WS บทที่ 366 วงแหวนเวทย์ซ้อนทับกัน
ร่างนั้นสวมเสื้อคลุมสีทอง รูปร่างของเขาสูงและเรียวมีผมยาวสีทองปลิวไสวอยู่ด้านหลังศีรษะ ใบหน้าที่หล่อเหลาประดับประดาบนใบหน้าของเขาแต่ลักษณะที่โดดเด่นที่สุดคือดวงตาคู่ที่ลึกล้ำและครุ่นคิดซึ่งดูราวกับว่ามีสติปัญญาที่ลึกซึ้ง
ภายใต้การหลอมรวมของอักษรรูนอย่างต่อเนื่อง ร่างที่มั่นคงเริ่มปรากฏเป็นรูปเป็นร่าง เขาคือผู้สร้างดินแดนมนต์ดำ จอมเวทย์ผู้ใหญ่ฟิเดล!
ในฐานะผู้สร้างดินแดนมนต์ดำจึงมีรูปปั้นของจอมเวทย์ฟิเดลที่สามารถพบได้ทุกที่ในดินแดนมนต์ดำ ดังนั้น เมอร์ลินจึงคุ้นเคยกับรูปร่างหน้าตาของเขาเป็นอย่างดี เมื่ออักษรรูนลึกลับบนชั้นหกเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นเป็นจอมเวทย์ฟิเดล เมอร์ลินสามารถจำเขาได้ในทันที
“อ่า นักเวทย์ผู้โชคดี! ข้าเป็นวิญญาณผู้พิทักษ์ชั้นหกของหอคอยแห่งรูน เรียกข้าว่าพ่อมดเอลฟิเดลก็ได้!”
ในภาษามอลต้าโบราณ คำนำหน้า ‘เอล’ ที่ใช้ในชื่อของเอลฟิเดลแสดงถึงบางสิ่งที่เป็นจินตภาพหรือของปลอม วิญญาณผู้พิทักษ์บนชั้นหกต้องมีนิสัยขี้เล่น เขาไม่เพียงแต่จำลองร่างกายของจอมเวทย์ฟิเดลมาเท่านั้น แต่ยังตั้งชื่อชวนขบขำให้ตัวเองด้วย
เมื่อเห็นความสับสนบนใบหน้าของเมอร์ลิน พ่อมดเอลฟิเดลก็ยิ้มกว้าง “จริง ๆ แล้ว ไม่ใช่เพราะจอมเวทย์ฟิเดลที่ทำให้ข้าเป็นแบบนี้ อันที่จริง วิญญาณผู้พิทักษ์สามารถเลือกรูปแบบใดก็ได้ที่เราต้องการให้แสดงออกมา เนื่องจากข้ารู้สึกขอบคุณจอมเวทย์ฟิเดลที่สร้างข้าขึ้นมาและทำให้ข้าได้สัมผัสกับโลกที่มหัศจรรย์นี้ ข้าจึงนำรูปร่างหน้าตาของเขามาและปกป้องชั้นหกของหอคอยแห่งรูนอย่างซื่อสัตย์”
พ่อมดเอลฟิเดลนั้นแปลกมากจริง ๆ ดูเหมือนว่าวิญญาณผู้พิทักษ์ได้พัฒนาด้านสติปัญญาอย่างสมบูรณ์ เช่นเดียวกับไดอามอส แมวดำที่อาศัยอยู่ในแผ่นศิลาแห่งดินแดนมนต์ดำ
อย่างไรก็ตาม เมอร์ลินไม่ได้สนใจลักษณะเฉพาะของจิตวิญญาณผู้พิทักษ์นี้ เขาถามว่า “พ่อมดเอลฟิเดล ถ้าฉันต้องการที่จะผ่านชั้นหก ฉันต้องเอาชนะคุณหรือไม่?”
