ยินเช่นนั้นตังกุยรีบกล่าวต่อ “เอ๋...เจ้าบอกว่าพึ่งมาวันแรก แล้วด้วยเหตุใดถึงถูกส่งไปอยู่ตำหนักหงส์ร่วงได้ ไม่ใช่ว่าเจ้ากำลังหลอกข้าอยู่หรือ บอกมาซะดีๆเจ้าไปทำเรื่องใดผิดมากันแน่” มันกล่าวถามอย่างสงสัย
คำพูดของตังกุยนั้นเรียกความสนใจของหนิงเทียนได้ไม่น้อย มันรีบกล่าวถามออก“พี่ทหาร ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
มันระบายลมหายใจออกมาเสียดังก่อนจะเล่าขึ้นมา
“ที่นั้นเป็นสุสานของคนรับใช้นะสิ ตำหนักหงส์ร่วงนะเล่าลือกันว่ามันเป็นตำหนักของคุณหนูใหญ่และถ้าเมื่อใดที่คุณหนูใหญ่ขัดคำสั่งท่านผู้นำละก็
ท่านก็จะลงมือสังหารคนสนิทของนางทิ้งจนกว่านางจะเลิกขัดขืน” ตังกุยกล่าวออกขณะที่มันทำมือปาดไปที่ลำคอของตัวเอง
เมื่อได้ฟังคำบอกเล่าของตังกุย หนิงเทียนจึงกล่าวถามด้วยความสงสัย“ข้าได้ยินมาว่าพวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกัน เพราะเหตุใดถึงได้ทำเรื่องโหดร้ายต่อกันเช่นนี้??”
“เจ้าพึ่งจะมาถึงคงยังไม่รู้เรื่องอะไรดี ถึงพวกเขาจะครอบครัวเดียวกันก็จริง แต่อดีตผู้นำที่ล่วงลับกับท่านผู้นำคนปัจจุบันเป็นเพียงลูกพี่ลูกน้องกันเท่านั้น
เจ้ารู้แล้วให้เหยียบเอาไว้ให้มิดเลยนะ เคยมีข่าวลือว่าท่านผู้นำคนปัจจุบันนั้นเป็นเพียงบุตรบุญธรรมที่อดีตผู้นำเฒ่า....เอ่อข้าหมายถึงบิดาของอดีตผู้นำที่ล่วงลับ ปู่แท้ๆของคุณหนูใหญ่นั้นแหละ
นำมาชุบเลี้ยงให้เป็นเพื่อนเล่นกับอดีตผู้นำที่ล่วงลับไป“มันยังคงกล่าวต่อ”และการประลองเลือกคู่ที่ยิ่งใหญ่ที่ตระกูลมู่กำลังจะจัดขึ้น พวกบ่าวไพร่ก็นินทรากันอย่างหนาหูว่า เป็นการขับไล่คุณหนูใหญ่ให้ออกจากตระกูลทางอ้อม”
ได้ยินเช่นนั้นดวงตาของหนิงเทียนหดแคบลงในทันที ข่าวที่ได้ซื้อมาจากสมาคมการค้าจ้าวสมุทรก็ไม่ได้บอกกล่าวถึงรายละเอียดเรื่องนี้ มันพอที่จะจับเค้าโครงปะติปะต่อเรื่องราวได้กลายๆแล้ว
“ดูเหมือนกับว่า ผู้นำคนปัจจุบันจะไม่เกี่ยวพันทางสายเลือดกับพ่อบ้านมู่สินะ”มันระบายลมหายใจออกมา “ในเมื่อหน้ามือคือเนื้อและหลังมือไม่ใช่เนื้ออีกต่อไป คงเป็นเรื่องง่ายที่จะเลือกตัดมันออก”
เหตุผลที่ทำให้หนิงเทียนต้องลงทุนปลอมตัวเข้ามานั้น เพียงเพราะคำว่าหน้ามือก็เนื้อหลังมือก็เนื้อ ถึงพวกมันจะขัดแย้งกันภายในตระกูลแต่อย่างไรพวกมันก็เป็นสายเลือดเดียวกันเป็นบุตรเป็นหลานของพ่อบ้านมู่เหมือนกัน
แต่เมื่อได้ฟังคำพูดของตังกุยแล้ว คงไม่มีน้ำที่ไหนข้นไปกว่าเลือด คิดออกเช่นนั้น มันจึงตัดสินใจได้ในทันทีว่าใครคือศัตรูที่ควรถูกกำจัดทิ้ง
ตังกุยที่เห็นหนิงเทียนเดินด้วยความเงียบ มันคิดว่าเจ้าหนุ่มคนนี้กำลังหวาดกลัวอยู่ภายใน จึงได้กล่าวออกอย่างเห็นใจ
“เจ้าไปที่นั้นก็ต้องระวังตัวไว้ให้มาก”ตังกุยกล่าวออกอย่างเป็นห่วงแม้มันพึ่งจะรู้จักกันได้ไม่นานนักแต่ถึงอย่างไรการมีน้ำใจต่อเพื่อนมนุษย์เห็นทีจะเป็นนิสัยของมันเสียมากกว่า
