บทที่ 81 ทดสอบพรสวรรค์
ในช่วงเวลากลางวันของเมืองฉางผิง ยามที่แดดสาดแสงกระทบลงมาท่ามกลางผู้คนนับหมื่น ภายในคฤหาสน์ของตระกูลมู่ ผู้คนมากมายเนื่องแน่นกันอยู่ที่หน้าประตู
เนื่องจากวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ตระกูลมู่จะเปิดโอกาสรับผู้ฝึกตนจากที่อื่นๆมาเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับตระกูลของมัน
การที่ได้เข้าร่วม3ตระกูลใหญ่นั้น นับว่าเป็นความฝันอันยิ่งใหญ่คนผู้คนส่วนมากในเมืองฉางผิง เมื่อพวกมันได้เข้าร่วมและรับใช้ตระกูลมู่ความอดยากและขัดสนในเรื่องเงินทองหรือทรัพยากรบ่มเพาะก็จะหมดไป
ถึงแม้ว่าเวลานี้ข่าวลือต่างๆเกี่ยวกับตระกูลมู่จะถูกพูดถึงกันอย่างหนาหูก็ตาม แต่ถึงอย่างไรพวกมันก็ยังคงเป็น1ใน3ตระกูลใหญ่ นี้คือเรื่องจริงที่ทุกคนรับรู้กันอย่างทั่วถึง
ภายในลานกว้าง สรรพาวุธของตระกูลมู่ถูกวางไว้อย่างประณีต เสียงของผู้คนที่นั่งต่อสู้กับแสงจากดวงตะวันนับพันๆคนดังขึ้น จนสามารถได้ยินการสนทนาของผู้คนได้เป็นอย่างดี
กลุ่มผู้ฝึกตนที่นั่งอยู่กับพื้นส่วนใหญ่แล้วพวกมันเป็นคนจากพื้นที่รอบนอกและคนจากตระกูลชั้นต่ำที่จะมาหวังพึ่งใบบุญของตระกูลมู่ ขณะที่พวกมันนั้นจ้องมองไปข้างหน้าอย่างตั้งใจ
ข้างหน้าของพวกมันนั้นปรากฏชายรูปร่างอ้วนกำลังนั่งอยู่โดยมีกลุ่มของคนรับใช้คอยถือแผ่นหนังปิดบังความร้อนจากแสงแดดเอาไว้ให้
“อีก1ชั่วยาม ข้าจะเริ่มคัดกรองผู้คน จะมีผู้ที่ได้รับคัดเลือกเข้าสู่ตระกูลมู่มีเพียง200ชีวิตเท่านั้น” ชายร่างอ้วนผู้นี้มีฐานะเป็นถึงผู้อาวุโสลำดับที่3 นามว่า มู่ปัง
มันยังคงกล่าวอธิบายต่อผู้คนนับพันชีวิตที่นั่งฟังอย่างตั้งใจ “ตระกูลมู่ของเราจะรับผู้ที่มีพรสวรรค์2แก่นแท้ขึ้นไปสำหรับการเป็นนักรบประจำตระกูล
ในส่วนของผู้ไร้พรสวรรค์พวกมันจะเป็นได้เป็นเพียงข้ารับใช้ธรรมดาเท่านั้น ข้าจะไม่สนใจว่าพวกเจ้าจะบ่มเพาะพลังกันถึงดินแดนใด ที่ข้าต้องการคือผู้ที่มีพรสวรรค์เท่านั้น
การทดสอบของตระกูลมู่เราจะแบ่งออกเป็น 3อย่าง หนึ่งข้าได้พูดไปแล้วคือการทดสอบพรสวรรค์
สองทดสอบความรู้ในเรื่องกระบี่อันเป็นทักษะวิชาประจำตระกูลมู่เรา ผู้ที่ต้องการอยู่ในตระกูลมู่จะต้องมีความรู้ในเรื่องเพลงกระบี่ มันผู้นั้นถึงจะเหมาะสมกับตระกูลของเราที่ถูกเรียกว่า กระบี่อันดับ1แห่งเมืองฉางผิง