“เอาชนะข้า? ไม่ ไม่ เจ้าคิดผิดแล้ว เพื่อที่จะพิชิตชั้นหก เจ้าไม่จำเป็นต้องเอาชนะวิญญาณผู้พิทักษ์ อันที่จริงข้าไม่มีทักษะการต่อสู้ในตัวเลย ความท้าทายบนชั้นหกของหอคอยแห่งรูนนั้นง่ายมาก สิ่งที่เจ้าต้องทำคือเปิดประตูบานใหญ่ตรงนั้น”
พ่อมดเอลฟิเดลชี้ไปที่ประตูสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างหน้าพวกเขา
"นั่นคือทั้งหมดที่ฉันต้องทำคือเปิดประตูบานนั้นออกงั้นเหรอ?”
เมอร์ลินเริ่มสงสัย อุปสรรคที่ชั้นหกจะง่ายขนาดนี้ได้อย่างไร? ถ้ามันง่ายขนาดนั้น แล้วทำไมนักเวทย์คนอื่น ๆ รวมทั้งไคลส์ถึงไม่สามารถผ่านชั้นหกได้?
ร่างของพ่อมดเอลฟิเดลหายไปและปรากฏขึ้นอีกครั้งในพริบตาที่หน้าประตูสี่เหลี่ยม เขาชี้นิ้วไปที่อักษรรูนหนาทึบที่ปิดทางเข้าประตู “แน่นอน มันไม่ง่ายเลยที่จะเปิดประตูบานนี้ ประตูได้รับการปกป้องโดยวงแหวนเวทย์ห้าชั้นที่แกะสลักโดยจอมเวทย์ฟิเดลทีละชั้น พวกมันได้ทับซ้อนกันจึงยากที่จะแก้ได้ เจ้าต้องแก้ไขตัวอักษรรูนเพื่อถอดรหัสวงแหวนเวทย์ที่ทับซ้อนกันห้าชั้นเหล่านี้ได้!”
แน่นอนว่า การเปิดประตูไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อพิจารณาจากวงเวทย์รูนที่ซับซ้อนซึ่งแกะสลักโดยจอมเวทย์ฟิเดล มีเพียงนักเวทย์ที่เชี่ยวชาญด้านอักษรรูนมากเท่านั้นที่จะสามารถถอดรหัสได้ได้
ณ จุดนี้ เมอร์ลินเข้าใจเจตนาของจอมเวทย์ฟิเดลอย่างสมบูรณ์ จุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาคือการค้นหานักเวทย์อัจฉริยะที่เก่งด้านอักษรรูน
ยิ่งกว่านั้น เมอร์ลินยังสามารถเดาได้ว่าสมบัติที่อยู่บนชั้นหกและเจ็ดนั้นจะต้องเกี่ยวข้องกับอักษรรูนอย่างแน่นอน ดังนั้นนักเวทย์ที่เชี่ยวชาญในอักษรรูนจะได้รับประโยชน์มากมายมหาศาลจากสมบัติเหล่านั้น
พ่อมดเอบฟิเดลพูดต่อ “เมื่อไม่นานมานี้ มีนักเวทย์รุ่นเยาว์ชื่อไคลส์ เขาเก่งมาก เขาสามารถขึ้นมาชั้นหกได้เช่นกันและความรู้เกี่ยวกับอักษรรูนของเขานั้นค่อนข้างน่าทึ่ง น่าเสียดายที่เขาอยู่เพียงก้าวเดียวเท่านั้น เขาสามารถถอดรหัสอักษรรูนสี่ชั้นแรกได้แต่ไม่สามารถถอดรหัสชั้นสุดท้ายได้ มิฉะนั้น เขาคงจะประสบความสำเร็จในการพิชิตชั้นหกและก้าวไปสู่ชั้นที่เจ็ด! อ้อ ยังไม่มีใครสามารถรับสมบัติใด ๆ บนชั้นหก ด้านหลังประตูนี้เป็นที่เก็บสมบัติ ดังนั้น ถ้าหากเจ้าสามารถถอดรหัสวงแหวนเวทย์ห้าชั้นที่ประตูได้ เจ้าก็จะได้รับสมบัติที่จอมเวทย์ฟิเดลทิ้งไว้”
“ไคลส์? คนที่ทรยศต่อดินแดมนต์ดำและเข้าร่วมกับออสมูไปแล้ว เขาทำได้ถึงขนาดนั้นเลยเหรอ!”
