บทที่ 75 พบกันอีกครั้ง
ตระกูลมู่นั้นเป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่แห่งเมืองฉางผิง ข้าทาสบริวารของมันมีนับพันๆคนไม่ใช่เรื่องแปลกอันใดที่คฤหาสน์ของมันจะใหญ่โตและมีห้องนับร้อยๆห้อง
แม้กระทั่งตึกของมันยังแบ่งออกตามทิศทั้งสี่ ถ้าไม่นำไปเทียบกับคฤหาสน์ซือหม่าของหนิงเทียนแล้วละก็นับได้ว่า คฤหาสน์ตระกูลมู่นั้นจัดว่าใหญ่โตมโหฬารที่สุดเท่าที่หนิงเทียนเคยพบเจอในเมืองฉางผิง
และคฤหาสน์ที่ใหญ่เช่นนี้ การป้องกันของมันจะต้องแน่นหนามากด้วยแน่นอน
หนิงเทียนค่อยๆเดินเท้าอย่างเงียบเชียบ ทุกย่างก้าวของมันล้วนเต็มไปด้วยความระวัง การที่ปราศจากทักษะเก้าวิญญาณท่องนภาแล้วนับว่าการกระทำครั้งนี้ของหนิงเทียนอุกอาจและบ้าบิ่นเป็นอย่างมาก
ถ้าเกิดว่ามันถูกจับได้เรื่องคงไม่จบด้วยการขอโทษขอโพยเป็นแน่
แม้ข่าวลือของตระกูลมู่จะหนาหูว่าอยู่ในช่วงตกต่ำหรือบางข่าวก็อาจจะบอกว่าพวกมันใกล้จะตกจากตระกูลชั้นสูงแล้ว แต่ถึงอย่างไร ทหารคุ้มกันและคนในตระกูลส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับปราชญ์กันเกือบทั้งหมด
ในส่วนผู้ฝึกตนองครักษ์นั้นส่วนมากจะเป็นได้เพียงเวรยามในประตูด้านนอกและคนรับใช้ในห้องครัวเท่านั้น
หนิงเทียนลบจิตสัมผัสของมันทิ้งและด้วยพลังลมปราณที่พิการอยู่ ช่วยทำให้ตัวตนของมันถูกตรวจจับยากขึ้นไปอีก มันค่อยๆลัดเลาะไปตามมุมมืดของซอกตึก บ้างก็มุมอับของตนไม้
ทหารยามที่คอยเดินตรวจตรานั้นอ่อนแอที่สุดก็เป็นถึงดินแดนแห่งปราชญ์ขั้นแรก ด้วยประสบการณ์และอายุของพวกมันนั้น เป็นเรื่องยากมากที่จะมีหนูสักตัวหลุดรอดสายตาของพวกมันไปได้
ด้วยเหตุที่พวกมันนั้นคิดเช่นนี้ จึงมีบางกลุ่มที่ประมาทพวกมันตั้งวงเล่นหมากกระดานหรือแม้แต่นำสุราขึ้นมาดื่มกลางวันแสกๆ
หนิงเทียนอาศัยช่องว่างนี้ค่อยๆย่างกายเข้าไปเปิดประตูค้นหาทีละห้อง เบาะแสเดียวที่มันมีอยู่คือ ภาพจากความทรงจำเมื่อสองปีก่อน
แต่ด้วยความเร็วในการค้นหา1เค่อ(15นาที)ต่อหนึ่งห้องนั้น เห็นทีว่าต่อให้มันมีเวลาทั้งวันก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเจอมู่เสวี่ยหรือเปล่า
ในขณะที่มันกำลังค้นหาต่อไปอยู่นั้น ร่างกายของมันกลับแข็งทื่อลงในทันใด มันยกมือขึ้นมาทุบไปยังศีรษะของมันเบาๆพร้อมระบายลมหายใจออกมา
