บทที่ 74 ลอบเข้าตระกูลมู่
“นั่งลงก่อน ข้ามีเรื่องต้องการให้เจ้าช่วย”จากนั้นหนิงเทียนได้นำเหล็กเย็นเทวะที่ได้มาจากสมาคมการค้าจ้าวสมุทรออกมาวางตรงหน้าของจินเหล่าต้า
ปัง!!! เสียงของเหล็กขนาดยักษ์กระแทกกับพื้นเสียงดังก้อกไปทั่วห้อง
“พี่ชายหนิงท่านต้องการใช้มันทำอะไร”จินเหล่าต้ากล่าวออกโดยเร็ว
“เจ้าสามารถ แปรรูปมันเป็นก้อนกลมขนาดเท่าหนึ่งกำปั่นได้หรือไม่”หนิงเทียนกล่าวออกขณะที่สายตามันมีประกายออกมาเล็กน้อย
“เออ......น่าจะยากอยู่แต่ไม่เกินความสามารถของข้าแน่นอน”จินเหล่าต้าแย้มยิ้มพร้อมตอบออกทันที
“ดีแล้วเจ้าสามารถเขียนอาคมปกป้องลงไปที่มันได้หรือไม่”
“เอ๋!!! อาคมปกป้อง มันเป็นอาคมชั้นสูง ความยากหรือง่ายขึ้นอยู่กับว่าจะต้องป้องกันพลังในระดับใด พี่ชายหนิงท่านกล่าวรายละเอียดให้ข้าฟังได้หรือไม่”จินเหล่าต้ากล่าวออกขณะที่สายตาของมันพินิจไปยังเหล็กเย็นเทวะอย่างละเอียด
“ข้าต้องการให้เจ้าแปรรูปเหล็กเย็นเทวะให้กลายเป็นก้อนและสลักอาคมปกป้องไม่ให้ พลังภายในรั่วไหลออกมาแต่มีเงื่อนไขว่า
ถ้ามันรับแรงกระแทกจากแค่เพียงระดับพลังของแดนนักรบ พลังภายในที่อัดแน่นอยู่จะล้นทะลักออกมาสู่ด้านนอก”หนิงเทียนกล่าวด้วยเสียงเรียบเฉย
เมื่อจินเหล่าต้าได้ยินเช่นนั้นปากของมันอ้าค้างขึ้น พร้อมต่อด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก“ข้า..ข้าเข้าใจความคิดของพี่ชายหนิงแล้ว
ท่านต้องการสร้างวัตถุที่อัดพลังของผู้ฝึกตนลงไปและใช้จารึกอาคมปกป้องแทนกลไกการทำงานของมัน เมื่อมันได้รับแรงกระแทกที่เพียงพอ พลังภายในที่อัดแน่นอยู่จะระเบิดออกสู่ภายนอก พี่ชายหนิงอาวุธที่ร้ายแรงเช่นนี้ท่านคิดมาได้อย่างไร”
หนิงเทียนไม่ได้สนใจที่จะตอบคำถามของจินเหล่าต้ามันเพียงแต่กล่าวออก “เจ้าสามารถสร้างมันได้หรือไม่?”
“ได้ๆต้องได้แน่นอน”จินเหล่าต้าตอบเสียงแข็ง ด้วยของสิ่งนี้ท้าทายอย่างมากในฐานะนักประดิษฐ์ของมันและการกระทำเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับที่ผู้ปรุงโอสถระดับโลกได้ทดลองปรุงโอสถระดับปฐพีเลยแม้แต่น้อย”
จินเหล่าต้ารีบนำเหล็กเย็นเทวะลงไปในแหวนมิติของมันอย่างรวดเร็วและกล่าวถามออกอย่างไม่เต็มเสียงนัก “ทั้งกองกำลังและอาวุธพี่ชายหนิงต้องการก่อสงครามกับเมืองใดกันแน่?”
