บทที่ 559 ความรู้สึกของคนเป็นพ่อเป็นแม่(ตอนฟรี)
บทที่ 559 ความรู้สึกของคนเป็นพ่อเป็นแม่
“เล่ยเล่ย คิดถึงฉันจนทนไม่ไหว เลยอยากชวนฉันไปเปิดห้องเลยเหรอ?”
มุมปากของจี้เฟิงมีรอยยิ้มชั่วร้าย เขาส่งข้อความนี้กลับไปหาถงเล่ยอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนจะกดส่งเขาก็คิดในใจว่า “ถ้าเล่ยเล่ยเห็นข้อความนี้ ไม่รู้ว่าเธอจะมีอาการตอบสนองยังไง!”
อันที่จริง จี้เฟิงรู้จักถงเล่ยดี ด้วยนิสัยของเธอ แม้ว่าเธอจะคิดถึงเขามากแค่ไหน เธอก็จะไม่เปิดเผยออกมาตามตรงทั้งหมด มันน่าจะด้วยบุคลิกของเธอ ซึ่งแตกต่างจากบุคลิกที่มีเสน่ห์เย้ายวนอย่างเซียวหยูซวน รวมถึงนิสัยเปิดเผยของเธอ ถ้าเป็นเซียวหยูซวนที่เห็นข้อความนี้ เธอจะตอบกลับมาอย่างเปิดเผยยิ่งกว่าจี้เฟิงเสียอีก
อย่างไรก็ตาม ถงเล่ยไม่ใช่เซียวหยูซวน เห็นได้ชัดว่าทั้งสองสาวมีสไตล์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นถงเล่ยจึงไม่ได้พูดเช่นนั้น
ที่จี้เฟิงส่งข้อความแบบนั้นออกไป ก็เพื่อหยอกล้อถงเล่ยเท่านั้น เขาอยากทำให้ใบหน้าที่งดงามของถงเล่ยแดงระเรื่อ ดวงตาคู่งามของเธอคงจะดูน่ารักมาก แค่คิดก็ทำให้จี้เฟิงอดยิ้มออกมาไม่ได้
เป็นอย่างที่คิดไว้ ไม่นาน โทรศัพท์ของจี้เฟิงก็สั่นอีกครั้ง มีข้อความตอบกลับมาจากถงเล่ย
จี้เฟิงรีบเปิดข้อความอ่านทันที และเขาก็ต้องตกใจ “ฉันไม่ได้จะชวนนายไปเปิดห้อง! แต่มีคนต้องการชวนฉันไปเปิดห้อง!”
“บ้าเอ๊ย!”
จี้เฟิงโกรธขึ้นมาทันที ใครกันที่มันรนหาที่ตาย? กล้าดียังไงถึงได้ชวนเมียคนอื่นไปเปิดห้อง นี่มันเป็นการยั่วโมโหกันชัดๆ!
ยิ่งไปกว่านั้น ถงเล่ยผู้ซึ่งเป็น ผู้หญิงที่ดูงดงามและสูงส่งยังพิมพ์คำว่า ‘เปิดห้อง’ ออกมาได้ แค่นี้ก็เพียงพอที่จะบอกได้ว่าในใจของเธอกำลังหงุดหงิดมากขนาดไหน อาจถึงขั้นมีความโกรธจางๆ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าความโกรธนี้ส่งถึงใครกันแน่ แต่คนที่กระตุ้นความโกรธของถงเล่ยได้ก็คงจะเป็นคนที่น่าขยะแขยงพอดู!
รอยยิ้มบนใบหน้าของจี้เฟิงหายไป เขาไม่ได้ส่งข้อความโต้ตอบกับถงเล่ยอีกต่อไป เขาตัดสินใจโทรหาถงเล่ยโดยตรง “เล่ยเล่ย เธออยู่ที่ไหน?”