“บ้าจริงๆ!! ทำไมข้าถึงไม่ใช้วิธีตามกลิ่นของสมุนไพรดีกว่ามานั่งวัดดวงเปิดมันออกทีละห้อง สมุนไพรที่ใช้ในการข่มความเย็นของพิษหนอนหิมะก็คือดอกโบตั๋นรากแดง”
คิดได้เช่นนั้นหนิงเทียนปิดตาลง มันผ่อนคลายลมหายใจ จิตของมันล่องไปตามกระแสลม ไม่นานนักกลิ่นหอมจากโบตั๋นรากแดงลอยมาเตะจมูกมัน ถึงสองสาย ซึ่งแต่ละสายนั้นมาจากทิศทางที่ตรงกันข้ามกันโดยสิ้นเชิง”
หนิงเทียนยิ้มขึ้นมา “ทิศเหนือกลิ่นของมันรุนแรงเกินไปเกรงว่าจะเป็นหอโอสถเสียมากกว่า ฉะนั้นจึงเหลือเส้นทางสายเดียว”
ระหว่างทางที่หนิงเทียนเดินตามกลิ่นของโบตั๋นรากแดงนั้น มันต้องขมวดคิ้วถึงสามสี่คร่า ยิ่งเข้าใกล้มากเท่าใด จำนวนทหารคุ้มกันยิ่งวางกำลังแน่นหนามากเท่านั้นและพลังของพวกมันยิ่งสูงมากขึ้นไปด้วย
“กลิ่นของโบตั๋นรากแดงอยู่หลังประตูบานนั้น”หนิงเทียนมองไปยังกลุ่มของทหารคุ้มกันอยู่4คนที่กำลังยืนนิ่งอยู่หน้าประตูทางเข้าพวกมันสอดส่องสายตาราวกับว่ากำลังมองหาผู้บุกรุก
“หืมม์แดนแห่งปราชญ์ขั้น6และ7 ดูเหมือนว่าคงไม่ใช้การวางเวรยามป้องกันผู้บุกรุกจากภายนอกแล้ว นี่มันคล้ายกับการป้องกันไม่ให้คนภายในออกมาเสียมากกว่า”
หนิงเทียนขยับปลายนิ้วทั้งห้าของมันออกปรากฎขวดยาหลากสี4ขวดถูกคีบแน่นอยู่ระหว่างนิ้ว ขณะที่มันกำลังจะก้าวออกนั้น หนิงเทียนรู้สึกถึงกลิ่นไอของผู้ฝึกตนในระดับวีรชน
มันรีบหันไปมองปรากฎร่างของชายชรารูปร่างอ้วนกำลังเดินมาตามทางเดิน
“คาราวะผู้อาวุโส2มู่ปัง” ทหารทั้งสี่กล่าวออกพร้อมกับยกมือขึ้นทำความเคารพชายชราที่นามว่ามู่ปัง ไม่นานนักกลุ่มทหารทั้งสี่ได้เดินตามมู่ปังออกได้ หนิงเทียนมองไปยังอาทิตย์ที่ขึ้นกลางศีรษะ “มันกำลังเปลี่ยนเวร”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโชคหรือด้วยอะไรที่ทำให้พวกมันเปลี่ยนเวรยามในช่วงอาทิตย์ขึ้นกลางศีรษะ แต่อย่างน้อยๆมันช่วยให้หนิงเทียนก็หลีกเลี่ยงการปะทะครั้งนี้ได้
หนิงเทียนไม่ปล่อยเวลาให้สูญเปล่า มันรีบพุ่งร่างออกไปอย่างรวดเร็ว มันใช้สองมือผลักประตูออกอย่างเงียบๆและแฝงตัวเข้าไปกับความมืดในมุมของห้อง
ในเวลาเดียวกัน ภายในห้องที่ถูกปิดทึบด้วยผ้าม่าน ถึงขนาดที่ความสว่างในห้องนั้นต้องพึ่งแสงจากเปลวเทียน บัดนี้กลิ่นหอมของโบตั๋นรากแดงถูกกลบด้วยกลิ่นกายของสตรีที่ลอยเข้ามาแตะจมูกทำให้หนิงเทียนถึงกับต้องขมวดคิ้ว
