WMR ตอนที่ 14 การติดต่อครั้งแรกกับศาสนจักร
แสงศักดิ์สิทธิ์ปกคลุมโลก
ตามตำนาน นี่คือคำพยากรณ์แรกที่พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพประทานให้ในตอนเริ่มต้นของการสถาปนาศาสนจักร ในยุคสงครามไร้ที่สิ้นสุด สมเด็จพระสันตะปาปาองค์แรกตรัสประโยคนี้อย่างเงียบ ๆ ขณะถือแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ส่องแสงจาง ๆ ไว้ในมือ และปล่อยมันขึ้นสู่ท้องฟ้ายามราตรีในช่วงยุคที่มืดมนที่สุดของมนุษยชาติ
นับตั้งแต่ก่อตั้ง ศาสนจักรใช้เวลานับพันปีในการพัฒนาตนเอง ภาพลักษณ์ที่แต่เดิมเป็นเพียงองค์กรบรรเทาทุกข์ของผู้ยากไร้ ตอนนี้ศาสนจักรได้เปลี่ยนตัวเองและกลายเป็นยักษ์ใหญ่ที่ครอบครองดินแดนแห่งนี้ ย้อนกลับไปเมื่อสามร้อยปีก่อน อาณาจักรฮีเลียสถูกสร้างขึ้นรอบ ๆ สันตะสำนัก1และกลายเป็นอาณาจักรที่มีอำนาจมากที่สุดในทวีป แม้ว่าอาณาจักรจะมีตัวตนที่เรียกกว่าราชวงศ์ดำรงอยู่ด้วย แต่ทุกคนต่างรู้ดีว่าราชวงศ์นั้นเป็นเพียงหุ่นเชิดที่อยู่ในมือของศาสนจักร และสามารถนอนแทบเท้าของเหล่าทวยเทพได้เสมอ
อาจกล่าวได้ว่าเด็กทุกคนที่เกิดมาในอาณาจักรนี้เป็นลูกของพระเจ้า ตั้งแต่วันรับบัพติศมาร้อยวัน คำปฏิญาณในวันแต่งงาน จนถึงงานศพ มันก็มักจะมีองค์ประกอบของศาสนาเกี่ยวข้องอยู่ด้วยเสมอ นี่คือวิธีที่ศาสนจักรใช้ควบคุมชีวิตของทุกคน
ทุกคนเชื่อในพระประสงค์ของพระเจ้า และไม่มีใครกล้าต่อต้านศาสนจักร
ขณะเดียวกันคำพยากรณ์แรก "แสงศักดิ์สิทธิ์ปกคลุมโลก" ก็ถูกจารึกไว้ทุกมุมของโบสถ์ทุกแห่ง
ในฐานะเมืองหลวงของอาณาจักรฮีเลียส มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ซึ่งเป็นโบสถ์เพียงแห่งเดียวในเฮเวนไรท์ย่อมกลายเป็นศูนย์กลางของศาสนจักรอย่างไม่ต้องสงสัย
เวลานี้เบนจามินกำลังนั่งอยู่ในห้องสารภาพบาปห้องหนึ่งภายในมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ มองดูคำที่สลักไว้บนผนัง
“แสงศักดิ์สิทธิ์ปกคลุมโลก”
แน่นอน เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อสารภาพบาป ตามคำบอกเล่าของศาสนจักรในฐานะผู้วิเศษมือใหม่ เขาเป็นคนที่ตกลงสู่บาปโดยการล่อลวงของปีศาจ เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีข้อบกพร่อง เป็นตัวตนที่พระเจ้าปฏิเสธ คำสารภาพไม่มีความหมายสำหรับเขา
เขามาที่นี่เพื่อพบบิชอป
บิชอปแห่งมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ในสายตาของคนทั่วไปเป็นผู้รับผิดชอบงานประจำวันในโบสถ์ แต่ความจริงแล้ว เขายังรับผิดชอบในการไล่ตามและกวาดล้างพวกนอกรีตอีกด้วย โดยถือเป็นหนึ่งในพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโบสถ์---"คนทำความสะอาด"
เบนจามินต้องการคุยกับเขาเรื่องมิเชล
ไม่ใช่ว่าเขาวางแผนที่จะให้ข้อมูลใดแก่ศาสนจักร หรือช่วยให้ศาสนจักรจับมิเชลได้สำเร็จ บอกตามตรง เบนจามินไม่สนใจว่าตอนนี้มิเชลจะเป็นหรือตาย ในฐานะผู้วิเศษที่เพิ่งย่างเท้าก้าวเข้ามาในโถงแห่งเวทมนตร์ สิ่งแรกที่เขาต้องทำนั่นคือปรับปรุงความสามารถของเขา
ผู้วิเศษฝึกฝนอย่างไร?