ดวงตาของเมอร์ลินกระตุกเล็กน้อย เขาไม่ได้คาดหวังว่าไคลส์จะสามารถถอดรหัสวงแหวนเวทย์ห้าชั้นและจะพิชิตชั้นที่หกได้อีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น ไม่เพียงแต่มีพรสวรรค์ในการสร้างโครงสร้างคาถาเท่านั้น แต่ยังมีความสามารถมากมายในด้านอักษรรูน, การเล่นแร่แปรธาตุ, ปรุงยาและด้านอื่น ๆ อีกด้วย
เมื่อเทียบกับไคลส์ เมอร์ลินรู้สึกด้อยกว่าเขามาก นอกจากการครอบครองเดอะเมทริกซ์และความสามารถในการสร้างโครงสร้างคาถาแล้ว ความสามารถอื่น ๆ ของเมอร์ลินก็ยังด้อยกว่าเมื่อเทียบกับไคลส์
จึงไม่แปลกที่ไคลส์จะได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในนักเวทย์ที่มีความสามารถมากที่สุดในดินแดนมนต์ดำในรอบหลายร้อยปี
"อะไรนะ? ไคลส์ทรยศต่อดินแดนมนต์ดำและเข้าร่วมออสมู!? ช่างน่าเสียดาย…เขาเป็นเด็กดีและข้าก็เลี้ยงดูเขาเหมือนต้นกล้า ข้าหวังว่าหลังจากนั้นสองสามปี เขาจะได้รับความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับอักษรรูนและกลับมาท้าทายหอคอยแห่งรูนอีกครั้ง ใครจะรู้ว่าเขาจะลงเอยด้วยการเข้าร่วมออสมูแบบนี้…”
สีหน้าของพ่อมดเอลฟิเดลแสดงออกถึงอารมณ์อย่างมาก เหมือนกับมนุษย์ทั่วไป ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเมอร์ลินเห็นว่าเขามีรูปร่างเหมือนอักษรรูน เขาอาจจะคิดว่าพ่อมดเอลฟิเดลคือนักเวทย์จริง ๆ
เมอร์ลินไม่สนใจเอลฟิเดลและมุ่งหน้าไปยังประตูสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ เขาวางมือทั้งสองข้างที่ประตูแล้วผลักเบา ๆ จริงอยู่ว่าประตูไม่ขยับ เมอร์ลินจำไว้ว่าเขาได้ฝึกฝนกระบวนท่าลึกลับจากรูปปั้นสี่ชิ้น ดังนั้นแม้แต่ประตูหินหนักก็ถูกผลักเปิดออกได้อย่างง่ายดาย
อย่างไรก็ตาม ประตูสี่เหลี่ยมนี้ไม่ได้ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย พิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นเรื่องยากที่จะพึ่งพาความแข็งแกร่งทางกายภาพในการเปิดประตู
น่าเสียดาย เนื่องจากเมอร์ลินมีความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับอักษรรูนเท่านั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะถอดรหัสวงแหวนเวทย์ที่ทับซ้อนกันซึ่งแกะสลักไว้โดยจอมเวทย์ฟิเดลได้
“ไม่เป็นไร อย่างน้อย ๆ ก็ต้องลองดูก่อน!”
เมอร์ลินวางมือบนประตูอีกครั้ง ทันใดนั้น แถวของอักษรรูนที่ดูลึกลับก็เริ่มปรากฏขึ้นที่ประตู เขาสามารถเห็นได้ว่าอักษรรูนนั้นมีความพิเศษและซับซ้อนอย่างยิ่ง
การจัดเรียงของวงแหวนเวทย์ที่ทับซ้อนอย่างยิ่งและต้องใช้ความระมัดระวังในการสร้างมัน มิฉะนั้น วงแหวนเวทย์จะยุบและไม่สามารถสร้างใหม่ได้
โดยทั่วไปจะใช้วงแหวนเวทย์ที่ทับซ้อนกันเป็นหัวข้อทดสอบเพื่อวัดความรู้ในด้านอักษรรูน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่น่าทึ่งอย่างแท้จริงที่จอมเวทย์ฟิเดลสามารถสลักวงแหวนเวทย์ที่ทับซ้อนกันได้ห้าชั้นติดต่อกัน!