ไม่นานนักร่างของสตรีที่เปียกโชกไปด้วยน้ำ มีเพียงผ้าบางๆที่ใช้เช็ดตัวให้แห้ง ก้าวเดินออกมานั่งที่โต๊ะเครื่องแป้ง เห็นได้ชัดว่าสตรีนางนี้พึ่งจะอาบน้ำเสร็จ ด้วยรูปร่างที่โค้งเว้าได้สัดส่วน
ปรากฏความงามอย่างหาที่ใดเปรียบไม่ได้ ด้วยผ้าผืนบางที่ใช้เช็ดหยดน้ำที่เกาะบนร่างนั้น เผยให้เห็นผิวพรรณที่งดงามเด่นชัด ถึงแม้จะมีเพียงแสงสว่างจากเปลวเทียนเท่านั้นแต่ความขาวเนียนนั้นก็ไม่ได้ดูด้อยลงไปเลย
ทุกครั้งที่นางใช้ผ้าเช็ดหยดน้ำที่เกาะบนร่าง กลิ่นกายของสตรีบริสุทธิ์กระจายฟุ้งไปทั่วห้อง ชวนให้ผู้ที่ได้กลิ่นมันบังเกิดอาการขาดสติขึ้นมาได้
ขณะที่แสงของเปลวเทียนสาดซัดไปยังใบหน้าของสตรีผู้นี้เผยให้หนิงเทียนเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยมาก่อน “นาง...นางคือมู่เสวี่ย” หนิงเทียนพึมพำออกมาอย่างแผ่วเบา
เวลาเดียวกับที่มู่เสวี่ยเหลือบสายตามองสะท้อนกระจกไปยังด้านหลัง ร่างของนางต้องสะดุ้งด้วยความตกใจ นางรีบใช้ผ้าผืนบางปกปิดร่างกายส่วนลับด้วยสัญชาตญาณ
ก่อนที่นางจะได้เปล่งเสียงออกมานั้น ร่างของหนิงเทียนพุ่งตรงมาโดยใช้ฝ่ามือปิดไปที่ปากของมู่เสวี่ยนี้เอาไว้ได้ทันท่วงที
“ชู่....”อย่างเสียดังไป ข้าเพียงแค่หลงเข้ามาเท่านั้น ไม่คิดจะทำร้ายเจ้าแน่นอน
“อืออื้อ”มู่เสวี่ยพยามสะบัดตัวออกอย่างสุดกำลังปากของนางกัดไปยังหน้ามือของหนิงเทียนจนเกิดรอยฟันที่เรียงตัวกันอย่างงดงาม
ที่นางพยามอย่างสุดกำลังเป็นตายก็ไม่ยอมนั้นเป็นเพราะว่าผ้าผืนบางที่นางใช้ปกปิดร่างกายได้หลุดล่วงไปอยู่กับพื้นแล้ว
นางสะบัดตัวอย่างรุนแรงอีกครั้ง ในครั้งนี้หนิงเทียนนั้นรู้สึกถึงความผิดปกติแล้ว มันรีบเบื้อนหน้าออกไปทางอื่นก่อนจะกล่าวว่า “ถ้าเจ้าสัญญาว่าจะไม่ส่งเสียงข้าจะปล่อยเจ้า”
“อือๆ”มู่เสวี่ยพยักหน้าอย่างรุนแรง เวลานี้ไม่มีอะไรสำคัญกว่าการปกปิดร่างของตัวเองอีกแล้ว
เมื่อหนิงเทียนปล่อยร่างของมู่เสวี่ยไป เสียงใสกังวานดังขึ้น “ท่านหันไปด้านหลัง ให้ข้าแต่งตัวก่อนได้หรือไม่ ข้ารับรองจะไม่ส่งเสียง”…
หนิงเทียนพยักหน้าช้าๆ พร้อมหันกายไปด้านหลัง มู่เสวี่ยใช้เวลาเพียงครู่เดียวในการผลัดเสื้อผ้า เวลานี้นางสวมชุดด้วยชุดคลุมสีขาว ผมที่สยายออกของนางยังชื้นเปียกไปด้วยหยดน้ำ
มันเป็นเวลาไม่กี่ลมหายใจเท่านั้นที่นางเปลี่ยนชุดออก ทำให้หนิงเทียนอดสงสัยไม่ได้ว่าภายใต้ชุดคลุมนั้น นางได้สวมใส่สิ่งใดหรือยัง