หนิงเทียนได้แต่ยิ้มออกและพยักหน้าอย่างขอบคุณจากนั้นมันเดินต่อไป ในเส้นทางที่รู้สึกคุ้นตาเป็นอย่างยิ่ง ใช่แล้วมันเดินไปบนเส้นทางเดียวกับที่มันเคยลอบเข้ามาในครั้งก่อน
ระหว่างทางเดินนั้นหนิงเทียนก็พบว่าภายในจวนนั้นเต็มไปด้วยผ้าแพรสีแดงที่ประดับประดาตามมุมของเสาใหญ่ และยิ่งเดินลึกเข้ามาจวนตระกูลมู่นั้นเต็มไปด้วยเสียงของดนตรี เสียงหัวเราะและเสียงกระทบกันของจอกสุรา
หนิงเทียนเห็นดังนั้นจึงเอ่ยถามขึ้นมา “วันนี้มีงานอะไรกัน เหตุใดภายในถึงคึกคักต่างจากประตูรอบนอกโดยสิ้นเชิง”
“วันนี้เป็นวันเกิดครบรอบ14ปีของคุณหนูสี่ มู่เฉียน ทำให้ในจวนคับคั่งไปด้วยความรื่นเริง ส่วนที่พวกเรายืนอยู่นั้นเป็นพื้นที่ของตำหนักหงส์ร่วงมันเป็นเพียงส่วนนอกเท่านั้น
มันก็คล้ายๆกับชายแดนรกร้างละนะ แต่ถ้าเจ้าได้เดินไปทางตำหนักตะวันแดงของคุณหนูสี่แล้วละก็ เจ้าจะพบผู้คนมากมายที่มาแสดงความยินดีแก่นางอย่างคับคั่ง”ตังกุยตอบคำถามของหนิงเทียนอย่างชัดแจ้ง
หนิงเทียนเบือนสายตามองไปรอบๆพร้อมกล่าวออก“มันไม่ได้เกี่ยวกับตำหนักที่พวกเรากำลังจะไปสินะ”ถ้าดูจากทางเดินรอบๆที่ประดับด้วยผ้าแพรนั้นมันคล้ายกับหนิงเทียนกำลังเดินจากสรวงสรรค์ลงไปแดนใต้บาดาลก็ไม่ปาน
ใช้เวลาอีกเพียงครู่เดียว ตังกุยได้นำหนิงเทียนมาถึงตำหนักหงส์ร่วง ขณะที่มันกำลังลาและจากไป สายตาของพวกมันทั้งคู่กลับมองเห็นภาพของสตรี3คนที่กำลังยืนโต้เถียงกันอยู่
หนิงเทียนขมวดคิ้วและหยุดเดิน มันจับจ้องไปยังกลุ่มสตรีทั้งสามคนและชายหนุ่มอีกหนึ่งคนที่ยืนคุมเชิงอยู่ด้านหลัง หนึ่งในสี่นั้นเป็นใบหน้าที่มันคุ้นเคย ใช่แล้วนางคือคุณหนูใหญ่ มู่เสวี่ย
ตังกุยพึมพำออกมา ทำไมพวกของฟางเหนียงถึงมาอยู่ที่ตำหนักหงส์ร่วงแห่งนี้ ไม่ได้การแล้วพวกนางจะต้องมีเรื่องกันแน่ๆ คิดได้เช่นนั้นมันรีบดึงตัวหนิงเทียนให้ไปหลบอยู่ข้างหลังต้นไม้ใหญ่พร้อมกับจับจ้องไปอย่างสถานการณ์ตรงหน้า
หนิงเทียนเดินหลบไปตามกระแส มันกล่าวถามอยู่หลังต้นไม้“พี่ตังกุย ฟางเหนียงนั้นคือใคร”
ตังกุยกล่าวตอบขณะที่สายตามันจ้องไปข้างหน้าอย่างไม่กระพริบ “นางเป็นคนรับใช้ในห้องของท่านผู้นำ แต่ข้าไม่เชื่อเด็ดขาด คนรับใช้ประเภทใดกันที่จะเหย่อหยิ่งชูคอได้เช่นนี้
นางนะต้องเป็นภรรยาน้อยของท่านผู้นำแน่ๆ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงไม่อยู่ในงานเลี้ยงวันเกิด แต่กลับมาปรากฎตัวที่ตำหนักหงส์ร่วงได้”
ได้ยินเช่นนั้น หนิงเทียนพยักหน้าช้าๆ พร้อมกับมองตรงไปยังเหตุการณ์เบื้องหน้า
เวลาเดียวกันมู่เสวี่ยกำลังมองไปยังผู้มาเยือนด้วยสายตาเย็นชา
“คุณหนูใหญ่ท่านยังไม่เลิกที่จะดิ้นรนอีก ท่านยังคาดหวังถึงเรื่องที่นายท่านพูดออกมา?”
