WMR ตอนที่ 15 วิธีขุดสมบัติ
ไม่นาน เบนจามินก็ออกจากห้องสารภาพบาป
เขากลมกลืนเข้ากับฝูงชน และออกจากมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์โดยไม่ดึงดูดความสนใจใด ๆ
การสื่อสารกับบิชอปครั้งนี้เขาค่อนข้างได้กำไร ประการแรก เขารู้ว่าเขาถูกสาป แม้ว่านี่จะถือเป็นข่าวร้าย แต่มันก็ยังดีกว่าการนั่งรอจนเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นแล้วค่อยหาคำตอบ นอกจากนี้เขายังได้รับข้อมูลที่สำคัญที่สุดอีกประการหนึ่งนั่นคือข้อมูลเกี่ยวกับมิเชล
หลังจากที่บิชอปพยักหน้า เขาก็เริ่มบอกข่าวบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับมิเชลแก่เบนจามิน หลังจากได้ฟังเบนจามินก็ได้รู้ว่าแท้จริงแล้วมิเชลนั้นเป็นที่รู้จักอยู่แล้ว เรื่องมันเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อ 5 ปีก่อน เวลานั้นมิเชลก็ได้ก่อเรื่องไปไม่น้อย ทั้งซุ่มโจมตีขุนนาง, ขโมยสมบัติ, ปล่อยข่าวลือ, และส่งเสริมความคิดนอกรีต...ไม่เพียงแค่นั้น แม้ว่าศาสนจักรจะออกตามล่าเธอ แต่เธอก็ยังสามารถมีชีวิตรอดอยู่ได้อย่างปลอดภัยมาถึงห้าปี ซึ่งจากนั้นเธอก็เงียบหายไป
อาจกล่าวได้ว่าศาสนจักรกำลังถูกเธอปั่นหัวเหมือนเป็นของเล่นในกำมือ พวกเขาไม่สามารถจับได้แม้แต่ผมของเธอด้วยซ้ำ
กระทั่งตอนนี้ทางศาสนจักรก็ยังไม่รู้ว่าเวทมนตร์ของเธอไปถึงระดับไหนแล้ว บิชอปเชื่อว่าเธอได้บรรลุถึงขอบเขตของอาร์คเมจเป็นที่เรียบร้อย หากไม่ใช่คนระกับบิชอปหรือแกรนด์พาลาดินเกรงว่าคงรับมือกับเธอไม่ได้ และด้วยเหตุนี้เองทางศาสนจักรจึงหวาดกลัวเธอเป็นอย่างมาก
สำหรับเรื่องนี้เบนจามินแค่อยากจะบอกว่า: คุณคิดมากเกินไป
แม้ว่าเขาจะไม่ทราบความแข็งแกร่งของมิเชล แต่ถ้าเธอกลัวกระทั่งทีม "คนทำความสะอาด" แล้วเธอจะมีพลังมากขนาดนั้นได้อย่างไร?
กลยุทธ์ปิดเมือง1นี้ได้รับการจัดวางเป็นอย่างดี
จากข้อมูลทั้งหมดที่เขาได้รับจากบิชอป นอกเหนือจากการต่อสู้ดิ้นรนอันยาวนานระหว่างพวกเขากับมิเชลแล้ว สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเบนจามินมากที่สุดคือพวกเขาพบที่มั่นทั้งหมดที่มิเชลเคยใช้มาก่อน
ศาสนจักรได้พบฐานที่มั่นที่ถูกทิ้งร้างราว ๆ ยี่สิบแห่งหรือมากกว่านั้นในระหว่างการตามล่าเธอ
แน่นอนว่าเบนจามินจำตำแหน่งที่ว่าได้หมดแล้ว
ตอนนี้เขากำลังเดินอยู่บนถนนนอกมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ และกำลังคิดถึงแผนต่อไปในใจ: การค้นหาฐานทั้ง 20 เป็นสิ่งที่เขาต้องทำอยู่แล้ว แต่เขาต้องทำอย่างระมัดระวังไม่ให้ดึงดูดความสนใจของศาสนจักร เพราะถ้าเป้าหมายที่แท้จริงของเขาถูกศาสนจักรค้นพบ เขาจะจบลงแบบเดียวกับที่มิเชลเป็นอยู่ในตอนนี้
เขาไม่ต้องการที่จะถูกจัดอยู่ใน ‘รายชื่อที่ต้องทำความสะอาด’ ของศาสนจักรเร็วนัก
เนื่องจากคำสาป ศาสนจักรจึงตัดดสินใจใช้เขาเป็นเหยื่อล่อ และให้ความสนใจกับเขาเป็นพิเศษ ทำให้การพยายามค้นหาฐานทั้ง 20 แห่งอย่างละเอียดถี่ถ้วนภายใต้การจับตามองของศาสนจักรนั้นไม่ต่างจากฝันกลางวัน
เขาต้องหาคนทำแทนเขา....