หนิงเทียนส่ายศีรษะ“ข้าไม่ต้องการก่อสงครามกับใครทั้งนั้น ข้าเพียงต้องการตีงูตัวใหญ่เท่านั้น”กล่าวจบสายตาของมันมองไปยังทิศทางของหุบเขาหมื่นอสูรด้วยความคั่งแค้นมันจมอยู่ในโทสะเพียงชั่วครู่ก่อนจะกล่าวออก
“เจ้าไปพักได้แล้ว พรุ่งนี้พวกเราต้องไปยังตระกูลมู่อีก”…..
ราตรีผ่านไปล่วงเร็วและอาทิตย์เองยังคงขึ้นอยู่เช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เช้าวันรุ่งขึ้น
จินเหล่าต้าเดินนำอยู่หน้ากลุ่มคนงานห้าคนที่กำลังลากเกวียนอย่างแข็งขันบรรยากาศรอบๆเกวียนนั้นอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมจางๆของโอสถนับร้อยเม็ด
การค้าครั้งนี้เป็นการซื้อขายประจำปีที่ตระกูลมู่จะทำการค้าโอสถกับตระกูลจินเพื่อเพิ่มพูนความสามารถของเหลาผู้เยาว์ภายในตระกูล
“พี่ชายหนิงการเข้าไปตระกูลมู่ครั้งนี้ ข้าจะรับมือยายแก่ตระกูลมู่เอง มู่หลานเจี่ยอาวุโสลำดับที่3ของตระกูลมู่นั้นเป็นผู้ดูแลการซื้อโอสถจากตระกูลจินเรา
ยายแก่นั้นมีหูตาเป็นสัปปะรดท่านต้องระวังให้มากในการแอบเข้าไปครั้งนี้”จินเหล่าต้าเอ่ยเตือนด้วยความเป็นห่วง
ได้ยินคำพูดของจินเหล่าต้าหนิงเทียนเริ่มที่จะเข้าใจว่ามู่หลานเจี่ยผู้นี้เป็นช่องทางที่ง่ายที่สุดในการลักลอบเข้าไปภายในตระกูลมู่
มันครุ่นคิดถึงมู่หลานเจี่ยอยู่ไม่นานจากนั้นมันนำหนังสัตว์ออกมาขีดๆเขียนๆ วัตถุดิบที่จำเป็นพร้อมกับส่งให้เสี่ยวซวงและกำชับออก
“เสี่ยวซวงนำสิ่งนี้ไปส่งให้ท่านจิน และกำชับว่าจงเตรียมให้พร้อมภายในวันนี้ เสร็จงานที่ข้าสั่งแล้วให้เจ้ารอข้าอยู่ที่ตระกูลจิน”
เสี่ยวซวงพยักหน้าอย่างว่าง่าย ไม่นานนักนางทะยานร่างหายไป กลุ่มของหนิงเทียนเดินต่อเพียงไม่นาน มันมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าของคฤหาสน์ตระกูลมู่ที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา
“ไหนเจ้าบอกว่าตระกูลมู่เข้าได้ยากไง เหตุใดที่มีผู้คนนับสิบเดินเข้าออกเป็นว่าเล่น”หนิงเทียนถามออก
จินเหล่าต้าเองก็แปลกใจอยู่ไม่น้อยเมื่อเห็นภาพตรงหน้ามันกวาดสายตาไปโดยรอบพร้อมหยุดมองที่กระดาษแผ่นหนึ่งที่ติดอยู่ตามกำแพงรอบนอก“พี่ชายหนิงดูนั้น” จินเหล่าต้าชี้ออกไปยังข้อความที่ติดอยู่บนกำแพง
“พวกมันกำลังรับสมัครนักรบ”หนิงเทียนกล่าวออกด้วยน้ำเสียงแปลกใจ
จินเหล่าต้ากล่าวตอบ “ไม่น่าแปลกพี่ชายหนิง อย่างที่ข้าได้บอกไป ตระกูลมู่นั้นพยายามอย่างหนักที่จะรักษาฐานอำนาจของตนในการเป็นตระกูลใหญ่ไว้ พวกมันทำถึงขนาดจัดงานขายบุตรสาวของผู้นำคนก่อน”
ขณะที่พวกมันกำลังสนทนากันอยู่นั้น บุรุษฉกรรจ์สองคนเดินตรงมายังที่กลุ่มของหนิงเทียน “พวกเจ้าเป็นใคร ถ้าไม่ใช่แขกที่นัดไว้หรือพวกที่มาสมัครงานละก็จงไปให้พ้นซะ