เมอร์ลินไม่เข้าใจอักษรรูนเลย แม้จะใช้เวลานานในการคลำที่ประตูอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า แต่เขาก็ยังไม่รู้ว่าจะถอดรหัสวงแหวนเวทย์ได้อย่างไร ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจกลับไปสู่พื้นฐาน นั่นคือทำลายพวกมันโดยใช้พลังทั้งหมดที่เขามี!
แม้ว่าเขาจะล้มเหลวในการทำลายวงแหวนเวทย์ก็ตาม แต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นได้กับเขาก็คือเขาจะถูกขับออกจากหอคอยเท่านั้น
เมื่อคิดตามแนวทางเหล่านั้น เมอร์ลินจึงตัดสินใจร่ายคาถาเกราะสัมบูรณ์เพื่อปกป้องร่างกายทั้งหมดของเขา
จากนั้น เมอร์ลินค่อย ๆ ปล่อยเพลิงวินาศออกมาทีละน้อย ทันใดนั้น ไฟก็พุ่งไปที่ประตูและกระแทกเข้ากับวงแหวนเวทย์
*แคร่ก*
สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้า มันเกินความคาดหมายของเมอร์ลิน ชั้นแรกของวงแหวนเวทย์แตกออกทันทีที่เปลวไฟสีขาวกระทบ อย่างไรก็ตาม คาถาถูกบล็อกโดยชั้นที่สอง
ในเวลาเดียวกัน วงแหวนเวทย์ชั้นที่สองก็สะท้านเพลิงวินาศกลับมาที่เขา โชคดีที่เมอร์ลินได้รับการปกป้องโดยเกราะสัมบูรณ์และปริมาณไฟที่เขาปล่อยออกมานั้นค่อนข้างน้อย จึงไม่ก่อให้เกิดความเสียหายใด ๆ
อย่างไรก็ตาม ความพยายามครั้งนี้ทำให้เมอร์ลินมีความหวังอันสดใส มันแสดงให้เห็นว่าวงแหวนเวทย์สามารถถูกทำลายได้ด้วยคาถา
“เจ้าจะใช้วิธีทำลายวงแหวนเวทย์งั้นเหรอ?”
พ่อมดเอลฟิเดลขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะมองดูความพยายามทำลายของเมอร์ลิน ในการดำรงอยู่อันยาวนานของเขา เขาได้พบกับนักเวทย์สองสามคนที่พยายามจะทำลายวงแหวนเวทย์ที่ประตูโดยใช้พลังที่มี
บางทีจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ฟิเดลได้คาดการณ์ไว้แล้วว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นในตอนนั้น ดังนั้นวงแหวนเวทย์จึงมีคุณสมบัติพิเศษอีกอย่าง ตราบใดที่คาถาไม่ทำลายวงแหวนเวทย์ได้ มันก็จะเด้งกลับไปที่นักเวทย์ด้วยความรุนแรงเท่ากัน
ดังนั้น นักเวทย์ส่วนใหญ่ที่พยายามทำลายวงแหวนเวทย์ มักจะ ‘พ่ายแพ้’ ด้วยคาถาของตัวเองในท้ายที่สุด
“เจ้าหนุ่มผู้โชคดี มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำลายวงแหวนเวทย์ด้วยกำลัง มีนักเวทย์หลายคนที่พยายามทำในสิ่งที่เจ้าวางแผนจะทำ แต่พวกเขาทั้งหมดจบลงด้วยความล้มเหลว…”
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าพ่อมดเอลฟิเดลจะพูดว่าอะไร เมอร์ลินก็ไม่สนใจ เมื่อเขาค้นพบความเป็นไปได้ที่จะทำลายวงแหวนเวทย์ด้วยกำลัง ฟันเฟืองในหัวของเขาก็เริ่มหมุนด้วยความเร็วเต็มที่เมื่อความคิดใหม่ ๆ เริ่มปรากฏขึ้น