“โอ้จริงสิ เกือบลืมไป ไม่ใช่ว่านายบอกว่าฉันมีคนรับใช้ชื่อเจเรมีหรืออะไรทำนองนั้นอยู่ไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมฉันไม่เห็นเขาเลยล่ะ?”
เมื่อคิดได้ดังนั้น เบนจามินก็ถามกับระบบ
“เจเรมีไม่สบาย ท่านไม่ได้ฟังที่พ่อบ้านพูดกับท่านเมื่อเช้าเรอะ? สงสัยสมองของท่านคงไม่ต่างจากปลาทองหรอกกระมั้ง?” ระบบใช้สิ่งนี้ดูถูกเบนจามิน
“งั้นเหรอ? คนสัญจรไปมาไม่มีชื่อด้วยซ้ำ แล้วฉันจะไปจำได้ยังไงว่าเขาพูดว่าอะไร” เบนจามินเลียนแบบความไร้ยางอายของระบบ
ระบบพูดไม่ออก
แต่พูดถึงคนรับใช้แล้ว.......
จู่ ๆ เบนจามินก็ตระหนักว่าเขาไม่ได้มีฐานะต่ำอย่างที่เขาคิดว่าเขาเป็น เพราะเขามีคนรับใช้ส่วนตัวของเขาเอง แม้ว่าย่าของเขาจะใจร้ายกับเขา แต่นั่นก็เป็นเพราะบุคลิกส่วนตัวของเธอ ไม่ได้มีส่วนไหนที่เกี่ยวข้องกับเบนจามิน ส่วนคนรับใช้คนอื่นก็ไม่ได้ดูถูกเขาเพียงเพราะเขาเกิดมาไร้ประโยชน์ เช่นเดียวกันกับพ่อบ้านไม่มีชื่อคนนั้น เขาทำความสะอาดพื้นและเตรียมอุปกรณ์ทำความสะอาดตัวให้เขา เขาทำในสิ่งที่เขาควรจะทำ และทัศนคติของเขาก็เต็มไปด้วยความเคารพอย่างที่ควรเป็น
นี่คือทัศนคติแบบมืออาชีพที่คนรับใช้ควรจะมี!
ลองคิดดูสิ ต่อให้เขาไร้ประโยชน์มากแค่ไหน แต่ยังไงเขาก็ยังเป็นขุนนางคนหนึ่งอยู่วันยังค่ำ คนรับใช้มีหรือจะเทียบได้ สถานการณ์ที่คนรับใช้บ่นเรื่องทัศนคติของเจ้านายคงมีแต่ในนิยายเกลือนตลาดเท่านั้น
“แม้เบนจามินจะเป็นพวกขี้แพ้ แต่ชีวิตของเขาก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น” เมื่อคิดได้ดังนั้น เบนจามินก็ถอนหายใจ
“คำว่าแย่ของคนรวยและคนธรรมดาย่อมต่างกัน” ระบบเติมเกลือลงในบาดแผลของเขา “แต่ข้าต้องเตือนท่าน ท่านมีเจเรมีเพียงคนเดียว ส่วนน้องชายของท่านมีคนรับใช้ชายสองคนและหญิงอีกหนึ่งคน รายได้ต่อปีของคนรับใช้ของท่านคือสามสิบปอนด์ ส่วนคนรับใช้ทั้งสามของน้องชายท่านมีรายได้ปีล่ะห้าสิบปอนด์ เอาล่ะ ตอนนี้ท่านยังยืนยันคำเดิมรึไม่ว่าชีวิตของท่านไม่ได้แย่อะไร?”
