บทที่ 77 ชุมนุมที่ศาลาหยางจู 2
หนิงเทียนยิ้มออกและกล่าว “และเจ้าคิดว่าป้ายสำนักของเจ้ามีค่ามากกว่าคฤหาสน์ซื่อจิ้งหรือไม่ละ?”
ซีหมิ่นได้ยินเช่นนั้น คิ้วของมันขมวดเข้าหากันและกล่าวถามแก่เอี้ยเซียว“ผู้ดูแลเอี้ยนี้หมายความว่าอย่างไร?”
“เป็นไปตามที่คุณชายหนิงเทียนพูดมา เขาเป็นคนประมูลคฤหาสน์ซื่อจิ้งได้และบัดนี้มันได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นคฤหาสน์ซือหม่าแล้ว” เสียงของเอี้ยเซียวกล่าวออกเป็นปกติ
ซีหมิ่นครุ่นคิดถึงผลได้ผลเสียอยู่ชั่วครู่ ด้วยความที่มันมั่นใจในตัวของศิษย์น้องและคฤหาสน์ซื่อจิ้งเองก็ยั่วยวนมันอยู่ไม่น้อย มันจึงกล่าวตบปากรับคำของหนิงเทียนออกไป
“ดี......ถ้าเช่นนั้นท่านเอี้ยเซียว การเดิมพันของข้าให้สมาคมการค้าจ้าวสมุทรเป็นผู้จัดการ”หนิงเทียนกล่าวออกขณะที่มือของมันยังยกไห่สุราอย่างต่อเนือง ชวนให้ผู้ที่ได้มองไปยังมันรู้สึกเหมือนกับว่าหนิงเทียนกำลังดื่มสุราครั้งสุดท้ายของชีวิต
เอี้ยเซียวพยักหน้าและกล่าว “ตกลงทุกการเดินพันในศาลาหยางจู สมาคมการค้าจ้าวสมุทรจะเป็นผู้ตามเก็บหนี้เอง”
กลุ่มของฝูงชนต่างเดิมพันกันอย่างสนุกสนานเอี้ยเซียวประเมินคราวๆ ด้วยตาทองคำของมัน ก่อนจะกล่าวออกว่า
“เวลานี้ผู้เดิมพันข้างท่านซีฉิน เป็นจำนวนทั้งหมด200หยกนิลกับอีก7ล้านเหรียญทองในส่วนฝ่ายคุณชายหนิงเทียนมีจำนวนทั้งหมด40หยกนิล”
ใน400หยกนิลนั้นแบ่งออกเป็นของซางฉู่อย่างจำใจ15หยกนิลและอีก25หยกนิลนั้นเป็นของจินเหล่าต้าที่คะยันคะยอให้บิดาของมันควักทรัพย์สินที่เก็บสะสมมานับสิบปีออกมาเดิมพันครั้งนี้
ใช่แล้ว...ท่ามกลางผู้คนนับพันๆคนมีเพียงสองคนเท่านั้นที่เดิมพันฝ่ายหนิงเทียน ชวนให้ผู้ที่คิดได้เช่นนี้รู้สึกอดสู่ใจแก่เด็กน้อยหนิงเทียนอยู่ไม่น้อย
เมื่อสิ้นเสียงของเอี้ยเซียว ฮันซินมองไปบนฟ้าเมื่ออาทิตย์ตรงตามเวลาที่กำหนดมันจึงป่าวประกาศเสียงดัง
“ฝั่งทิศตะวันตก คือบุรุษหน้าหยกฉายาหัตถ์พิษซีฉินอัจฉริยะทั้งด้านบุ๋นและบู๊ เขามีประสบการณ์ปรุงโอสถนับ100ปีอีกทั้งยังเป็นผู้ปรุงโอสถในระดับโลกที่10 และยังเป็นยอดยุทธในระดับวีรชนขั้นที่8อีกด้วย”
“ส่วนฝั่งทิศตะวันออกนั้น คือเด็กหนุ่มผู้สร้างปาฎิหาริย์ เล่าลือกันว่าเขาผู้นี้เป็นถึงระดับจ้าวโอสถปฐพีที่สามารถปรุงโอสถเลือดกระเรียนขึ้นมาได้และยังเป็นเจ้าของคฤหาสน์ซื่อจิ้งที่น่าเกรงขามนั้นด้วย
ด้วยระดับพลังที่เอ่อ...“ฮันซินหยุดชั่วครู่ก่อนจะกล่าวใหม่”แม้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะพิการทางลมปราณแต่นั้นไม่ใช่ปัญหาที่ทำให้เด็กหนุ่มผู้นี้หวาดกลัวที่จะท้าประลองเป็นตายกับหัตถ์พิษซีฉิน นามของเขาคือ ซือหม่า หนิงเทียน”
ฮันซินยังคงกล่าวออกอย่างเป็นมืออาชีพสมกับฉายาโทรโข่งหมื่นลี้ของมันเป็นที่สุด “การแข่งขันครั้งนี้ เทพีแห่งชัยชนะจะยิ้มให้แก่ฝั่งใด และ ท่านทั้งหลายที่ยืนอยู่ตรงนี้จะกลับบ้านพร้อมเหรียญทองที่เต็มกระเป๋าหรือไม่??”