เมื่อพิจารณาจากความแข็งแกร่งของวงแหวนเวทย์ชั้นแรก พลังป้องกันของวงแหวนเวทย์ห้าชั้นนั้นแข็งแกร่งอย่างน่าประหลาดใจ ยิ่งไปกว่านั้น คาถาใด ๆ ที่ไม่สามารถทำลายวงแหวนเวทย์ได้ มันจะเด้งกลับมาหาตัวนักเวทย์และสร้างความเสียหายให้กับตัวเอง
เมอร์ลินหวังที่จะหลีกเลี่ยงความเสียหายประเภทนี้ให้ได้มากที่สุด มิฉะนั้น แม้ว่าผู้พิทักษ์วิญญาณจะไม่ทำร้ายเขา แต่เขาก็อาจจะถูกฆ่าด้วยคาถาของเขาเองแทน ท้ายที่สุดแล้ว การกระทำของเขาเองก็ถูกแยกออกจากหอคอยแห่งรูน
ถ้าเมอร์ลินถูก ‘ฆ่า’ ด้วยคาถาเหล่านี้จริง ๆ เขาจะกลายเป็นตัวตลกของดินแดนมนต์ดำ
“เอาล่ะ ฉันจะเพิ่มพลังทีละน้อย แม้ว่ามันจะกินเวลาและพลังเวทย์ แต่ฉันก็ไม่สามารถดำเนินการอย่างเร่งรีบเกินไป ฉันหวังว่าเกราะสัมบูรณ์ของฉันสามารถทนต่อคาถาที่สะท้อนกลับได้!”
เมอร์ลินกัดฟันแน่นและรวบรวมความมุ่งมั่นของเขา
*พรึ่บ!*
เปลวไฟสีขาวอีกลูกหนึ่งพุ่งไปที่ประตูที่มีรูน ครั้งนี้ เมอร์ลินได้เพิ่มพลังของเพลิงวินาศเล็กน้อย ดังนั้นพลังและความเร็วของเปลวไฟก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
*แคร่ก*
วงแหวนเวทย์ชั้นที่สองแตกออกแต่เปลวไฟของเพลิงวินาศถูกหยุดโดยวงแหวนเวทย์ชั้นที่สามและพุ่งกลับมาทางเมอร์ลินทำให้เกราะสัมบูรณ์ลุกโชน
โชคดีที่เกราะสัมบูรณ์ยังคงสามารถต้านทานการโจมตีระดับนี้ได้ เพียงแต่มันใช้พลังเวทย์ของเขาเร็วกว่าปกติ
เมอร์ลินเพิ่มพลังของเพลิงวินาศอีกครั้ง และต่อมาก็สามารถทำลายวงแหวนเวทย์ชั้นที่สามได้ อย่างไรก็ตาม เขาประสบปัญหากับชั้นที่สี่ ทำให้เขาต้องปลดปล่อยความสามารถทั้งหมดของเขาออกมา
“หลอมเปลวเพลิง!”
ในที่สุด ลูกไฟสีขาวซีดก็ปรากฏขึ้นข้างเมอร์ลิน นี่คือคาถารุนแรงที่สุดที่เมอร์ลินมี ดังนั้นมันจึงสามารถทำลายแม้กระทั่งคาถาป้องกันระดับหกบางส่วน
*พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ*
ทันใดนั้นลูกเพลิงสีขาวซีดสองสามลูกก็เริ่มบินไปที่ประตูสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ เมื่อโจมตีไปยังชั้นที่สี่วงแหวนเวทย์ พวกมันหยุดชั่วคราว ก่อนที่จะเจาะทะลุชั้นที่สี่และบินเข้าไปด้านในจนถึงชั้นที่ห้า
ย้อนกลับไประหว่างความพยายามของไคลส์ เขาถูกหยุดโดยวงแหวนเวทย์ชั้นที่ห้า เนื่องจากเขาไม่สามารถถอดรหัสได้ เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องออกจากหอคอยแห่งรูน
คราวนี้ถึงคราวของเมอร์ลินที่จะท้าทายวงเวทย์รูนชั้นที่ห้า นับแต่นี้เป็นต้นไปนับเป็นการประลองทางอ้อมระหว่างไคลส์และเมอร์ลินจึงเริ่มต้นขึ้น!