ทันทีที่ถงเล่ยรับสาย จี้เฟิงก็ถามทันที แต่พอได้ยินเสียงรอบข้างที่เสียงดังเล็กน้อย มีเสียงพูดของคนอื่น เสียงดนตรี และเสียงแตรรถปะปนกัน ทำให้จี้เฟิงเดาไม่ถูกเลยว่าถงเล่ยอยู่ที่ไหน
เสียงใสกังวานของถงเล่ยดังขึ้น “ฉันอยู่ที่ร้านอาหารหยานจิง วันนี้พี่สะใภ้คนหนึ่งที่บ้านลากฉันออกมาช้อปปิ้ง แต่พอตกค่ำ ก็ลากฉันมาที่นี่...”
“แล้วไงต่อ?!” จี้เฟิงถาม
แม้ว่าโรงแรมหยานจิงจะหรูหรามาก อีกทั้งคนที่เข้าออกที่นี่ก็ล้วนแล้วแต่ร่ำรวยหรือเป็นมหาเศรษฐี ส่วนเรื่องที่พี่สะใภ้ของถงเล่ยจะพาเธอมากินข้าวที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ถ้าพวกเธอไปนั่งกินข้าวที่ริมถนนคงจะแปลกมากกว่า!
ถงเล่ยพูดอย่างจนปัญญา “จากนั้นเธอก็บอกว่ามีเพื่อนของเธออยู่ใกล้ๆแถวนี้เหมือนกัน ก็เลยโทรเรียกพวกเขามากินข้าวด้วยกัน... เธออยากเป็นแม่สื่อ แล้วก็มีผู้ชายอีกคนหนึ่งเป็นสะพานช่วยเชื่อมให้ เข้าใจมั้ย?”
“เข้าใจแล้ว!”
จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อยและถามว่า “จางเล่ยรู้เรื่องนี้หรือเปล่า?”
“ไม่น่าจะรู้ เพราะพอฉันมาถึงโรงแรมหยานจิง ฉันก็รีบบอกนายก่อนเลย...” ถงเล่ยพูดเสียงอ่อน “จี้เฟิง ช่วยฉันคิดหาวิธีที่จะออกไปจากที่นี่ให้หน่อยได้มั้ย? ฉัน... ฉันไม่รู้จะพูดยังไงดี!”
จี้เฟิงหัวเราะทันที “เล่ยเล่ย เธอก็แค่ผลักประตูแล้วเดินออกไปเลยก็ได้นะ ยังไงพวกเขาก็น่าจะรู้นิสัยของเธอดี พวกเขาคงไม่มีเหตุผลอะไรมารั้งเธอไว้หรอกใช่มั้ย?”
ถงเล่ยเป็นคนเย็นชา แม้ว่าเธอจะมีมุมที่ร่าเริงบ้าง แต่ก็เฉพาะกับบางคนเท่านั้น จี้เฟิงเชื่อว่าแม้กับคนในตระกูลถงเอง ถงเล่ยก็น่าจะทำตัวเย็นชา ดังนั้นในสายตาของพวกเขา การที่ถงเล่ยทำตัวเย็นชาหรือหยิ่งยโส พวกเขาก็น่าจะเคยชินกันแล้ว และถ้าเธอจะออกไปดื้อๆทั้งแบบนั้นก็คงจะไม่มีปัญหา
ถงเล่ยพูดอย่างลำบากใจว่า “นายพูดน่ะมันง่าย แต่ฉันทำแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ แม้ว่าฉันจะไม่ค่อยชอบพี่สะใภ้คนนี้เท่าไหร่ แต่สามีของเธอที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของฉันน่ะ เขาดีกับฉันและพี่ชายมาก จะให้ฉันออกไปทั้งแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่เลย!”