เมื่อกลุ่มคนได้ยินฮันซินประกาศถึงคุณสมบัติของทั้งคู่ พวกมันลงความเห็นกันเป็นเสียงเดียวกันว่า “ฟ้ากับเหว โคลนกับทอง”
“ฮ่าฮาๆ หัตถ์พิษต้องชนะแน่นอน ข้ารวยแล้ว” บางคนโห่ร้องอย่างยินดีตั้งแต่การประลองยังไม่เริ่มขึ้นด้วยซ้ำ
หนิงเทียนวางจอกสุราลงพร้อมกับก้าวเดินขึ้นไปยังเวที มันไม่สนใจที่จะฟังเสียงผู้คนแต่อย่างใด
ซีฉินยกยิ้มที่มุมปากพร้อมกับจ้องไปยังหนิงเทียนด้วยสายตาอำมหิตมันกล่าวขึ้นว่า “เด็กน้อย ถ้าเจ้าจะแสดงท่าทีโอหังก็แสดงออกมาเสียให้หมดในตอนนี้เพราะ อีกไม่กี่ชั่วยามข้างหน้าเจ้าจะไม่มีปัญญา
แม้แต่จะเปล่งเสียงออก เพราะโอสถพิษเจ็ดทวารของข้ามันจะทำลายอวัยภายในทั่วร่าง โลหิตสดๆของเจ้าจะไหลออกมาทางทวารทั้งเจ็ดจนตายแต่ไม่ต้องห่วงเจ้าจะไม่ตายโดยเร็วนัก ความทรมานมันน่าดูชมทีเดียวละ”
เมื่อได้ยินถึงโอสถพิษเจ็ดทวารของซีฉินแม้แต่กลุ่มคนที่นั่งอยู่ภายในศาลาหยางจูยังอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากชมออกมา
“ท่านซีหมิ่น ศิษย์น้องของท่านนับว่าเป็นอัจฉริยะจริงๆ” มู่ซวนเฟิงกล่าวออกมา
จ้าวหงหลี่ยกสองมือขึ้นป้องแสดงความเคารพ “นับถือนับถือ”
ตี้หูถึงกับตาเป็นประกายน้ำลายของมันไหลหยดลงกับพื้น มันลูบไปที่ท้องของมันราวกับว่านั้นคือของกินที่มันโหยหา
ซีหมิ่นยกยิ้มอย่างภูมิใจ “โอสถพิษเก้าทวารเป็นโอสถระดับปฐพีขั้นสูง ข้าใช้เวลานับ100ปีกว่าจะสรรสร้างเส้นทางของมันออกมาได้ ซีฉินนับว่าเป็นอัจฉริยะ
เขาเรียนรู้จากข้าไม่ถึง10ปีก็สามารถเข้าได้ใจได้ถึงแก่นแท้ของมันและประยุคไปเป็นของตัวเองได้แล้ว”
ทุกคนในศาลหยางจูต่างพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ขณะที่ซางฉู่อดจะกล่าวออกมาไม่ได้“นี้มันจะไปยุติธรรมได้อย่างไร ต่อให้พิษธรรมดาสามัญก็สังหารเด็กที่ลมปราณพิการนั้นได้แล้ว”
“พี่ซางฉู่ ข้าได้ยินว่ากฎนี้เจ้าเด็กเป็นคนคิดขึ้นมา คงจะโทษใครอื่นไม่ได้นอกจากความเย่อหยิ่งของตัวมันเอง” มู่ซวนเฟิงกล่าวออกอย่างเย็นชา
ตั้งแต่ที่มันได้ยินจากมู่หลานเจี่ย ว่าเด็กที่ชื่อหนิงเทียนคนนี้ต้องการเข้าร่วมงานประลองเลือกคู่ สายตาที่มันมองไปยังหนิงเทียนก็เต็มไปด้วยความรังเกียจ เด็กลมปราณพิการจะมาเกี่ยวดองกับตระกูลมู่ไม่มีวันเด็ดขาด
...