ในส่วนของการทดสอบลำดับที่สามมีไว้สำหรับผู้ที่ต้องการเป็นนักรบของตระกูลเท่านั้น พวกเจ้าจะต้องเข้าร่วมการประลองและเอาชนะให้ได้2รอบติดกัน
สำหรับนักรบของตระกูลมู่พวกมันจะได้รับทรัพยากรไม่ว่าจะเป็นโอสถ หินลมปราณหรือแม้แต่แกนของสัตว์อสูรขั้นที่1ในทุกๆเดือน ถ้าพวกเจ้าผ่านการคัดเลือกนี้ จงภูมิใจได้เลยอนาคตที่สดใสกำลังรอพวกเจ้าอยู่”
กลุ่มคนที่มานั่งรอรับการคัดเลือกจากตระกูลมู่ได้ยินเช่นนั้นภายในใจของมันเต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น เป็นตายอย่างไรพวกมันก็ต้องเข้าร่วมตระกูลมู่ให้จงได้
เวลาผ่านไปสักครู่ใหญ่ ชายร่างอ้วน มู่ปัง ก็ได้กล่าวต่อว่า “ปิดประตูได้ ตระกูลมู่ของเราไม่รับพวกขาดตกบกพร่องในเรื่องของเวลาเด็ดขาด”
จากนั้นมันหันไปกล่าวออกแก่ทหารยาม นำผลึกทดสอบพรสวรรค์ออกมาให้พวกมันได้ทดสอบทีละคน สำหรับผู้ที่มีพรสวรรค์2แก่นแท้ขึ้นไป ให้ผ่านโดยไม่ต้องรอสอบในรอบอื่นๆ
สำหรับผู้มีพรสวรรค์เพียงแก่นแท้เดียวจะต้องไปสอบกระบ่วนท่ากระบี่ในรอบที่สอง
“พรสวรรค์? ข้าต้องการเป็นคนรับใช้เพื่อที่จะกินอิ่มท้องทุกๆวัน เหตุใดต้องทดสอบพรสวรรค์และกระบวนท่ากระบี่อะไรนี่ด้วย”เด็กหญิงคนหนึ่งบ่นกับตัวเองด้วยเสียงหดหู่
“ฮ่าฮ่า ตระกูลมู่จะไม่รับขยะที่ไม่มีพรสวรรค์หรือแม้กระทั่งแรงจะจับกระบี่แน่นอน”ชายหนุ่มคนหนึ่งยิ้มออกมาและกล่าวออกอย่างหยิ่งยโส
ท่ามกลางกลุ่มของผู้ฝึกตน ชายหนุ่มผู้หนึ่งอายุราวๆยี่สิบปีใบหน้าของมันซีดขาวไร้อารมณ์นั่งจ้องมองไปยังภาพเบื้องหน้าด้วยดวงตาที่เงียบสงบ
มันพึมพำออกแผ่วเบา “ตัวชายผู้นี้ดูท่าทีจะมั่นใจมากกว่าผู้อื่นหลายสิบเท่านัก มันจะต้องเคยทดสอบพรสวรรค์มาก่อนแน่ๆ”
ปล่อยให้ฝูงชนพูดคุยกันอยู่ได้ไม่นานนัก ทหารคนหนึ่งได้นำผนึกแก้วสีใสเดินตรงมามอบให้แก่มู่ปัง จากนั้นสายตาของมู่ปังกวาดออก
พร้อมกล่าวขึ้นว่า “เพียงพวกเจ้าตั้งจิตแล้วสัมผัสไปที่ผนึกแก้วนี้มันจะเปล่งแสงบ่งบอกพรสวรรค์แต่กำเนิดของแต่ละคนออกมา สำหรับผู้ที่ทำให้มันเปล่งแสงกระพริบได้สองครั้งขึ้นไปนั้นจะผ่านโดยทันที”
“อย่างไรก็ตาม ถ้ามีผู้ใดสามารถทำให้แก้วผนึกเปล่งแสงกระพริบได้ถึงสามครั้ง แม้ว่ามันจะไม่ใช่อัจฉริยะแต่พรสวรรค์3แก่นแท้นับว่ายอดเยี่ยมกว่าบุคคลธรรมดาทั่วไปมากนัก ดังนั้นมันจะได้รับการดูแลจากตระกูลมู่เป็นอย่างดี”