“...”
เบ็นจามินรู้สึกเหมือนถูกระบบโน้มน้าว
ทันใดนั้นเองจู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่าชีวิตที่เป็นอยู่มันไม่ได้ดีเด่อะไรขนาดนั้น ชีวิตที่ไม่ได้ใช้เงินหนึ่งร้อยห้าสิบปอนด์ต่อปีในการจ้างคนรับใช้นั้นช่างเลวร้าย และขาดศักดิ์ศรีเกินกว่าจะมีชีวิตอยู่
ความคิดของเขาเสื่อมโทรมอย่างรวดเร็วเป็นข้อพิสูจน์ว่าการทุจริตของสังคมศักดินานั้นไม่สามารถต้านทานได้
การเปรียบเทียบเป็นบาปดั้งเดิมของมนุษย์
“ทำไมจู่ ๆ ท่านถึงพูดเรื่องคนรับใช้ส่วนตัวนั่นขึ้นมา ท่านอยากให้เขาไปขุดสมบัติของแอนนี่แทนท่าน?” ระบบถาม ลากบทสนทนาที่ไม่อยู่ในหัวข้อหลักกลับสู่ความจริง
“นายเดาถูก” เมื่อได้ยินดังนั้น เบนจามินก็พยักหน้า
ในเมื่อการจ้างคนอื่นจะทำให้ลำบากขึ้นเท่านั้น งั้นทำไมไม่หาคนที่เขาไว้ใจแทนล่ะ?
แม้คนรับใช้ของเขาอาจกระตุ้นความสงสัยจากศาสนจักร แต่ท้ายที่สุดแล้วต้องอย่าลืมไปว่าตัวเขานั้นอยู่ภายใต้การเฝ้าระวังเหตุเพราะต้องคุ้มครอง ไม่ใช่เพราะสงสัย ดังนั้นแล้วคนที่ศาสนจักรส่งมาจะมุ่งความสนใจส่วนใหญ่มาที่เขา และคงไม่สนใจคนรอบข้างเขามากนัก
หลังออกจากโบสถ์ เขารู้สึกได้เลยว่ามีคนกำลังจับตามองเขาอยู่ และเมื่อใช้การเหนี่ยวนำธาตุน้ำเขาก็พบว่าหนึ่งในนั้นคืออัศวินลาดตระเวน พร้อมด้วยนักบวชที่แต่งตัวเป็นคนสัญจรไปมา
สองคนนี้คงเป็น ‘พระองค์จะคอยเฝ้ามองท่านอยู่เสมอ’ ที่บิชอปกล่าวถึง และเพื่อหลีกเลี่ยงการแจ้งเตือนมิเชล ‘การสอดส่อง’ ของศาสนจักรจึงค่อนข้างหละหลวม แม้เบนจามินจะค่อนข้างรังเกียจ แต่ในอีกมุมหนึ่ง สิ่งนี้เป็นประโยชน์อย่างมากต่ออิสระในการเคลื่อนไหวของเขา
สองคนนั้นจะไปสังเกตเห็นอะไรได้? หากเขาเอาแต่ซ่อนตัวอยู่ในตระกูลลิเธอร์ พวกเขาก็คงไม่กล้าเข้าใกล้เกินไป ทำให้ในท้ายที่สุดแล้วพวกเขาจะไม่ได้อะไรกลับไปเลย
แน่นอน เขาไม่ได้วางแผนจะทำอะไรที่มันเสี่ยงมากเกินไป แต่เมื่อไหร่ที่เขาต้องเคลื่อนไหวจริง ๆ เขาจะเล่นกลบางอย่างเพื่อให้คนจากศาสนจักรคลายความระวังลง
“จากที่นายพูด เจเรมีคนนี้ไว้ใจได้งั้นเหรอ?” เบนจามินถามระบบ
“น่าเชื่อถือ แต่ข้าไม่คิดว่าเขาจะทำงานนี้สำเร็จได้ด้วยตัวเอง”
เบนจามินถาม “ทำไม?”