กลางเวทีประลองหนิงเทียนไม่ได้สนใจคำพูดของซีฉินแม้แต่น้อย พิษเจ็ดทวารนะหรือ? มันเป็นพิษระดับต่ำที่หนิงเทียนไม่เคยคิดจะลดตัวลงไปสรรสร้างมันขึ้นมาด้วยซ้ำ
ฮันซินเห็นพวกมันทั้งคู่เตรียมพร้อมแล้วจึงกล่าวออกเสียงดัง “เริ่มการประลองได้ พวกท่านจะมีเวลาในการสรรสร้างโอสถ ออกมา 2ชั่วยาม
และการประลองครั้งนี้ห้ามไม่ให้ผู้ใดก้าวล่วงขึ้นมาบนเวทีเป็นอันขาดจนกว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหมดลมหายใจไป”
"ข้าจะให้เจ้าดูวิถีแห่งการปรุงยาที่แท้จริงก่อนที่จะตาย... เจ้าโง่”สิ้นเสียงของซีฉินมันวาดมือออกปรากฎปรากฎเตาโอสถขนาดครึ่งตัวของมัน
ที่ด้านบนสลักไปด้วยเส้นอักษรที่ชวนให้หลุมหลงที่ด้านข้างซ้ายขวาปรากฎรูปสัญลักษณ์แมงป่องที่กำลังหันปลายหางของมันชนกันเป็นเกลี้ยว
แค่กลิ่นอายของเตาโอสถที่ซีฉินนำออกมา ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้ฝึกตนที่อยู่ต่ำกว่าแดนแห่งปราชญ์เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียนขึ้นมา
เมื่อเห็นเตาโอสถที่ซีฉินนำออกมาจินเจียงหยาถึงกับลุกจากเก้าอี้ มันพูดออกอย่างเผลอตัว“นี้คือเตาเทพแมงป่อง มันเป็นทั้งเตาโอสถและอาวุธลมปราณระดับวีรชน”
อี้เหวินตง อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกแก่ซีหมิ่น “สำนักร้อยพิษของท่านดูเหมือนจะมีสมบัติวิเศษอยู่มากมาย”
“เตาเทพแมงป่องปรากฎ ผลแพ้ชนะถูกกำหนดแล้วสินะ”ซางฉู่อุทานออกอย่างเสียดาย15หยกนิลที่มันเดิมพันไป
“หืมม์ มีของดีอยู่เหมือนกัน”หนิงเทียนจับจ้องไปยังเตาปรุงโอสถเทพแมงป่องอย่างไม่วางตา
หนิงเทียนยังคงกล่าวต่อ “ในเมื่ออยากให้ข้าดูวิถีแห่งโอสถของเจ้า....ได้ข้าจะดูมัน” กล่าวจบหนิงเทียนตะโกนเรียกจินเหล่าต้า “โยนสุรามา ข้าจะจิบสุราและสอนเจ้าขยะนี้ปรุงโอสถ”
“บัดซบ!! เจ้าเด็กคนนี้หยิ่งผยองเกินไป มันไม่รู้หรืออย่างไรว่าความตายกำลังรอมันอยู่”การกระทำของหนิงเทียนนั้นเรียกเสียงก่นด่าของฝูงชนได้เป็นอย่างดี
เวลานี้ซีฉินไม่ได้ให้ความสนใจคำพูดของหนิงเทียน สมาธิของมันหยุดอยู่ที่เตาปรุงโอสถเทพแมงปองเท่านั้น จากนั้นซีฉินสะบัดมือปรากฎเปลวไฟรูปอสรพิษสีแดงฉานโหมกระหนำใส่เตาโอสถเทพแมงป่องจนมันกลายเป็นสีแดงทั่วทั้งใบ