“นี้คือโอกาสที่จะลืมตาอ้าปากของพวกเจ้าแล้ว จงทำมันให้ดี”แม้ว่ามู่ปังจะไม่ได้เปล่งเสียอันใด แต่ทุกคนในที่นี้ก็ได้ยินกันอย่างชัดเจน มันทำให้ทุกคนที่นั่งอยู่นั้นบังเกิดความรู้สึกตื่นเต้นเป็นอันมาก
“คนแรก เหวินซี ออกมาทำการทดสอบ” มู่ปังเอ่ยเรียกด้วยระดับเสียงอันเป็นปกติ
“ขอรับ” ชายหนุ่มนามว่าเหวินซีโค้งคำนับ ชายหนุ่มผู้นี้เป็นคนเดียวกับเจ้าของเสียงเมื่อครู่ที่มันได้ประกาศตัวอย่างหยิ่งยโสว่ามันจะต้องได้เข้าร่วมตระกูลมู่อย่างแน่นอน
มู่ปังวางผนึกแก้วทดสอบพรสวรรค์ไว้บนโต๊ะด้านหน้าก่อนจะมองไปด้วยสายตาที่ไม่คาดหวังอันใด ด้วยประสบการณ์คัดคนมานับสิบๆปี มันบอกได้เลยว่า การที่จะหาผู้มีพรสวรรค์ด้วยวิธีนี้ไม่ต่างอะไรจากการงมเข็มในมหาสมุทร
“เอาเถอะ อย่างน้อยมีคนมาคอยล้างห้องน้ำและเช็ดกระบี่ก็ยังดี” คิดได้เช่นนั้นมันจึงกล่าวขึ้น
"สงบจิตและสัมผัสมันเพียงเท่านั้น” เหวินซีทำตามที่มู่ปังอธิบายมันวางมือสัมผัสอย่างแผ่วเบา จากนั้นมันกวาดสายตามองไปยังเพื่อนร่วมการทดสอบด้วยแววตามั่นใจ
ตึกตึก!! เสียงหัวใจของผู้คนที่มารับการคัดเลือกจ้องมองไปยังเหวินซีด้วยความตื่นเต้น
จากนั้นแสงบนผนึกแก้วเปล่งออกมา วูบ!!! แสงที่หนึ่ง วูบ!!!แสงที่สอง จากนั้นสิ่งที่ทำให้มู่ปังถึงกับยกยิ้มขึ้นมา คือแสงที่เปล่งออกจากผนึกแก้วเป็นครั้งที่สาม
“ดีมาก ดีมาก เจ้าชื่อเหวินซี เจ้าผ่านการคัดเลือก อีกไม่เกิน10ปี ข้ามั่นใจว่าเจ้าจะต้องก้าวมาเป็นนักรบในแดนแห่งปราชญ์แน่นอน” มู่ปังกล่าวจบพร้อมกับหัวเราะด้วยความยินดี
เวลานั้นใบหน้าของเหวินซีภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก มีเพียงอัจฉริยะลูกหลานของตระกูลใหญ่ทั้ง3เท่านั้นที่มีแก่นแท้พรสวรรค์ถึง4แก่นแท้ ในระดับ5แก่นแท้พรสวรรค์นั้นนับว่าไม่เคยปรากฎขึ้นในเมืองฉางผิงมาก่อนแต่อย่างใด
“ข้าจำได้แล้ว เด็กนั้นคือ ลูกหลานตระกูลเหวินที่เป็นตระกูลชั้นกลาง”
“ไม่แปลกใจเลยทำไมมันร้ายกาจยิ่งนัก”
กลุ่มผู้ที่รอคอยการทดสอบอยู่ด้านหลังต่างร้องออกด้วยความอิจฉา
จากนั้นผู้เข้าร่วมทดสอบคนต่อไปยังเดินเรียงแถวต่อคิวกันทดสอบพรสวรรค์กันอย่างเป็นระเบียบ
“1แก่นแท้พรสวรรค์”
“1แก่นแท้พรสวรรค์”
“2แก่นแท้พรสวรรค์”
“1แก่นแท้พรสวรรค์”
เสียงของทหารควบคุมการทดสอบดังขึ้นคนแล้วคนเล่า หลังจากเหวินซีแล้วผู้ที่มีพรสวรรค์3แกนแท้ขึ้นไป ไม่มีปรากฏออกมาอีกเลย
อย่างมากพวกมันจะมีเพียง2แก่นแท้พรสวรรค์เท่านั้นแต่นั้นก็นับได้ว่าเป็น1ใน10ของอัตราส่วนที่ได้พบ