ตระกูลมู่ไม่สนใจจะซื้อสินค้าที่พวกเจ้านำมา”มันกล่าวด้วยเสียงที่ดังฟังชัด
“พวกเจ้าไปบอก ท่านยายมู่ ว่าข้าจินเหล่าต้ามาถึงแล้ว”เวลานี้มันยืดอกขึ้นตรงแสดงทีท่าที่สง่างามสมกับนายน้อยตระกูลจินเป็นอย่างยิ่ง
ชายฉกรรณ์ทั้งสองปรึกษากันอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกล่าวออก“พวกเจ้าทั้งหมดรออยู่หน้าประตูนี้ ข้าจะเข้าไปรายงานผู้อาวุโส”
จากนั้นมันได้เดินหายเข้าไปในประตูจวน ทิ้งให้เพื่อนของมันอีกคนเฝ้ากลุ่มของหนิงเทียนไว้
กลุ่มของหนิงเทียนรออยู่เพียงไม่นานนัก ชายคนเดิมได้วิ่งออกมาด้วยสีหน้าแตกตื่น “เรียนเชิญนายน้อยจินและขออภัยที่พวกข้าได้เสียมารยาทไปด้วย”มันกล่าวออกพร้อมยกสองมือขึ้นคาราวะออก
จินเหล่าต้ากล่าวแก่พวกของมัน “ยกของเข้าไป”
ทันใดนั้นสุ้มเสียงดังขึ้นมาจากภายในตระกูลมู่ “ช้าก่อน นายน้อยจิน ผู้อาวุโสกำชับมาว่าให้นายน้อยจินเข้าไปได้คนเดียวเท่านั้น
เนื่องจากช่วงนี้ใกล้งานใหญ่ของตระกูลเรา พวกเราต้องป้องกันอย่างเข้มงวด ส่วนของเกวียนนั้น ข้าจะให้ทหารของเรา ยกมันเข้าไปเอง ขออภัยแก่นายน้อยจินในความไม่สะดวก”
บุรุษในชุดคลุมยาวจนถึงเข่า เดินออกมาจากประตู มันรีบกล่าวหยุดจินเหล่าต้าและสั่งให้คนของมันไปยกเกวียนโอสถแทน
เมื่อชายฉกรรจ์ทั้งสองเห็นเจ้าของเสียงนั้น พวกมันยกสองมือขึ้นแสดงความเคารพ“พ่อบ้านมู่”
จินเหล่าต้าได้ยินเช่นนั้น มุมปากของมันกระตุกขึ้น มันกล่าวออก “เจ้าคงเป็นพ่อบ้านคนใหม่สินะ ข้าถึงไม่เคยเห็นมาก่อน ย่อมได้ถ้าเจ้าไม่ให้คนรับใช้ของข้าเข้าไป แต่ข้าไม่มีทางที่จะให้สหายของข้ารออยู่ด้านนอกเด็ดขาด”
“นายน้อยจิน เรื่องนี้ตัวข้าเองก็ลำบากใจไม่น้อย” แม้มันจะกล่าวอย่างโอนอ่อนแต่ท่าทีของมันแสดงชัดว่าอนุญาติให้จินเหล่าต้าเข้าไปได้เพียงผู้เดียว
“ตกลง!! พวกเรากลับ”จินเหล่าต้ากล่าวออกเสียงดัง มันมองไปยังพ่อบ้านมู่ด้วยสายตาเย็นชา ขณะที่พวกมันกำลังหันหลังกลับนั้น สุ้มเสียนุ้มลึกที่แฝงไปด้วยลมปราณดังออกมา
“อย่าได้เสียมารยาม รีบเชิญนายน้อยจินและสหายของเขาเข้ามา”
จินเหล่าต้ามองไปยังหนิงเทียนด้วยรอยยิ้มพร้อมยกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นมา จากนั้นมันกล่าวออกแก่คนรับใช้ “พวกเจ้ารออยู่ที่นี้”
“ขอรับ”คนรับใช้ตระกูลจินกล่าวออกอย่างพร้อมเพรียง
จากนั้นหนิงเทียนและจินเหล่าต้าได้เดินตามพ่อบ้านมู่เข้าไปยังห้องโถงด้านในสุด
ระหว่างทางนั้นพวกมันได้ยินเสียงพูดคุยดังออกมาเป็นระยะทำให้พวกมันนั้นคาดเดาได้ว่าที่ปลายทางนั้น ผู้ที่กำลังรออยู่ไม่ได้มีเพียงคนเดียว...