“เจ้าใช้ไฟแรงไป จงลดมันลง2ใน10ส่วน”หนิงเทียนกล่าวออกอย่างเฉยชา
ด้วยคำกล่าวของหนิงเทียนนั้นสร้างเสียงหัวเราะให้ผู้คนโดยรอบ “ข้าชอบเจ้าเด็กนี้นะ มันกล้าสอนหัตถ์พิษซีฉินใช้เปลวไฟ”
ซีฉินยังคงปรุงโอสถต่อไปอย่างมีสมาธิ มันนำเขี้ยวอสรพิษแดงใส่ลงไป
“ไม่ใช่เจ้าต้องบดมันให้ละเอียดก่อน”หนิงเทียนกล่าวออกขณะที่สองมือของมันยกจอกสุราขึ้นดื่ม
เมื่อเขี้ยวอสูรพิษแดงถูกความร้อนของเปลวไฟมันเริ่มละลายความเป็นพิษออกมาเห็นเช่นนั้นซีฉินรีบนำหญ้าทะลวงไส้โยนใส่ลงไปหนึ่งกำมือ
“นี้ก็ผิด ผู้ที่ได้รับพิษเจ็ดทวารจะทุกข์ทรมานจากหญ้าทะลวงไส้เป็นอันดับแรกฉะนั้นเจ้าต้องใส่มันในปริมาณที่มากกว่านี้ถึง3เท่า”
ขั้นต่อมาซีฉินใส่ยางของต้นราชาพิษลงไป ก็ยังคงถูกหนิงเทียนกล่าวตำหนิเช่นทุกครั้ง “เจ้าโง่นี้ ใครสั่งใครสอนให้ใช้ยางต้นราชาพิษเพราะอย่างนี้ไงมันเลยเป็นพิษระดับต่ำ”
ซีฉินหาได้สนใจ มันใส่สมุนไพรลงไปอีกนับสิบชนิด แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่มันไม่ถูกก่นด่าจากหนิงเทียน แม้แต่ผู้คนที่ยืนดูอยู่นั้นยังเอื้อมระอาในตัวหนิงเทียนจนไม่ได้กล่าวอันใดออกมาอีก
ทุกสายตานั้นมองไปยังซีฉินที่เป็นตัวแสดงเอกอยู่กลางเวที พวกมันไม่ได้สังเกตุเห็นถึงใบหน้าของซีหมิ่นที่เปลี่ยนแปลงไป
ทุกๆคำกล่าวของหนิงเทียนนั้นส่งให้ใบหน้าของมันบิดเบี้ยวขึ้นมาทีละน้อยจนเวลาหน้าของมันดำมืดไปด้วยจิตสังหาร ตัวมันนั้นรู้ดีว่าคำกล่าวของหนิงเทียนนั้นมีมูลความจริงมากเพียงใด
ขณะเดียวกันซีฉินเองก็รู้สึกถึงความผิดปกตินี้ขึ้นมา มันจึงตัดสินใจหยิบผงยาสีเทาออกมาจากหอผ้าที่ถูกปิดอย่างแน่นหนาชวนให้ผู้ที่จับจ้องอยู่บังเกิดคำถามขึ้นมาภายในใจ
ขณะที่มันกำลังจะโปรยผงสีเทาลงไปในเตาปรุงโอสถ สุ้มเสียงของหนิงเทียนก็ดังขึ้นมาอย่างเช่นเคย “เจ้าใช้ผงเกล็ดมังกรได้เสียของจริงๆ”
ได้ยินเช่นนั้นภายในใจของซีฉินวูบหล่นลงไปในทันใด "มัน...มันรู้ได้อย่างไร. แม้ภายในใจมันจะบ้าคลั่งด้วยความสงสัย แต่ถึงอย่างไรมันก็พยามบังคับใบหน้าของมันด้วยรอยยิ้มและกล่าวต่ออย่างเหย่อหยิ่ง
“เจ้าคงเป็นพวกหนอนหนังสือ ที่ใช้ความรู้อวดอ้างหลอกลวงผู้อื่นสินะ” จากนั้นมันพยามที่จะไม่คิดเรื่องของหนิงเทียนอีกเพราะในขั้นตอนสุดท้ายมันจะพลาดไม่ให้แม้แต่นิดเดียว