เพียงครู่เดียว มันก็สะบัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป พร้อมกล่าวถาม “ท่านคือคุณหนูใหญ่มู่เสวี่ยใช่หรือไม่”
“ท่านรู้จักข้า? ท่านเป็นใคร ทำไมถึงเข้ามาในห้องข้าได้”มู่เสวี่ยถามออกด้วยความสงสัย ขณะที่ดวงตาของนางจับจ้องไปยังดวงตาของหนิงเทียนที่โผล่พ้นจากผ้าคลุมสีดำอย่างไม่วางตา
นางรู้สึกคุ้นเคยอยากบอกไม่ถูกกับสายตาคู่นั้น ก่อนที่จะกล่าวออกมา “เราเคยพบกันมาก่อนหรือไม่?”มู่เสวี่ยเปลี่ยนคำถามออกในทันที
เวลานี้นางไม่ต้องการคำตอบแรกอีกต่อไปแล้ว นางสนใจเพียงแต่คำตอบหลังเท่านั้น
หนิงเทียนสะดุ้งอยู่ในใจเพียงชั่วครู่ก่อนจะกล่าวออก“ไม่...ไม่แน่นอน” คงไม่ใช่เรื่องดีถ้ามันจะเผยตัวเองออกในยามที่มันอยู่ท่ามกลางถ้ำเสือ คิดได้เช่นนั้นมันจึงตัดสินใจที่จะกล่าวปฎิเสธไป
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะดวงตาที่คุ้นเคยคู่นั้นของหนิงเทียนหรือไม่จึงทำให้นางกล่าวออกมาเช่นนี่ได้
“ท่านช่วยพาข้าออกไปจากที่นี้ได้หรือไม่”นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า
ได้ยินเช่นนี้ภายในใจของหนิงเทียนถึงกับสั่นไหว มันรีบกล่าวตอบในทันที “ที่นี้คือบ้านของท่าน เหตุใดถึงต้องการจากไป?”
มู่เสวี่ยส่ายหน้าก่อนจะกล่าวเพียงสั่นๆ“มันเคยเป็นเท่านั้น”
ได้ยินคำตอบของนาง หนิงเทียนถึงกับระบายลมหายใจออกมา ด้วยคำขอร้องของปู่นางอีกทั้งมันและนางนับว่าเคยรู้จักกันมาก่อน
มันจึงกล่าวออก “ตอนนี้ข้าไม่มีความสามารถที่จะพาท่านออกไปได้ แต่จงจำคำของข้าไว้ให้ดี อีกไม่นานเมฆหมอกที่ปกคลุมอยู่จะถูกปัดเป่าด้วยแสงสว่าง”
กล่าวจบหนิงเทียนพุ่งร่างออกไปอย่างรวดเร็ว เพียงแค่เห็นแผ่นหลังของหนิงเทียนหายไปไวๆเท่านั้น กลุ่มของทหารยามชุดใหม่ได้เดินตรงมาหยุดยืนอยู่หน้าประตู และยังคงทำตามหน้าที่เช่นเดิม
ไม่รู้ด้วยเหตุใด ภายในใจของมู่เสวี่ยนั้น กลับรู้สึกมีความหวัง ในคำพูดของคนแปลกหน้า นางก็ไม่เข้าใจตัวเองเช่นกันว่าทำไมถึงได้กล่าวขอความช่วยเหลือจากคนที่เห็นเพียงแค่ดวงตาเท่านั้น
และยิ่งถ้ามองภาพรวมแล้ว 9ใน10ส่วนของคนที่ใส่ชุดดำและรอบเข้ามาในห้องของผู้อื่น มันคงไม่ใช่คนดีนัก
มู่เสวี่ยพึมพำออกขณะจ้องมองไปยังแสงของเปลวเทียนที่ไหวตามแรงลม “แสงสว่างที่จะปัดเป่าเมฆหมอกเช่นนั้นหรือ”
.....