ทั้งเบนจามินและระบบต่างไม่รู้คำตอบของคำถามนี้ หากเขาอยากรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับผู้วิเศษ เบาะแสเพียงอย่างเดียวคือต้องมองหามิเชลหรือไม่ก็โบสถ์
แต่เขาไม่มีวันโยนตัวเองเข้าไปในอ้อมแขนของมิเชลแน่ ดังนั้นศาสนจักรจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของเขาในขณะนี้
ศาสนจักรต้องมีข้อมูลมากมายเกี่ยวกับผู้วิเศษ และแน่นอนว่าพวกเขาคงไม่ให้พวกมันแก่เขาอย่างแน่นอน สาเหตุที่เขามาที่นี่ก็เพื่อขอร่องรอยของมิเชลจากบิชอปรวมถึงหาสถานที่ทั้งหมดที่เธอเคยไปมาก่อน
เขายังคงจำสิ่งที่แอนนี่พูดก่อนที่เธอจะตายได้ “มิเชล ใต้ต้นไม้ต้นที่สามตรงที่เก่า ข้าฝังของมีค่าทั้งหมดไว้ใต้นั้น อย่าลืมขุดมันขึ้นมา” แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างผู้หญิงสองคนนี้จะดูจอมปลอม แต่เขารู้สึกว่าสิ่งแอนนี่พูดเป็นความจริง
เขาต้องการหาสถานที่ที่มิเชลเคยอยู่ รวมถึง ‘ที่เก่า’ ที่ถูกกล่าวถึงนั่นด้วย
‘ของมีค่า’ ของแอนนี่น่าจะเกี่ยวข้องกับเวทมนตร์ไม่มากก็น้อย เขาต้องการค้นหาสถานที่ที่พวกเธอเคยอยู่ ขณะที่มิเชลล์กำลังยุ่งกับการซ่อนตัว ระหว่างนั้นเขาก็จะไปหา ‘ต้นไม้ต้นที่สาม’ และขุดข้าวของของแอนนี่ตัดหน้ามิเชล
นี่คือเหตุผลที่เบนจามินมาที่ศาสนจักร แม้มันจะมีความเป็นไปได้ที่แอนนี่จะโกหก แม้การถามหาร่องรอยของมิเชลจากบิชอปอาจไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก แต่เขาก็ต้องลองดู หากวิธีนี้ไม่ได้ผล เขาก็สามารถหาทางอื่นได้
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนประเภทที่จะลองทำทุกอย่าง แม้ความหวังที่เขาเห็นในนั้นจะริบหรี่มากก็ตาม มิฉะนั้น ความหวังเล็ก ๆ นั่นจะวนเวียนอยู่ในจิตใจของเขาจนทำให้เขากินไม่ได้นอนไม่หลับ
เขาไม่กลัวว่าศาสนจักรจะสงสัยเขา เนื่องจากต้องไม่ลืมว่า ‘คนทำความสะอาด’ ได้ความทรงจำของเขาไปแล้ว ดังนั้นผู้คนในศาสนจักรจึงไม่สงสัยเขาสักนิด พวกเขาจะจินตนาการได้อย่างไรว่าเขาจะมีสองความทรงจำทั้งก่อนและหลังจากย้ายโลก?