ซีฉินตั้งสมาธิอย่างแน่วแน่ในการควบแน่นเม็ดโอสถ ซึ่งในขั้นตอนนี้จะเป็นตัวบอกว่าเข้มข้นของโอสถพิษเจ็ดทวารว่ามีมากเท่าใด จากนั้นมันวาดมือด้วยความเชี่ยวชาญชวนให้ผู้ที่ได้มองมาบังเกิดความเหลื่อมใสอยู่ภายในใจ
ไม่นานนักโอสถสีเขียวอ่อนปรากฏขึ้นบนมือของมัน ขณะที่ซีฉินกำลังจะเปิดปากกล่าวออกถึงความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้
น้ำเสียงของหนิงเทียนยังคงดังออกขึ้นมาอย่างดูถูก“4ใน10ส่วนเพียงเท่านั้น ถ้าเจ้าทำตามที่ข้าสอนมันคงไปได้ถึง6หรือ7ใน10ส่วน”หนิงเทียนกล่าวพร้อมกับโยนจอกสุราลงกับพื้น
"ต่อไปตาข้าปรุงโอสถบ้าง"
จู่ๆเสียงของซีหมิ่นตะโกนดังออกมาพร้อมใบหน้าที่ดำมืดอย่างน่ากลัว “หยุด!! หยุดประลองเดียวนี้”
อี้เหวินตงได้ยินเช่นนั้นดวงตามาของหรี่เล็กลงก่อนจะเอ่ยขึ้น “ท่านซีหมิ่น หมายความว่าอย่างไร?”
“นี้คือการประลองเป็นตาย เมื่อตกลงรับคำแล้ว แม้แต่ท่านก็ไม่มีสิทธิ์ก้าวก่าย”ซางฉู่กล่าวออกอย่างไม่เกรงใจ
แม้แต่หานเจิงที่ยืนอยู่ข้างๆก็ยังมองไปที่อาจารย์ของมันด้วยความประหลาดใจ
“ศิษย์พี่ท่านกล่าวอะไรออกมา” ซีฉินมองไปยังศิษย์พี่ของมันด้วยอาการงุนงงพร้อมกล่าวออกอย่างตกใจ
ซีหมิ่นกล่าวกับศิษย์น้องของมันอย่างไม่สนใจเสียงของผู้อื่น “เจ้ายอมแพ้ซะ”จากนั้นมันหันไปกล่าวกับหนิงเทียน “ไม่ว่าเจ้าต้องการอะไรข้าจะยอมจ่ายให้แต่ต้องยุติการประลองเดียวนี้”
หนิงเทียนส่ายหน้า “ข้าไม่ได้เป็นคนที่ต้องการประลอง เป็นศิษย์น้องของเจ้าต่างหากที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ” กล่าวจบตรงนี้มันละสายตาไปทางซีฉินและกล่าวขึ้นมา
"ถ้าเจ้าอยากหยุดไม่ใช่เรื่องยาก ข้าแค่ต้องการเห็นมันคลานรอบเวทีประลองและเห่าหอนเช่นสุนัขก็เพียงพอแล้ว”
ได้ยินเช่นนั้นมันเปล่งเสียงออกด้วยใบหน้าที่บิดเบี้ยว“บัดซบ!! ศิษย์พี่ไม่ว่าอย่างไรเจ้าเด็กสารเลวนี้ต้องตายเท่านั้น ขอให้ท่านอย่าได้ห่วงและเชื่อมั่นในตัวของข้า” ซีฉินไม่ฟังคำทันทานแต่อย่างใด
มันเพียงแต่จ้องมองหนิงเทียนด้วยสายตาอำมหิตก่อนจะกล่าวต่อ “เจ้าจะเริ่มปรุงโอสถของเจ้าได้เมื่อไรกัน?”