จี้เฟิงตกใจ จากนั้นก็หัวเราะ
เล่ยเล่ยเปลี่ยนไปมากจริงๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อน เธอคงไม่สนใจว่าใครจะคิดยังไง ตราบใดที่เธอคิดว่ามันถูกต้อง หรือคิดว่าอีกฝ่ายมีเจตนาแอบแฝง เธอจะไม่ยอมให้คนคนนั้นบรรลุเป้าหมายได้ง่ายๆ อาจถึงขั้นไม่ไว้หน้า ไม่ยอมให้เข้าใกล้และเธอก็จะไม่ยอมพูดด้วยซ้ำ อย่างมากก็คงมองด้วยหางตา คิดไม่ถึงว่าตอนนี้เธอเรียนรู้ที่จะคิดถึงใบหน้าของผู้อื่น
แต่ทันใดนั้นหัวใจของจี้เฟิงก็เต้นแรงขึ้น เขาตระหนักได้ว่าถงเล่ยคงจะลำบากใจและเขินอายที่จะพูดออกมาตรงๆ เมื่อนึกถึงข้อความแรกที่ถงเล่ยส่งมา จี้เฟิงก็เข้าใจเจตนาของเธอในทันที
เธออยากให้เขาไปหาเธอ แต่เธอหน้าบางเกินกว่าที่จะเอ่ยปากออกมาตรงๆ จึงให้เขาช่วยเธอคิดว่าจะให้เธอทำยังไงดี... สาวน้อยคนนี้!
เมื่อเข้าใจเรื่องนี้ จี้เฟิงก็พูดขึ้นทันที “โรงแรมหยานจิงใช่มั้ย? เล่ยเล่ย เธอรอฉันอยู่ตรงนั้นก่อนนะ อืม... อีกประมาณครึ่งชั่วโมง ฉันน่าจะไปถึง!”
จากบ้านไปโรงแรมหยานจิง ขอแค่รถไม่ติดมาก ประมาณครึ่งชั่วโมงก็น่าจะถึง แต่ถ้ารถติดมาก... นั่นต้องยอมรับว่าเขาโชคร้าย!
“อื้ม ฉันจะรอนาย!” ถงเล่ยรีบพูดทันที น้ำเสียงของเธอแฝงไว้ด้วยความยินดี
หลังจากวางสาย จี้เฟิงก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ เล่ยเล่ยต้องการอยากจะให้เขาไปปรากฏตัวต่อหน้าคนพวกนั้นแน่ๆ เท่ากับเป็นการประกาศเป็นนัยๆว่าตัวเธอเองนั้นมีแฟนแล้ว และก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าใครเลย!
แต่เขากลับมองข้ามความรู้สึกของเธอไป...
จี้เฟิงรีบเดินออกไปจากห้องและหยิบเสื้อโค้ทที่เขาโยนพาดไว้ที่โซฟา จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “พ่อครับ แม่ครับ ผมจะออกไปทานข้าวเย็นกับเพื่อนข้างนอกนะครับ!”
“เสี่ยวเฟิง ฟ้ามืดแล้ว ยังจะออกไปไหนอีก?” เซียวซูเหม่ยรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย “หัดทำตัวเป็นลูกคุณหนูเสเพลไปเที่ยวเล่นที่ไนต์คลับหรือพวกคลับเฮ้าส์แล้วเหรอเดี๋ยวนี้!”
จี้เจิ้นหัวยิ้มแล้วโบกมือ “เอาหน่าซูเหม่ย เสี่ยวเฟิงโตแล้ว อย่ามองเขาเป็นเด็กตลอดไปสิ!”
จี้เฟิงยิ้มและยกนิ้วโป้งให้พ่อของเขาทันที จะมีอะไรดีไปกว่าการที่พ่อและลูกชายเข้าใจกันและกัน
“เข้าข้างกันดีนัก!” เซียวซูเหม่ยถลึงตาใส่ “ต่อให้เขาโตแค่ไหน ต่อหน้าฉันเขาก็ยังเป็นเด็กวันยังค่ำ!”
“ใช่ๆๆ!” จี้เจิ้นหัวและจี้เฟิงพยักหน้าพร้อมกัน เวลาอยู่นอกบ้าน จี้เจิ้นหัวเป็นผู้นำที่ดูน่าเกรงขาม แต่พอกลับมาถึงบ้าน แม่บ้านอย่างเซียวซูเหม่ยคือผู้นำที่แท้จริง จี้เฟิงหรือแม้แต่จี้เจิ้นหัวก็ไม่กล้าขัดคำสั่งเธอ
“แม่ครับ วันนี้ผมต้องออกไปข้างนอกจริงๆ มีคนกำลังทำเรื่องไม่ดีกับลูกสะใภ้ในอนาคตของแม่อยู่นะครับ!”