ในขณะเดียวกันหนิงเทียนที่เดินหลบกลุ่มผู้คุ้มกันมาได้แบบเส้นยาแดงเท่านั้น ภายในใจมันคิดเรื่องมู่เสวี่ยก่อนจะบ่นออกมา
“พ่อบ้านมู่ ดูเหมือนว่าลูกหลานตระกูลเจ้าส่วนใหญ่จะเป็นตัวโง่งมสินะ”
หนิงเทียนกวาดสายตาไปยังคฤหาสน์และตึกโดยรอบ “ตระกูลมู่อย่างนั้นหรือ? ดีข้าจะสั่งสอนแทนบรรพบุรุษของพวกเจ้าเสียหน่อย” มันกล่าวออกแก่ตัวเองด้วยมุมปากที่ยกยิ้มขึ้น
จากนั้นมันเก็บชุดคลุมสีดำเข้าไปในแหวนมิติและออกมารอจินเหล่าต้าอยู่หน้าประตูด้วยท่าทีเป็นปกติและทำเหมือนว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
ผ่านไปไม่นานนักจินเหล่าต้าเดินออกมาด้วยใบหน้าซีดขาว สองเท้าของมันก้าวยาวอย่างเร่งรีบไปยังหน้าประตู ก่อนที่สุ้มเสียงเล็กแหลมจะดังไล่หลังออกมา
“จินเก่อเก้อท่านจะกลับแล้วหรอ” ขณะที่ร่างของสตรีในชุดแดงวิ่งออกมาตามเสียง ได้ยินเช่นนั้นสองเท้าของจินเหล่าต้าเปลี่ยนจากการก้าวยาวเป็นย้ำลงพื้นอย่างรวดเร็วในลักษณะการวิ่ง
“ไป ไปๆ กลับกัน”จินเหล่าต้ารีบสั่งออกแก่คนรับใช้และเดินตรงกลับตระกูลจินโดยทันที หนิงเทียนที่เดินทิ้งท้ายอยู่นั้น มันมองไปยังท่าทีของจินเหล่าต้าและส่ายศีรษะอย่างขบขัน
เมื่อกลุ่มของหนิงเทียนเดินออกห่างตระกูลมู่มาไกลแล้ว จินเหล่าต้ารีบกล่าวถาม "สำเร็จด้วยดีหรือไม่"
หนิงเทียนพยักหน้าแทนคำตอบ เห็นเช่นนั้นจินเหล่าต้ารีบเอ่ยขึ้นมาอีก
"พี่ชายหนิงเรื่องนี้ท่านต้องระวังตัวให้มาก ท่านจำบุรุษที่กำลังนั่งสนทนากับมู่ซวนเฟิงได้หรือไม่? มันคือไห่เทียนตี้ บุตรชายคนเดียวของเจ้าเมืองไห่หนาน มันจะต้องมาเพราะเรื่องงานแต่งของคุณหนูใหญ่แน่นอน"
ได้ยินเช่นนั้น หนิงเทียนพึมพำออกมา "เมืองไห่หนาน" จากนั้นมันได้แต่ครุ่นคิดอยู่คนเดียวตลอดทาง...
…
……
ภายในหมู่ตึกตระกูลจิน ผู้คนนับร้อยชีวิตของตระกูลจินต่างเดินสวนไปมา พวกมันทำงานกันอย่างหนักและครั้งนี้มันหนักกว่าปกติถึง3เท่า
“สมุนไพรไต่กำแพง ได้หรือยัง” เสียงของบุคคลที่ดูลักษณะคล้ายหัวหน้าคนงานกล่าวถาม
“ได้แล้วครับ”
“หงส์เดินดง พสุธาฟ้าร้อง ดอกเพลิงพิโรธ ดีงูขั้น2 โสมเสริมกำลังกายและว่านดำพลัดใบ อย่างละ 1000จิน จำเอาไว้ทุกอย่างต้องไม่ขาดแม้แต่จินเดียว”
“ขอรับ ว่าแต่หัวหน้า ทำไมท่านจินถึงต้องการสมุนไพรมากมายเช่นนี้ นี่ไม่ใช่ว่ามันเพียงพอที่จะปรุงโอสถได้เป็นหมื่นๆเม็ดเลยหรือ”
“สมุนไพรเหล่าพวกนี้จะนำไปปรุงเป็นโอสถใดกันแน่?” เสียงของคนงานที่กำลังทำงานของพวกมันอย่างหนัก บ่นออกมอย่าเหน็ดเหนื่อย
....