เมื่อเห็นท่าทีของศิษย์น้องมัน ซีหมิ่นทำได้เพียงแต่นั่งลงด้วยความกังวลพร้อมกับภาวนาขอให้สิ่งที่มันคิดเป็นเรื่องที่วิตกไปเองเท่านั้น
หนิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึก แม้ว่าท่าทีที่มันแสดงออกจะไม่แยแสต่อสิ่งใดก็จริง แต่เวลานี้การปรุงโอสถโดยไร้ซึ่งลมปราณก็เป็นเรื่องที่ทำให้มันต้องขมวดคิ้วเสมอ
หนิงเทียนปลายสายตาไปมองตี้หูเล็กน้อยก่อนจะครุ่นคิดบางอย่าง จากนั้นมันวาดมือปรากฏ เตาโอสถสีเขียวอ่อนประดับประดาไปด้วยลวดลายอสรพิษนับสิบตัว ดูคล้ายกับว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่กำลังเลื้อยคลานอยู่รอบเตาโอสถ
ซีฉินหรี่ดวงตามองไปยังเตาโอสถสีเขียวอ่อน “แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะดูดีแต่มันก็เป็นเพียงเศษเหล็กเท่านั้น”
หนิงเทียนได้แต่ส่ายหน้าเล็กน้อย เป็นจริงอย่างที่ซีฉินพูดเตาโอสถอสรพิษที่บิดารองให้มานั้น มันไม่ได้ช่วยให้โอกาสปรุงโอสถสำเร็จเพิ่มขึ้นแต่อย่างใดและซ้ำร้ายกว่านั้นด้วยกลไกลภายในของมันยังลดโอกาสปรุงโอสถสำเร็จไปอีก2ใน10ส่วน
ใช่แล้ว..เตาโอสถอสรพิษนี้เป็นสิ่งที่บิดารองใช้ในการฝึกฝนตัวหนิงเทียนมาตั้งแต่เด็ก อีกทั้งบิดารองได้กำชับไว้ว่าตราบใดที่เตาโอสถอสรพิษไม่ระเบิดออกจากการปรุงยาห้ามไม่ให้หนิงเทียนใช้เตาโอสถอื่นเด็ดขาด
คิดถึงอดีตที่ข่มขืนเช่นนั้น หนิงเทียนได้แต่ระบายลมหายใจออกอีกครั้ง ก่อนจะกล่าง“เตาโอสถของข้าจะเป็นอย่างไร ก็ไม่เกี่ยวกับเจ้า” สิ้นเสียงของมัน
หนิงเทียนนำแกนอสูรอัคคีขั้นที่3ออกมาและโยนมันลงไปเตา จากนั้นหนิงเทียนกระทืบเท้าลงกับพื้น
ปรากฎเปลวไฟที่ทะยานขึ้นสูงก่อตัวกันเป็นรูปราชสีห์กำลังคำรามออก มันลุกโชนอยู่บนเตาโอสถอสรพิษด้วยความสง่างาม
“เจ้าเด็กนั้นจะใช้ไฟจากแกนอสูรพญาราชสีห์เพลิงในการปรุงโอสถ ข้า..ข้าไม่ได้ตาฟาด??”
“ปะ..เป็นไปได้อย่างไร แกนอสูรใช้แทนเปลวไฟจากลมปราณก็ได้อย่างนั้นหรอ?”
แค่เพียงการจุดไฟของหนิงเทียนก็สามารถเรียกความสงสัยของฝูงชนให้ลุกฮือขึ้นมาราวกับคลื่นขนาดใหญ่