“เล่ยเล่ยหรือ?!” เซียวซูเหม่ยชะงักไปทันที “เกิดอะไรขึ้นกับเล่ยเล่ย?!”
จี้เฟิงสวมเสื้อโค้ทและพูดขึ้น “ไม่รู้ว่าเธอมีลูกพี่ลูกน้องแบบไหนกัน ถึงได้อยากแนะนำผู้ชายให้เธอจนเนื้อเต้น! เมื่อกี้เธอเพิ่งโทรมาหาผม...”
เขาเล่าเรื่องนี้ให้ฟังอย่างรวบรัด จากนั้นก็หยิบกุญแจรถบนโต๊ะน้ำชาขึ้นมาและกำลังจะเดินออกไป
“เดี๋ยวก่อน!” เซียวซูเหม่ยเรียกเขาไว้และกำชับว่า “เสี่ยวเฟิง ลูกจะไปก็ได้ แต่ห้ามสร้างปัญหา และห้ามเล่นบทเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลจี้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องกลับมาอีก เข้าใจมั้ย?!”
“เป๊าะ—!”
จี้เฟิงดีดนิ้วและพูดด้วยรอยยิ้ม “แม่ไม่ต้องห่วง ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่เริ่มก่อน ผมก็จะไม่ทำอะไร!”
เมื่อเห็นจี้เฟิงวิ่งออกไป เซียวซูเหม่ยก็อดไม่ได้ที่จะพ่นลมออกจมูก “เจ้าเด็กเหลือขอนี่ ชักเอาแต่ใจใหญ่แล้ว!”
จี้เจิ้นหัวส่ายหน้าเบาๆ เขาพูดพลางหัวเราะ “ซูเหม่ย ฉันว่าไม่ใช่เพราะเสี่ยวเฟิงเอาแต่ใจหรืออะไรแบบนั้นหรอก แต่เป็นเพราะเขาค่อยๆเติบโตขึ้น ไม่ได้ติดแม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เธอก็เลยรู้สึกผิดหวังใช่มั้ยล่ะ?”
“ก็คงจะอย่างที่คุณคิดแหละค่ะ!” เซียวซูเหม่ยถลึงตาใส่สามี
จี้เจิ้นหัวหัวเราะหึหึ “ซูเหม่ย พวกเราเป็นพ่อเป็นแม่ ต้องผ่านความรู้สึกแบบนี้ไปให้ได้ ไม่อยากให้ลูกออกไปเที่ยวเล่น แต่กลับอยากให้ลูกเติบโตขึ้น... และถ้าเขาไม่ผ่านลมผ่านฝน เขาจะเติบโตขึ้นได้อย่างไร!”
เซียวซูเหม่ยรู้สึกน้อยใจเล็กน้อย เธอแค่นเสียง “แม้ว่าชีวิตในอดีตจะยากลำบาก แต่เสี่ยวเฟิงมักจะตามหลังฉันไปขายผักหรือไม่ก็ไปเก็บขยะทุกวันหลังเลิกเรียน อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาเหล่านั้นฉันก็ได้เห็นเขาอยู่ในสายตาและเห็นเขาเติบโตขึ้นทุกวัน แต่ตอนนี้ บางครั้งฉันก็ไม่ได้เจอเขานานหลายเดือน และกว่าจะถึงวันที่มหาวิทยาลัยปิดเทอม ก็ช่างยากเย็นแสนเข็ญ สุดท้ายเขาดูยุ่งกว่าคุณเสียอีก... บางครั้งฉันก็เผลอคิดไปว่าเขายังไม่โต!”
จี้เจิ้นหัวหัวเราะหึหึพลางจับมือเซียวซูเหม่ย เขาตบมือของเซียวซูเหม่ยเบาๆและพูดว่า “ซูเหม่ย ความคิดแบบนี้คนเป็นพ่อเป็นแม่ล้วนต้องผ่านมันมาทุกคน เธอต้องปล่อยวางบ้าง แต่ถ้าเธออยู่ที่หยานจิงแล้วเกิดเบื่อๆ ก็ไปพักที่เจียงโจวสักระยะหนึ่ง ยังไงเสี่ยวเฟิงก็มีบ้านอยู่ที่นั่น…”
พ่อแม่ก็เป็นแบบนี้ เฝ้ารอคอยให้ลูกเติบโตขึ้น แต่เมื่อลูกเติบโตขึ้นจริงๆ ในใจก็อดรู้สึกใจหายไม่ได้ และเริ่มตั้งตารอให้ลูกๆได้กลับบ้านมาบ่อยๆ ความคิดที่ซับซ้อนนี้แสดงให้เห็นถึงความรักที่พ่อแม่มีต่อลูก!