เหวินซีเห็นการทดสอบที่กำลังดำเนินไป มันยิ้มออกมาด้วยความหยิ่งยโส เห็นได้ชัดว่ามันไม่ต้องการให้ผู้ใดเด่นเกินกว่าตัวมัน
เมื่อเวลาผ่านไปการทดสอบพรสวรรค์นั้นยิ่งไร้ซึ่งความน่าสนใจ เพียงเพราะในกลุ่มคนหลังๆนั้นมีเพียงแต่ กลุ่มคนที่มี1แก่นแท้พรสวรรค์เท่านั้น แม้แต่มู่ปังเองก็อ้าปากหาวออกด้วยความเบื่อหน่าย
“คนสุดท้าย หืมม์เป็นชื่อที่ดี หวังว่าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”มู่ปังกล่าวรายชื่อพร้อมเอ่ยขึ้น “หยางกวงออกมารับการทดสอบ”
สิ้นเสียงของมู่ปังชายหนุ่มวัย20ปีใบหน้าของมันซีดขาวไร้อารมณ์เดินออกมาจากกลุ่มคนที่กำลังเฝ้ารอการทดสอบที่สองอยู่
ขณะที่ชายหนุ่มผู้นั้นกำลังก้าวเท้าเดินไปข้างหน้านั้นมันแอบนำโอสถสีเหลืองโยนเข้าปากอย่างรวดเร็วพร้อมเดินออกไปด้วยท่าทีเฉื่อยชา
ระหว่างระยะทางเดินที่ไม่ไกลนั้น มันมองไปโดยรอบๆพร้อมคิดออกภายในใจ
“สมกับที่เป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่จริงๆ ไม่คาดคิดว่าจะมีคนมารวมตัวกันนับพันๆคนเช่นนี้ แต่ถึงอย่างไรกลุ่มที่มาเพราะทรัพยากรและเงินเช่นนี้ก็ไม่สามารถเทียบได้กับนักรบของตระกูลซือหม่าของข้าได้แม้แต่คนเดียว”
จากนั้นหนิงเทียนที่ตอนนี้มันใช้ชื่อว่าหยางกวง วางมือของมันลงบนผนึกแก้วอย่างไม่สนใจใดๆ ด้วยผลของโอสถเหลืองอำไพที่มันได้แอบกินเข้าไป ทำให้ผลทดสอบของมันออกมาเพียง1แก่นแท้พรสวรรค์เท่านั้น
เห็นเป็นเช่นนั้น มู่ปังอดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาก่อนจะกล่าวขึ้นแก่หยางกวง “ข้าละอยากเห็นใบหน้าพ่อและแม่ของเจ้าจริงเหตุใดถึงตั้งชื่อลูกชายว่าหยางกวงหมายถึงแสงตะวันนะหรอ...
ฮ่าฮาๆ เห็นชัดๆว่าเจ้าเป็นเพียงแค่ขยะทั่วไปเท่านั้นไม่ใช่หรือ?”
ได้ยินคำกล่าวถึงบิดา มารดา เช่นนั้นใบหน้าที่เคยไร้ความรู้สึกของหนิงเทียนกลายเป็นดำมืดด้วยสองตาที่หรี่ลง มันจ้องมองไปยังมู่ปังอย่างดุร้าย
“บัดซบ เจ้าขยะไม่เจียมตัวกล้ามองหน้าข้าอย่างนั้น??” กล่าวออกเช่นนั้นมู่ปังยกมือของมันขึ้นมาหมายจะตบสั่งสอนไปยังใบหน้าของหยางกวง
แต่ทันใดนั้นสุ้มเสียงที่เหี่ยวยานได้ดังออกมาหยุดการกระทำดังกล่าวไว้ “อาวุโสปัง อย่ากระนั้นเลยถ้าเรื่องแดงออกไปว่าพวกเราตระกูลมู่ทำร้ายผู้ที่มาสมัครแล้วละก็ในอนาคตข้างหน้าจะมีใครกล้ามาสมัครเข้าร่วมกับพวกเรา?”