ภายในห้องโถงด้านในปรากฎร่างชายในชุดคลุมยาวสีทองเพียงแค่ปลายตามองเท่านั้นก็สามารถบอกได้เลยว่ามันต้องเป็นบุคคลสูงศักดิ์
และที่ด้านข้างของมันเป็นชายชราลักษณะของมันเหมือนคนแก่ที่อายุ60-70ปีขึ้นไปผมขาวใบหน้าแห้งเหี่ยวดุร้ายคล้ายกับพวกอมนุษย์
ถัดมาที่นั่งใจกลางห้องโถงเป็นชายวัยกลางคนอายุประมาณ30-40ผมดำสนิท
ใบหน้าเข้มคม ดวงตาหรี่แคบคล้ายจิ้งจอก ดูจากพำนักที่นั่งของมันแล้ว สามารถคาดเดาได้ว่ามันต้องเป็นผู้นำตระกูลมู่ มู่ซวนเฟิงอย่างแน่นอน
และที่ด้านข้างของมันนั้นปรากฎร่างของหญิงชราที่นั่งหันหน้าไปยังทิศทางของกลุ่มของชายในชุดคลุมทอง
ขณะเดียวกันนั้นหญิงชราปลายตามองมายังกลุ่มผู้มาเยือนด้วยใบหน้าที่แย้มยิ้มออก พลางกล่าวออกแก่บุคคลทั้งสามเบื้องหน้ามัน “ดูเหมือนว่า โอสถโลกจิตปัญญาจะมาถึงแล้ว ยายเฒ่าคงต้องขอตัวไปต้อนรับนายน้อยแห่งตระกูลจินก่อน”
มู่หลานเจี่ยเดินตรงมายังกลุ่มของหนิงเทียนนางกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นกันเองว่า “ขออภัยนายน้อยจิน ผู้นำของพวกเรากำลังมีแขกสำคัญ พวกเราไปคุยธุระกันที่อื่นเถอะ”
“ท่านยายมู่อย่าได้เกรงใจ”จินเหล่าต้าพายมือออกด้วยท่าทีสุภาพพร้อมเดินตามไปอย่างว่างง่าย
จากนั้นนางได้เดินนำพวกมันทั้งสองไปยังห้องรับรองด้านข้าง “เชิญ คุณชายทั้งสองนั่งลงก่อน”มู่หลานเจี่ยกล่าวออกพร้อมสั่งให้คนของมันนับเกวียนที่อัดแน่นไปด้วยโอสถโลกจิตปัญญา
ก่อนที่นางจะหยิบมันขึ้นมาพิจารณาอยู่พักใหญ่ จึงยิ้มออกและกล่าว “โอสถจิตปัญญาในปีนี้มีความเข้มข้นเพิ่มขึ้นมากจากเดิมอีกแล้ว ตระกูลจินช่างน่านับถือจริงๆ”
“ท่านยายมู่ แม้ว่าคุณภาพโอสถของตระกูลจินจะเพิ่มขึ้นแต่ราคาของมันยังคงเท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลง”จินเหล่าต้ายกยิ้มออกอย่างภูมิใจ
“ฮ่าๆ สมกับเป็นตระกูลจิน เด็กๆไปนำตั๋วเงิน30ล้านเหรียญทองมาให้แก่คุณชายจิน”มู่หลานเจี่ยกล่าวสั่งแก่คนรับใช้ของมัน
จากนั้นมันได้กวาดสายตาไปยังหนิงเทียนที่นั่งอยู่ด้วยความเงียบสงบก่อนนางจะหรี่ตาลงเล็กน้อยและกล่าวขึ้น "คุณชายท่านนี้ มีชื่อว่า?"มันกล่าวถามอย่างไม่แน่ใจนัก