ระบบลังเล แต่สุดท้ายก็ให้คำตอบ "เป็นเพราะ.... เขาขี้ขลาดเกินไป"
หลังจากได้ยินดังนั้น เบนจามินก็ชะงักไปครู่หนึ่ง
ในตอนนั้นเองก็ได้มีเสียงเรียกอย่างบ้าคลั่งดึงเขากลับมาสู่ความจริงจากการสนทนากับระบบ
ไกลออกไป ร่างหนึ่งที่สั่นเทาค่อย ๆ พุ่งเข้ามาหาเขา
“ท่านเบนจามิน ในที่สุดข้าก็หาท่านเจอ”
เมื่อเห็นคนที่เข้ามาเบนจามินก็อยากหัวเราะ เขามีร่างกายที่เตี้ยผอม คางแหลม ตาเล็ก และสวมเสื้อกั๊กสีดำและเสื้อเชิ้ตสีขาวอย่างที่คนรับใช้ชายส่วนใหญ่ใส่กัน แต่เสื้อผ้าที่สกปรกกลับทำให้เขาดูไม่เหมือนคนรับใช้ของตระกูลขุนนางเลยแม้แต่น้อย ทั้งในรูปลักษณ์และจิตใจ
เขาดูเหมือนหนู แค่ไม่ได้มีสติปัญญาเหมือนหนู แต่มีเฉพาะด้านที่ไม่พึงประสงค์ของหนูเท่านั้น
แต่เบนจามินไม่ยิ้มหรือแสดงท่าทางแปลก ๆ ออกมา
เพราะระบบบอกเขาอยู่ในใจ: นี่คือคนรับใช้ของเขา – เจเรมี
“เป็นอะไรไปเจเรมี มีอะไรเกิดขึ้นงั้นรึ?” เขาถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
เจเรมีคุกเข่า หอบหายใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดว่า “คุณชาย ข้าต้องขอโทษด้วย เป็นเพราะวันนี้จู่ ๆ ข้าก็ปวดท้องขึ้นมาเลยไม่ได้ซักเสื้อผ้าให้ท่าน และทำให้ท่านต้องอับอาย ข้า...”
“...”
อันที่จริง เบนจามินไม่อยากถามเรื่องนี้ เขาแค่อยากรู้ว่าทำไมเขาถึงรีบร้อนขนาดนั้น
แต่.... เอาเถอะ....
“แล้วเจ้ารีบวิ่งมาหาข้าทำไม?” เบนจามินถามอีกครั้ง
เจเรมีรีบสะบัดมือแล้วพูดว่า “เอ่อ อ่า ไม่ใช่ข้า แต่เป็นพ่อของท่าน แม่ของท่าน และท่านแกรนท์ พวกท่านกลับมาแล้ว และตอนนี้พ่อของท่านกำลังมองหาท่านอยู่!”
โอ้?
หลังจากได้ยินข่าวนี้ เบนจามินก็รู้สึกใจสั่น อย่างไรก็ตาม เขาได้ซ้อมรับมือกับสถานการณ์นี้ในใจมาหลายครั้งแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ตื่นตระหนก มีเพียงความประหม่า แต่นั่นก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ในที่สุดสิ่งที่เขารอคอยก็มาถึงยากจะหัวเราะบนจามินกข้ากคำตอบ:
แม้ว่าทางสายเลือดพ่อแม่อาจใกล้ชิดกว่าย่ามาก แต่เมื่อพูดถึงช่องว่างระหว่างความสัมพันธ์ พ่อแม่และลูกอาจมีความห่างเหินมากที่สุด เด็กมักจะไม่ยอมให้พ่อแม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาเป็นอย่างไร ส่วนพ่อแม่ก็มีหลายสิ่งที่ปิดบังไม่ให้ลูกรู้อยู่เช่นกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเป็นลูกที่มีความสำคัญน้อยที่สุดในครอบครัว และยิ่งในช่วงวัยรุ่นที่ดื้อรั้นที่สุดแบบนี้ยิ่งแล้วใหญ่
เมื่อพิจารณาจากช่วงชีวิตที่ระบบเล่นให้เขาดู เขาเป็นเหมือนคนแปลกหน้าสำหรับพ่อของเขา ทุกครั้งที่พวกเขาคุยกัน บรรยากาศจะเต็มไปด้วยความน่าเบื่อและน่าอึดอัด ในอดีต เบนจามินมักนิ่งเฉยและปิดปากเงียบเวลาอยู่ต่อหน้าพ่อแม่ของเขา การเลียนแบบระดับนี้ถึงแม้เขาจะไม่มีทักษะการแสดงก็ทำได้ไม่ยาก
ท้ายที่สุดแล้วตัวเขาในตอนนี้มีความมั่นใจจนขนาดเขาเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อ
“เข้าใจแล้ว ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
พูดจบเขาก็เหลือบมองเจเรมีอย่างระมัดระวัง ทันใดนั้นก็พูดขึ้นว่า “โอ้จริงสิ ข้ามีบางอย่างที่อยากจะไหว้วานเจ้าไปทำหน่อย”
“ได้ครับคุณชาย ท่านอยากจะให้ข้าไปทำอะไรครับ?”
เบนจามินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า “ถ้าข้าจำไม่ผิดทางตะวันออกของเมืองนั้นมีช่างไม้อยู่ เจ้าจงไปซื้อไม้กางเขนจากที่นั่นมาให้ข้า ระวังตัวด้วย อ้อ! อีกอย่างเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้นั่งรถม้า เพราะข้าไม่มีเงินติดกระเป๋ามากพอจ่ายค่าเดินทางให้เจ้า”
ใบหน้าของเจเรมีดูแย่ลง: "เอ่อ...... คุณชาย ที่ท่านให้ข้าไปมันอยู่ไกลจากที่นี่มาก หากข้าต้องใช้เท้าเดินไปที่นั่น เกรงว่ากว่าข้าจะกลับมาถึงที่นี่มันก็ดึกดื่นมากแล้ว"
เบนจามินยิ้มอย่างอ่อนโยนและพูดว่า: "ไม่เป็นไร เดินช้า ๆ ก็ได้ ข้าไม่รีบ"
ถ้ามันไม่ไกลฉันก็คงไม่ส่งนายไปตั้งแต่แรก
นี่เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของเบนจามิน: ส่งเจเรมีไปทำธุระ ให้เขาทำในสิ่งที่ดูไม่สำคัญเพื่อดูว่าเขาภักดีมากแค่ไหน ฉันจะให้เขาทำสิ่งนี้ทุกวัน อาจจะยี่สิบครั้งหรือมากกว่านั้น และถ้าถึงตอนนั้นศาสนจักรยังคงให้ความสนใจเจเรมีอยู่ งั้นก็แปลว่าพวกเขามีความสามารถจริง ๆ
และเมื่อเขาเบี่ยงเบนจนศาสนจักรเลิกสนใจเจเรมีได้สำเร็จ เขาก็จะใช้ให้เจเรมีไปขุดสมบัติที่แอนนี่ฝังไว้
แผนนี้แม้แต่ระบบขี้จุกจิกก็ยังต้องยอมรับว่ามันไม่ใช่ความคิดที่แย่
ด้วยเหตุนี้เองเจเรมีจึงเริ่มก้าวแรกของการเดินทางอันยาวนานด้วยใบหน้าที่ขมขื่น เมื่อเห็นเขาเดินไปแล้วเบนจามินก็หยุดคิด และเร่งฝีเท้ากลับบ้านของเขาทันที
พ่อของเขาต้องการพบเขา เขาไม่สามารถเดินกลับแบบสบาย ๆ ได้
บ้านของตระกูลลิเธอร์อยู่บริเวณตอนบนของตัวเมือง ไม่ไกลจากมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ ไม่นาน เบนจามินก็กลับมาถึงบ้าน คนใช้ที่ประตูไม่พูดอะไร เพียงโค้งคำนับและเปิดประตูให้เขาเข้าไป
“คุณชาย พ่อของท่านกับคนอื่น ๆ กำลังรออยู่ในห้องนั่งเล่น”
คนรับใช้ที่ทางเข้าเตือนเขา
เขาพยักหน้าให้คนรับใช้ และเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เขาก้าวเท้าขวาเข้าไปในห้องนั่งเล่น เขาก็ตระหนักได้ในทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ
บรรยากาศดูน่ากลัวเล็กน้อย
แล้วทำไม... ในห้องนั่งเล่นถึงมีคนมากมายนัก?