มู่ปังหันไปยังต้นตอเจ้าของเสียงที่เปล่งออกมานี้ มันยกมือสองข้างขึ้นมากล่าวออกอย่างสุภาพ “ผู้อาวุโสใหญ่ขอบคุณที่เตือนข้า”
ถึงแม้ภายในใจมันจะโกรธเพียงใดแต่คำพูดที่กล่าวเตือนออกมานั้นเป็นเรื่องที่จะมองข้ามไม่ได้เด็ดขาด ความโกรธของมันเทียบไม่ได้กับชื่อเสียงของตระกูลแม้แต่น้อย
เมื่อมู่ปังทำความเข้าใจได้เช่นนั้น มันหันไปกล่าวแก่หยางกวงด้วยน้ำเสียงที่กราดเกรี้ยว
“พรสวรรค์1แก่นแท้ มันผู้นี้ไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมตระกูลมู่ ทหารเอาตัวมันออกไปให้พ้นตระกูลมู่โดยเร็ว” ยังไม่ทันสิ้นเสียงของมู่ปังดี
เสียงของหยางกวงดังขึ้นแทรกออกมา “ข้ายังไม่ได้รับการทดสอบที่2และ3 เหตุใดเจ้าถึงมาตัดสิทธิ์และไล่ข้าออกไป”
“ฮ่าฮ่าๆๆ ด้วยพรสวรรค์1แก่นแท้เท่านี้ เจ้ากล้าตั้งคำถามแก่ข้า แค่เพียงพรสวรรค์อย่างเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ข้าเตะส่งเจ้าออกนอกประตูไปโดยเร็ว มู่ปังกล่าวออกอย่างดุร้าย
ได้ยินเสียงหัวเราะอันน่าเกลียดของมู่ปังนั้น หนิงเทียนหรี่ตาลง จากนั้นมันกล่าวออกโดยไร้ซึ่งความเคารพ
“ถ้าเป็นเช่นที่เจ้ากล่าวมา เหตุใดตระกูลมู่ถึงประกาศออกมาว่ามีการทดสอบถึง3ครั้ง หรือว่าสองครั้งที่เหลือมีไว้เพื่อให้กลุ่มคนที่มีเส้นสายแต่ไร้พรสวรรค์เข้าร่วมอย่างนั้น?”
หนิงเทียนกล่าวถามไปยังมู่ปังแต่มันไม่ได้รอคำตอบใดๆจากมู่ปังมันยังคงกล่าวขึ้นต่อ
“ทุกท่านโปรดฟังเอาไว้ ตระกูลมู่นั้นไม่ได้ตั้งใจจะรับพวกเราที่เกิดมาไร้พรสวรรค์อยู่แล้ว แม้จะเป็นตระกูลใหญ่แต่พวกเขาก็ไม่ได้ให้ความเท่าเทียบกับคนระดับต่ำเช่นพวกเราแต่อย่างใด
ในการทดสอบรอบที่สองก็คงมีไว้เพื่อกลุ่มคนที่ได้ติดสินบนให้แก่คนผู้นี้”กล่าวจบมันยกมือชี้ไปยังร่างของมู่ปัง
หนิงเทียนนั้นตัดสินใจตั้งแต่ที่ถูกกล่าวว่าถึงบิดามารดาของมันแล้ว ถ้ามันผ่านการทดสอบก็แล้วไป แต่ถ้าไม่มันจะทำให้ตระกูลมู่แห่งนี้ถูกย้อมไปด้วยสีของเลือดและเมื่อถึงเวลานั้นมันคงทำได้เพียงแต่กล่าวขอโทษแก่พ่อบ้านมู่
คิดได้เช่นนั้น การกระทำต่อไปของมันจะขึ้นอยู่กับคำตอบของมู่ปัง ที่จะกล่าวออกในอีกไม่กี่ลมหายใจข้างหน้า
เมื่อมู่ปังเห็นสายแต่และปลายนิ้วที่ชี้มายังตัวมัน ใบหน้าของมันเกิดอาการเปลี่ยนแปลงกลายเป็นเขียวคล้ำด้วยโทสะ
มันนั้นเป็นถึงผู้อาวุโสของตระกลูมู่และทำหน้าที่นี้มานานนับสิบๆปีไม่เคยมีผู้สมัครคนใดมาชี้หน้าด่ากราดให้ผู้คนมากมายขนาดนี้ได้ฟังเช่นเจ้าเด็กหยางกวงคนนี้
ขณะที่มันกำลังส่งลมปราณไปยังฝ่ามือหมายจะกระชากร่างของหยางกวงให้แยกออกจากกัน เสียงหัวเราะของผู้อาวุโสหลักก็ได้ดังออกมา
“ฮ่าฮาๆ ดีข้าชอบเด็กหนุ่มที่ไม่เกรงกลัวสิ่งใดเและกล้าคิดกล้าพูดเช่นเจ้า ข้ามู่ฉูจี จะให้โอกาสเจ้าได้ทดสอบในรอบที่สองเพื่อที่จะให้เจ้าได้รู้ว่าคำครหาที่เจ้ากล่าวนั้นไม่เป็นความจริงแม้แต่น้อย”
และถ้าการทดสอบรอบที่สองของเจ้าผ่านด้วยดีละก็ ข้าจะรับรองให้เจ้าได้เข้าร่วมตระกูลมู่ด้วยตัวเอง“กล่าวจบมู่ฉูจีหันไปถามแก่มู่ปังด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม”ข้าสามารถทำได้ใช่หรือไม่?"