จินเหล่าต้ารีบกล่าวแทนโดยทันที“ท่านยายมู่ นี้คือพี่ชายของข้า ซือหม่า หนิงเทียน เขาก็เป็นผู้ที่ต้องการเข้าร่วมงานประลองเลือกคู่ของตระกูลมู่ด้วยเช่นกัน”
“คุณชายท่านนี้เป็นผู้ที่กำลังโด่งดังในเมืองฉางผิงนั้นเอง ข้ามู่หลานเจี่ยยินดีที่ได้รู้จักคุณชายหนิงเทียน ท่านนับว่าเป็นหนุ่มรูปงามและยังเพียบพร้อมด้วยทุนทรัพย์
แต่ว่าช่างน่าเสียดาย น่าเสียดายจริงๆ”มู่หลานเจี่ยกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเวทนาปนสงสาร
ได้ยินเช่นนั้นจินเหล่าตาหดตาแคบมันกล่าวออก “ท่านยาย ท่านหมายความว่าอย่างไร”
“คนตายอย่างเขา ไม่สามารถเข้าร่วมการประลองได้หรอก”มู่หลานเจี่ยกล่าวออกพร้อมถอนหายใจออกยาว “ยังหนุ่มยังแน่นแท้ๆ เหตุใดถึงหุนหันพลันแล่นเช่นนี้ได้หรือท่านไม่รู้จักหัตถ์พิษซีฉิน”
ได้ยินเช่นนั้นหนิงเทียนกล่าวออก “ก็แค่การประลองฆ่าเวลา ทำไมท่านถึงทำเหมือนเป็นเรื่องใหญ่”
“ดีดี..เป็นคนหนุ่มทีมีความเหย่อหยิ่งอยู่ไม่น้อย เช่นนั้นยายแก่คนนี้จะไปดูเจ้าถึงศาลาหยางจูอย่างแน่นอน” มู่หลานเจี่ยกล่าวออกด้วยเสียงเอนดู
สำหรับคนที่ตายไปแล้วอย่างหนิงเทียนการพูดให้กำลังใจนับว่าเป็นเรื่องของมารยาท
หนิงเทียนหาได้สนใจคำพูดของมู่หลานเจี่ยไม่ เพียงแค่จ้องมองผ่านสายตาของมันก็รู้ได้แล้วว่าคำกล่าวของมันนั้นไม่มีความจริงใจแต่อย่างใด
“ท่านยายมู่ ทำไมถึงไม่เห็นคุณหนูใหญ่?”จินเหล่าต้ารีบแย้มถามออกเพื่อคลายสถานการณ์ลง
ได้ยินจินเหล่าต้าถามเช่นนั้น ท่าทีของมู่หลานเจี่ยเปลี่ยนแปลงไป มันกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงแข็ง “คุณหนูใหญ่เตรียมตัวที่จะเป็นเจ้าสาวจึงไม่มีเวลาออกมาเดินเที่ยวเล่น”
“ถ้าเช่นนั้น แล้วมู่เฉียนอยู่หรือไม่?”จินเหล่าต้ายังคงถามออกอีกครั้งหนึ่ง
“หืมม์ นายน้อยจิน ท่านต้องการพบคุณหนูสี่”มู่หลานเจี่ยกล่าวออกด้วยสายตาหดแคบ แต่น้ำเสียงของมันเมื่อกล่าวถึงคุณหนูสี่แล้วมีความอ่อนน้อมมากกว่าในคราวแรกยิ่งนัก
“แม้ข้าจะแก่ชรามากแล้วแต่หูของยายแก่คนนี้ไม่ได้หนวก ชื่อเสียงและฉายาของท่านนั้นก็ดังสนั่นไปทั่ว3เมืองใหญ่ คุณหนูสี่ของเราไม่ใช่ดอกไม้ริมทางที่ท่านเคยสูดดมหรอกนะ”น้ำเสียงแก่ๆของมันเวลานี้เย็นจนถึงกระดูกจินเหล่าต้า