โต๊ะที่เมื่อก่อนดูยาวไม่ยาวขนาดนั้นแล้ว ชายวัยกลางที่ดูสง่างามกำลังนั่งบนเก้าอี้หลักด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง ชายที่ว่าคือพ่อของเบนจามิน ทางด้านซ้ายของเขา มีคนจำนวนมากนั่งเรียงกันเป็นแถว: ผู้หญิงแต่งตัวดีที่มีสีหน้าไม่สบายใจ เธอคือแม่ของเบนจามิน ชายหนุ่มผมบลอนด์อายุราวสิบห้า ไม่ก็ สิบหกปีกำลังมองไปที่โต๊ะอย่างว่างเปล่า เขาคือน้องชายของเขา หญิงชราที่กำลังกลอกตา เธอคือย่าของเขา ถัดจากนั้นเป็นชายวัยกลางคนที่แต่งกายด้วยชุดสีทองผสมสีเงิน เบนจามินไม่รู้จักเขา และชายหนุ่มผมบลอนด์อีกคน ซึ่งเบนจามินก็ไม่รู้จักเช่นกัน....
มีคนทั้งหมดประมาณสิบคน กว่าครึ่งจากในนั้นเบนจามินไม่รู้จัก นั่นแปลว่าพวกเขาไม่ได้มาจากตระกูลลิเธอร์
คนทั้งหมดที่นั่งอยู่ตรงนี้ไม่ได้พูดอะไรเลยทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่เบนจามินปรากฏตัว สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องมาที่เขาราวกับเป็นไฟฉายในมือตำรวจ มันทำให้เขารู้สึกเหมือนวินาทีต่อมาพวกเขาทั้งหมดจะพูดว่า "ยกมือขึ้น" จากนั้นก็ตามมาด้วยกระสุน
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้งหมดมารออยู่ที่นี่เพราะเขา
"เกิดอะไรขึ้น?"
เบนจามินกลัวนิดหน่อยดังนั้นเขาจึงถามระบบ
“ทำไมท่านถึงตื่นตระหนก ข้าเคยเห็นสถานการณ์แบบนี้มาหลายครั้งแล้ว” ระบบค่อนข้างสงบ หลังจากพูดเช่นนั้น มันก็เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อย ๆ พูดบางอย่างที่เป็นพิษต่อเบนจามินจนเขาตายไปครึ่งตัว
มันกล่าวว่า: "พวกเขามาที่นี่เพื่อยกเลิกการหมั้น”
"..."
เบนจามินหงุดหงิด เหตุใดเขาถึงเก็บนิยายเว็บไว้ในคอมพิวเตอร์เยอะนักนะ มันถึงกับวางยาพิษปัญญาประดิษฐ์ที่ควรจะฉลาดและร่าเริง จนทำให้มันกลายเป็นแบบนี้ไปได้
ถึงกระนั้นเขาก็อดไม่ได้และพูดกับระบบว่า:
“ชีวิตมีขึ้นมีลง อย่าได้ดูถูกชายหนุ่มผู้น่าสงสารคนนี้”
............
กลยุทธ์ปิดเมือง1 หรือ คงเฉิงจี้ เป็นกลยุทธ์ที่หมายความถึงในยามศึกสงคราม หากกำลังทหารไพร่พลเกิดความอ่อนแอหรือมีกำลังน้อย ยิ่งจงใจแสดงให้ศัตรูเห็นว่าในการศึกมิได้มีการวางแนวป้องกัน ทำให้ศัตรูเกิดความฉงนสนเท่ห์(ไม่แน่ใจ) ไม่กล้าผลีผลามนำกำลังเข้าบุกโจมตี ในสถานการณ์ที่ศัตรูมีกำลังมากกว่า การใช้กลยุทธ์ปิดเมืองเพื่อป้องกันกองทัพตนเองเป็นการเลือกใช้กลยุทธ์ที่มีความพิสดารพันลึกเป็นทวีคูณ