“เซอร์ลิเธอร์”
ทันใดนั้นเสียงต่ำก็ดังขัดจังหวะความคิดของเขา
เบนจามินรู้สึกตัวและหันศีรษะไปทางต้นเสียง ผ่านม่านกั้นห้องสารภาพบาป เขาเห็นเงาของชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่มีจมูกงุ้มนั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง
“ท่านบิชอป” เขาตอบด้วยความเคารพ
เขาต้องการใช้วิธีเหนี่ยวนำธาตุน้ำที่เขาเคยใช้กับนักฆ่าก่อนหน้านี้เพื่อตรวจสอบบิชอป แต่หลังจากที่คิดได้ว่าที่นี่คือโบสถ์ และคนเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะใช้เวทมนตร์แปลก ๆ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยเขาจึงรั้งตัวเองไว้
“ข้าไม่ใช่บิชอป ข้าเป็นเพียงนักบวชผู้หนึ่งที่เต็มใจรับฟังคำสารภาพของผู้คน นำพระเมตตาและพระคุณจากพระเจ้าถ่ายทอดไปยังผู้สำนึกผิดทุกคน” เสียงของอีกฝ่ายสงบนิ่งและเยือกเย็นราวกับไม่ใช่มนุษย์ “ท่านกำลังจะบอกว่าท่านมีข่าวเกี่ยวกับข้ารับใช้ของปีศาจ และต้องการเตือนพระเจ้าใช่รึไม่?”
คนเคร่งศาสนาพวกนี้ชอบพูดถึงพระเจ้าในเกือบทุกอย่างที่พวกเขาพูดถึง เบนจามินอดรู้สึกรังเกียจไม่ได้
อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้แสดงมันออกมา แต่ยังคงพูดด้วยความเคารพ “ใช่ครับ”
บิชอปเงียบไปครู่หนึ่งแล้วถามว่า: “ดังนั้นข้ารับใช้ของปีศาจที่สาปท่านเริ่มสื่อสารกับท่านแล้ว?”
เมื่อได้ยินดังนั้น เบนจามินก็ขมวดคิ้ว
ฝังคำสาป?
คำพูดของบิชอปสร้างความปั่นป่วนในใจเขา มันถึงกับทำให้เขาหันเหความสนใจของเขาจากสมบัติของแอนนี่ ถึงแม้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดจะเป็นเชิงโวหารเล็กน้อย แต่เขาก็ยังเข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่ออะไร: เขาถูกสาป
นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ฉันพลาดอะไรไป?
จู่ ๆ เบนจามินก็รู้สึกไม่ดี
“โอ้จริงด้วย ข้าลืมบอกเรื่องนี้ท่านไปเสียสนิท” ระบบโผล่ออกมา และอธิบาย “ก่อนที่มิเชลจะหนีไป นางร่ายคาถาที่แลดูซับซ้อนใส่ท่าน จากนั้นแสงสีแดงเข้มก็พุ่งเข้ามาและหายไปในหน้าอกของท่าน ในตอนนั้นข้าไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ตอนนี้ ข้าคิดว่ามันน่าจะเป็นคำสาปที่เขาพูดถึง”
“…”
เบนจามินพูดไม่ออกเมื่อถูกระบบหลอกอีกครั้ง
เขาอยากจะตะโกนใส่ระบบว่า “ทำไมไม่พูดให้เร็วกว่านี้!” แต่เขาพูดประโยคนี้ซ้ำหลายครั้งเกินไปแล้ว ซึ่งก็อย่างที่เห็น มันไม่มีประโยชน์ ระบบยังคงทำผิดซ้ำ ๆ เบนจามินตอนนี้ไม่แม้แต่จะรู้สึกโกรธมีเพียงความรู้สึก "ตามคาด" เท่านั้น
และตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลามาโต้เถียงกับระบบอีกด้วย
คำสาป...