“ไม่แน่นอน ไม่ใช่อย่างแน่นอน ท่านยายมู่ท่านกำลังเข้าใจข้าผิดไป ข้านั้นเคยพบเจอกับคุณหนูสี่มาก่อน ที่ข้ามาในวันนี้ครึ่งหนึ่งมาเพราะเรื่องงาน
ส่วนอีกครึ่งหนึ่งข้าต้องการมอบของขวัญที่เตรียมมาให้แก่คุณหนูสี่ด้วยมือตัวเอง" จินเหล่าต้างัดไม้ตายของมันออกมา น้ำเสียงที่นุ่มลึกชวนหลงใหลแก่ผู้ที่ได้ยิน ออกมาจากปากมันนับไม่ถ้วน
มู่หลานเจี่ยส่ายหน้า พร้อมกล่าวออก “ถ้าเช่นนั้นก็ได้แต่ต้องอยู่ในสายตาของยายแก่ผู้นี้เท่านั้น”จากนั้นมันสั่งคนรับใช้ให้ไปตามมู่เฉียนออกมา
ได้ยินเช่นนั้นจินเหล่าต้ายกยิ้มขึ้นมา มันหันกลับไปด้านหลัง พร้อมกับขยิบตาให้แก่หนิงเทียนจากนั้นมันกล่าวขึ้น “พี่ชาย ท่านช่วยไปรอข้าด้านนอกได้หรือไม่
มีแค่ท่านยายมู่ข้าก็เขินอายมากพอแล้ว ถ้าท่านยังคงอยู่ด้วย ข้าต้องไม่กล้ากล่าวคำพูดใดออกมาแน่ๆ”
เห็นสัญญาณจากจินเหล่าต้า หนิงเทียนคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะกล่าวออก“ดีเหมือนกัน ข้าเองก็ต้องการทบทวนถึงสูตรโอสถที่จะปรุงขึ้นในวันนี้ ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปรอเจ้าอยู่หน้าประตูแล้วกัน”กล่าวจบหนิงเทียนปลีกตัวออกมาจากห้องโดยเร็ว
ขณะที่มันกำลังเดินจากไปนั้น มันเดินสวนกับสตรีในชุดแดงนางหนึ่ง หน้าตาของนางนั้นนับว่าสวยงามกว่าคนทั่วไป ด้วยอาพรที่นางสวมใส่ทำให้นางดูสูงศักดิ์แตกต่างจากสตรีทั่วไปมากนัก
วัยของนางมองด้วยตาเปล่านั้นคาดได้ว่าอายุประมาณ13-14ปี
หลังจากที่เดินสวนกันไม่นานนักเสียงเล็กแหลมของสตรีนางนั้นก็ดังขึ้นมา “จินเก่อเก้อ เฉียนเอ๋อดีใจจริงๆที่ท่านมาหาข้าถึงตระกูลมู่”
หนิงเทียนหันไปมองยังจินเหล่าต้าที่เวลาที่แขนของมันถูกเกาะกุมไปด้วยสตรีในชุดแดง ลักษณะท่าทางที่นางแสดงออกนั้นต่างไปจากท่าทีสูงศักดิ์มากนัก หนิงเทียนได้แต่ยกยิ้มขึ้นมาพร้อมส่ายหน้า
จากนั้นมันเดินออกไปตามทางจนถึงลานกว้าง หนิงเทียนแลซ้ายและขวาเมื่อเห็นว่าปลอดคน มันรีบหลบตัวเข้าไปในมุมมืดของตึกก่อนจะสวมใส่ชุดสีดำทับชุดเดิมของมันไว้อีกชั้นหนึ่ง
คิ้วของหนิงเทียนขมวดเข้าหากันเป็นปมทันที เมื่อมองไปยังเส้นทางเดินนับสิบสาย และห้องหับโดยรอบนับร้อยๆห้อง
ไม่มีทางเลือกโชคชะตาเท่านั้นที่จะกำหนดว่าข้าจะได้พบเจ้าก่อนหรือทหารยามจะเป็นฝ่ายพบข้าเสียก่อน