มู่ปังได้ยินเช่นนั้นมันพยักหน้าอย่างขัดไม่ได้ ตัวมันนั้นรู้ดีว่าผู้อาวุโสใหญ่นั้นมีนิสัยแปลกประหลาดเพียงใดและยังเป็นบุคคลที่มีความคิดไม่เหมือนผู้อื่นอีกด้วย
เมื่อเห็นท่าทางของมู่ปังที่ตอบตกลงออกมา มู่ฉูจียังคงกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบ “แต่ถ้าเจ้าไม่สามารถผ่านเข้ามาเป็นคนของตระกูลมู่ได้ละก็ ข้าคิดว่าเจ้าคงต้องเตรียมตัวเตรียมใจ
รอรับความเกรี้ยวกราดจากผู้อาวุโสลำดับสามของตระกูลมู่แล้ว” กล่าวจบมันหัวเราะออกด้วยใบหน้าที่แย้มยิ้ม
หนิงเทียนมองไปยังใบหน้าของมู่ฉูจี มันรู้สึกเหมือนกับว่า รอยยิ้มที่ฉาบอยู่บนใหน้านั้นไม่ได้มีความรู้สึกชั่วร้ายซ่อนอยู่เลย ราวกับว่ามันเป็นรอยยิ้มจากคนที่เห็นทุกอย่างเป็นเพียงเรื่องสนุกเท่านั้น
เมื่อมู่ปังได้ยินคำกล่าวของผู้อาวุโสใหญ่เช่นนั้นโทสะของมันลดลงหลายส่วน ในหัวของมันมันไม่มีความคิดว่าหนิงเทียนจะผ่านการทดสอบรอบที่สองอยู่เลยแม้แต่น้อย
มันเพียงคิดแต่ว่าภายหลังจากการทดสอบรอบที่สองไปแล้ว มันจะสั่งสอนเจ้าเด็กยโสคนนี้อย่างไรไม่ให้ตกตายเร็วไปนัก
ขณะที่มันกำลังคิดอยู่นั้นหนิงเทียนเอ่ยตอบอย่างไม่ทุกข์ร้อนใดๆ “ตกลง ข้าสามารถเริ่มมันตอนนี้ได้เลยหรือไม่?...”
“ฮาฮาๆ”เห็นท่าท่างที่ไม่แยแสสิ่งใดของหนิงเทียนทำให้มู่ฉูจี หัวเราะออกเสียงดังก่อนจะกล่าวขึ้น “ถ้าเช่นนั้นในการทดสอบในรอบที่สองนั้น ข้าขออาสาเป็นผู้ทำหน้าที่นี้ได้หรือไม่ท่านมู่ปัง”
“แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น” มู่ปังยังคงกล่าวตอบอย่างนอบน้อม
ถ้าอย่างนั้นข้าจะเป็นผู้อธิบายถึงการทดสอบรอบที่สองให้เจ้าได้ฟังเอง ในการทดสอบรอบสองของตระกูลมู่เรานั้นจะเน้นในเรื่องความเข้าใจในหลักการใช้กระบี่
โดยที่ข้าจะร่ายรำเพลงกระบี่ที่เป็นทักษะวิชาสร้างชื่อเสียงนับร้อยๆปีของตระกูลเราออกไป ตราบใดที่เจ้าจำมันและแสดงท่าทางออกมาให้ถูกต้องเพียงแค่1ใน10ส่วน เจ้าก็สามารถผ่านมันได้
กล่าวจบมันตะโกนสั่งออกแก่ทหารที่ยืนคุมอยู่โดยรอบ “ส่งกระบี่ให้ข้า”
จากนั้นมู่ฉูจีรับกระบี่มา มันกล่าวออกแก่หนิงเทียน “ข้าจะเริ่มมันอย่างช้าๆ หนุ่มน้อยเจ้าจงตั้งใจดูมันให้ดีๆเพราะเจ้ามีโอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้น นี้คือกระบี่ตัดชีพจรของสกุลมู่”