แน่นอนว่าเขารู้ดีว่ามิเชลจะไม่ปล่อยเขาไปง่าย ๆ ก่อนหน้านี้เขาเคยงุนงงกับพฤติกรรมที่ใจดีอย่างน่าประหลาดของมิเชล แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันลงล็อคเรียบร้อย มิเชลไม่เคยยอมแพ้ เธอเป็นเหมือนงูพิษที่ทำเพียงถอยกลับ และซุ่มซ่อนอยู่ในความมืดชั่วคราว รอโอกาสโจมตีอีกครั้งอย่างอดทน
แผนของเธอนั้นชัดเจน เธอต้องการใช้คำสาปนี้เพื่อข่มขู่เขา บังคับเขาให้เชื่อฟังเธอ และช่วยให้เธอเข้าถึงคลังสมบัติของตระกูลลิเธอร์ เพื่อช่วยชีวิตน้อย ๆ ของตัวเอง เบนจามินผู้ถูกสาปจะทำทุกอย่างที่เธอต้องการด้วยความกลัว
ไอโชคระยำ!
แต่ไม่นานเบนจามินก็กลับมาสู่ความจริงอย่างรวดเร็ว การพบเรื่องนี้จากปากบิชอปนับว่าไม่คาดคิดอย่างแท้จริง ---- หากเขารู้ช้ากว่านี้สักนิด สถานการณ์จะยิ่งแย่ลงไปอีก
เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาก็เหลือบมองร่างสลัวของบิชอปที่อยู่ประตูถัดไป ความคิดหนึ่งปรากฏขึ้นในใจของเขา
เขาเตรียมตัว เพิ่มน้ำเสียงให้ดูตื่นตระหนก และเริ่มแสดงต่อหน้าบิชอป:
“ชะ... ใช่ครับท่านบิชอป ได้โปรดช่วยข้าด้วย! เช้านี้ข้า... ข้าอยู่ในห้องนอน และพบจดหมายจากแม่มดคนนั้น มันกล่าวว่า... มันกล่าวว่า... ข้าแต่พระเจ้า! ท่านบิชอป นางบอกว่าคำสาปนี้จะฆ่าข้า ได้โปรดช่วยข้าด้วย!”
เบนจามินรู้สึกว่าการแสดงที่เขาแสดงออกมาอย่างฉับพลันนั้นไม่ได้เลวร้ายเกินไปนัก เพราะดูเหมือนบิชอปจะไม่สงสัยเลย
“อย่ากลัวไป พระเจ้าจะปกป้องท่าน” บิชอปยังคงพูดด้วยเสียงโทนเดียว “หายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อย ๆ บอกข้าถึงทุกอย่างที่เขียนในจดหมาย พระองค์จะทรงรับฟังท่าน”
เบนจามินสูดหายใจเข้าลึก ๆ ตามที่บิชอปกล่าว แล้วจึงพูดต่อ “จดหมาย... จดหมายฉบับนั้นบอกข้าว่าข้าอยู่ภายใต้คำสาปของนาง และบอกให้ข้าเชื่อฟังคำสั่ง มิฉะนั้นข้าจะตายอย่างน่าสยดสยอง จะ... จากนั้นนางก็ให้ข้ารอคำสั่งแรก ไม่มีการเอ่ยถึงอย่างอื่นอีก ท่านบิชอป ข้าไม่อยากตายด้วยมือของนาง ท่านต้องช่วยข้านะ ได้โปรด!”
บิชอปไม่ตอบสนองต่อเบนจามินที่กำลัง ‘ตื่นตระหนก’ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงถามอีกครั้งว่า: "จดหมายอยู่ที่ไหน? ท่านเอามันมารึไม่?"