จากนั้นฟางเหนียงระบายลมหายใจอย่างล้อเลียนพร้อมกล่าวต่อ “สองวิธีที่ท่านจะสามารถยกเลิกงานแต่งได้คือหาป้ายประจำตระกูลหรือไม่ก็คิดถึงเพลงกระบี่ที่หายสาบสูญไป2กระบวนท่าให้ออก
ไม่ว่าทางไหนการปีนขึ้นสวรรค์ดูเหมือนจะง่ายยิ่งกว่า จริงหรือไม่ว่านเอ๋อ” คำพูดของนางนั้นเห็นได้ชัดว่าต้องการหาเรื่อง
“จริง..จริงที่สุดเลยพี่ฟางเหนียง ไม่ว่าทางไหนก็หนีไม่พ้นจะต้องถูกจับแต่งงานอยู่ดี”หญิงสาวที่ดูท่าท่างเหมือนคนรับใช้กล่าวเสริมด้วยใบหน้าเยาะเย้ยและสายตาที่ถากถาง
ได้ยินคำพูดของว่านเอ๋อ ฟางเหยียนก็หัวเราะเสียงดังลั่นออกมา คนรับใช้กำลังหัวเราะเยาะเย้ยคูณหนูใหญ่ของตระกูลอยู่ ภาพเช่นนี้มันเป็นภาพที่ชวนให้ผู้ที่ได้เห็นรู้สึกอดสูใจไม่น้อย
มู่เสวี่ยนั้นไม่ได้สนใจคำกล่าวเยาะเย้ยอันใด นางเพียงแต่หันหลังกลับ
“พ่อแม่ไม่สั่งสอนหรืออย่างไร ถึงได้สะบัดหน้าใส่ผู้ใหญ่ตอนที่เขากำลังพูดด้วยอย่างนี้ อ่อลืมไปคุณหนูไม่มีพ่อแม่แล้วสินะ” ฟางเหนียงกล่าวด้วยสีหน้าดูถูก
จากนั้นนางกล่าวออกแก่ชายหนุ่มด้านหลังมัน “ต้าหนิวไปจับคุณหนูใหญ่ที่แสนดีมาคุกเข่าขอโทษข้าซะ” ต้าหนิวผู้นี้เป็นผู้ฝึกตนในระดับองครักษ์ขั้น5 การจะจับตัวหญิงสาวที่ร่างกายอ่อนแออย่างมู่เสวี่ยนั้นไม่ใช่เรื่องยากอันใด
แต่มันกลับจงใจโคจรพลังลมปราณออกทั่วร่างหมายให้การจับครั้งนี้ได้ฝากรอยช้ำไว้สักสองสามจ้ำหรือถ้าพลาดพลังทำให้กระดูกหักไปได้ ก็นับว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด
เห็นภาพเช่นนั้นหนิงเทียนได้แต่สายหน้า
“คนรับใช้ นั้นก็คนรับใช้และนี่ก็ยังเป็นคนรับใช้ พวกมันเป็นเพียงคนรับใช้แต่กลับกล้าที่จะดูถูก พูดจาหยามเกีรยติและถึงขนาดคิดจะทำร้ายคุณหนูใหญ่เช่นนี้ ดูท่าคำกล่าวที่บอกให้พานางออกไป จะไม่ใช่คำกล่าวที่เกินจริง”
คิดออกเช่นนั้นดวงตาของหนิงเทียนพลันประกายจิตสังหารออกมา มันพุ่งตัวออกจากหลังต้นไม้ทันทีถึงแม้มันจะไร้ซึ่งลมปราณแต่การจะจัดการผู้ฝึกตนในแดนองครักษ์นั้นไม่ใช่เรื่องยากเย็นอันใด...