เซียวซูเหม่ยกลับส่ายหน้า “ช่างเถอะ ฉันไปก็คงมีแต่ไปรบกวนพวกเขา อยู่ที่หยานจิงนี่แหละดีแล้ว ฉันอยากจะคอยดูว่าเจ้าเด็กนี่จะมีความกตัญญูบ้างหรือเปล่า ยังจำได้หรือไม่ว่ามีแม่คนนี้อยู่ที่นี่!”
จี้เจิ้นหัวส่ายหน้าพลางหัวเราะ ในใจกลับอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเฮือกใหญ่ ลูกนกอินทรีที่โตแล้ว มักจะทิ้งพ่อแม่ไว้เบื้องหลังเสมอ นกอินทรีโผบินไปสู่ท้องฟ้ากว้าง อย่างไรก็ตาม ผู้ชายก็มีมุมที่อ่อนไหว แต่เขาจะไม่แสดงมันออกมาง่ายๆ!
………………..
“โรงแรมหยานจิง โรงแรมหยานจิง..” จี้เฟิงกดระบบนำทางบนหน้าจอสัมผัสที่อยู่บนรถ ขณะเดียวกันก็หยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วโทรไปที่สถานีวิทยุจราจรหยานจิงเพื่อสอบถามเส้นทางจราจรหลายๆเส้นทางที่น่าจะไปได้อย่างรวดเร็วที่สุด
หลังจากนั้นจี้เฟิงก็เหยียบคันเร่ง BMW x6 จนมันพุ่งทะยานและหายไปในความมืด
เนื่องจากก่อนออกจากบ้าน ได้ถูกแม่กำชับไว้ เขาจึงไม่ได้ใช้ความเร็วมากนัก แต่ก็ยังคงรักษาความเร็วภายใต้กฎหมายกำหนดและมุ่งตรงไปที่โรงแรมหยานจิง
ณ โรงแรมหยานจิง ภายในห้องอาหารส่วนตัวสุดหรูบนชั้นสอง มีคน 4-5 คนนั่งล้อมโต๊ะอยู่
ถงเล่ยมีใบหน้าที่สงบนิ่ง เธอนั่งลงบนที่นั่งด้วยท่าทางที่งดงาม ข้างๆเธอมีผู้หญิงคนหนึ่งอายุราวๆสามสิบปีนั่งอยู่ ผู้หญิงคนนี้มีรูปร่างผอมกว่ามาตรฐานเล็กน้อย ทำให้เห็นโหนกแก้มเด่นชัด แต่แววตาของเธอเป็นประกายสดใส มองแวบแรกก็รู้ได้ทันทีว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ฉลาด
ตรงข้ามกันถงเล่ยมีคนสองคนนั่งอยู่ เป็นผู้ชายหนึ่งคนและผู้หญิงหนึ่งคน ชายคนหนึ่งมีอายุประมาณยี่สิบต้นๆ ส่วนผู้หญิงดูแล้วน่าจะมีอายุมากกว่า น่าจะราวๆ 24-25 ปี เธอเป็นคนที่หน้าตาสวยมาก
ส่วนผู้ชายที่อายุยี่สิบต้นๆ ก็หล่อเหลาไม่แพ้กัน ดูแล้วน่าจะเป็นผู้ชายที่มีความสามารถ
“คุณถงเล่ย ฉันได้ยินมาว่าคุณเรียนอยู่ที่สหพันธ์มหาวิทยาลัยเจียงโจวเหรอ?” หลังจากนิ่งเงียบกันมาครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็ถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม
…จบบทที่ 559~❤️