กลุ่มของหนิงเทียนใช้เวลาเดินทางกลับจากตระกูลมู่ไม่นานนัก เวลานี้พวกมันมาถึงห้องโถงใหญ่ตระกูลจินเป็นที่เรียบร้อย
“ท่านพ่อนี้คือตั๋วเงิน30ล้านเหรียญทอง”จินเหล่าต้าส่งตั๋วเงินที่ได้ทำการค้ามาเมื่อครู่แก่บบิดาของมัน
จินเจียงหยารับมาอย่างไม่ใส่ใจนัก ตอนนี้สิ่งที่มันสนใจคือเหตุใดหนิงเทียนถึงให้มันเตรียมสมุนไพรมากมายเช่นนี้“น้องชาย ข้าขอถามหน่อยได้หรือไม่ท่านต้องการสมุนไพรมากมายขนาดนี้ไปทำไมกัน”
หนิงเทียนไม่ได้ตอบคำถามขอจินเจียงหยา มันเพียงเอ่ยถามออกมา“ท่านยังจำสัญญาหนึ่งข้อที่ท่านรับปากจะทำให้ข้าได้หรือไม่?”
“แน่นอน ข้าจำได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด ข้าจะช่วยเหลือน้องชายอย่างสุดความสามารถ”จินเจียงหยา ตบปากรับคำอย่างมั่นคง
“ดี ตอนนี้ข้ามีเรื่องให้ท่านทำ คือข้าต้องการให้ท่านไปปรุงโอสถในคฤหาสน์ของข้า จำนวนหนึ่งหมื่นเม็ด”
“หะ...หนึ่งหมื่นเม็ด”จินเหยาจางที่นั่งฟังอยู่ถึงกับอุทานออกมา
หนิงเทียนหันไปทางจินเหยาจางและกล่าวออก“อาวุโสจิน ข้าเองก็ต้องการให้ท่านไปช่วยด้วยเช่นกัน”
“สหายน้อย ไม่ต้องห่วงข้าต้องช่วยเหลือเจ้าอย่างแน่นอน ว่าแต่โอสถใดกันที่สหายน้อยต้องการให้พวกเราช่วยเหลือ”
จินเหยาจางกล่าวถามอย่างไม่เต็มคำนัก เห็นได้ชัดว่าฝีมือปรุงโอสถของหนิงเทียนเหนือล้ำกว่าพวกมันไปมากนักเช่นนั้นจะมีโอสถใดที่มันสามารถช่วยเหลือได้อีก
“ไม่ต้องห่วงโอสถที่ข้าต้องการนั้นพวกท่านสามารถสร้างมันได้ แม้จำนวนมันอาจจะมากเสียหน่อย แต่ข้ารับรองว่าเมื่อพวกท่านได้รู้ถึงสูตรยาแล้วมันจะคุ้มที่ท่านจะยอมเหน็ดเหนื่อยเป็นแน่”
เมื่อทั้งสองได้ยินเช่นนั้นภายในใจของมันตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งมันรีบกล่าวถามออกมา “โอสถใดกันที่สหายน้อยต้องการให้พวกเราสองพ่อลูกช่วย”
“โอสถลับ กลั่นกระดูกทะลวงชีพจร”หนิงเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ
ได้ยินเช่นนั้นแม้แต่จินเหล่าต้าที่ไม่ค่อยสนใจในเรื่องการปรุงยานั้นถึงกับตาเบิกกว้างมันกล่าวทวนคำด้วยน้ำเสียงสั่นเครื่อ “โอ..โอสถลับ”
จินเจียงหยาและจินเหยาจางนั้นตัวแข็งทื่อเมื่อได้ยินถึงชื่อของมัน โอสถลับที่มันได้ชื่อว่าเป็นโอสถลับเพียงเพราะวิธีปรุงยาของมันไม่ยุ่งยากขนาดต้องจำกัดระดับของผู้ที่ปรุงมันขึ้น
แค่เพียงผู้ปรุงยารู้ส่วนผสมและขั้นตอนการปรุงเท่านั้นไม่ว่าจะอยู่ในระดับโลกใดก็สามารถสร้างมันขึ้นมาได้ และด้วยเหตุผลเช่นนี้วิธีปรุงและส่วนผสมมันจึงเป็นความลับที่ไม่สามารถบอกต่อได้ มันจึงถูกเรียกว่าโอสถลับ