แน่นอนว่าเบนจามินเตรียมคำตอบไว้แล้ว “ไม่ จดหมายมันเผาตัวเองหลังจากที่ข้าอ่านจบ ไม่เหลือไว้แม้แต่ขี้เถ้า หนำซ้ำมันยังเกือบไหม้ปลายนิ้วของข้าด้วย เพียงแค่คิดข้าก็กลัวแทบตาย”
บิชอปเงียบไปราวกับว่าเขาคิดว่านี่เป็นปัญหาที่ยากเช่นกัน
เบนจามินสังเกตบิชอปอยู่พักหนึ่ง เขารู้สึกว่าการเตรียมการใกล้เสร็จสิ้นแล้ว ดังนั้นเขาจึงกล่าวเป้าหมายอันเป็นเหตุให้เขาเริ่มแสดง:
“ท่านบิชอป พลังของพระเจ้าไม่มีที่สิ้นสุด ข้าขอให้พระองค์ช่วยปลดปล่อยคำสาปชั่วร้ายนี้ได้รึไม่?”
แม้คำสาปเล็ก ๆ นี่จะทำให้เขากังวล แต่เขาก็มั่นใจมากว่าศาสนจักรจะต้องมีวิธีแก้คำสาปนี้อย่างแน่นอน ไม่เพียงเท่านั้น ในฐานะที่เป็นผู้พิทักษ์ของโลก ศาสนจักรมีหน้าที่ช่วยเขาในการทำลายคำสาปนี้ ไม่เช่นนั้นชื่อเสียงของพวกเขาจะต้องมัวหมอง
ตราบใดที่ศาสนจักรแก้คำสาปให้เขา ปัญหาอื่น ๆ ทั้งหมดที่ตามมาก็จะหายไปพร้อมกับมัน
ใช้แค่คำสาปแต่กลับอยากให้ฉันทำเชื่อฟัง? มิเชล เธอประเมินฉันต่ำไป!
อย่างไรก็ตามคำตอบของบิชอปกลับนำความผิดหวังมาให้เบนจามิน:
“นี่ไม่ใช่คำสาปธรรมดา มันมีพลังปีศาจที่ทรงพลังมากแฝงอยู่ ท่านรู้รึไม่ว่าบนดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งนี้ยังมีผู้คนอีกนับไม่ถ้วนที่จมอยู่ภายใต้เงาของปีศาจ และพระเจ้ากำลังต่อสู้กับมันอย่างไม่ลดละ จึงไม่สามารถแบ่งพลังมาช่วยท่านทำลายคำสาปนี้ได้ ส่วนผู้รับใช้เช่นข้าก็ไร้พลังที่จะช่วยท่านให้พ้นจากคำสาปที่ชั่วร้ายนี้เช่นกัน”
“...”
ฟังดูน่าเชื่อจริง ๆ....
เบนจามินยังไม่ยอมแพ้และถามต่อว่า “แต่มันไม่มีทางจริง ๆ งั้นรึท่าน? ข้ารับใช้พระเจ้าด้วยใจจริง ไม่ว่ายังไงข้าก็ไม่อยากเป็นหุ่นเชิดของนังแม่มดชั่วร้ายนั่น!”
บิชอปกล่าว “ท่านไม่ต้องกังวลไป พระองค์จะคอยเฝ้ามองท่านอยู่เสมอ ตราบใดที่แม่มดยังคงติดต่อท่านอยู่ ไม่ช้าก็เร็ว นางย่อมเผยข้อบกพร่องออกมา เมื่อเวลานั้นมาถึงเราจะชำระล้างแม่มดชั่วร้าย และไม่ปล่อยให้ท่านหวาดกลัวอีกต่อไป”
จู่ ๆ เบนจามินก็นึกขึ้นได้
ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่สามารถทำลายมันได้ แต่พวกเขาเลือกไม่ทำลายมันต่างหาก ศาสนจักรต้องการเก็บคำสาปนี้ไว้และใช้เขาเป็นเหยื่อปลาใหญ่อย่างมิเชล ดังนั้นพวกเขาจึงแสร้งทำเป็นไร้อำนาจ
พวกหน้าซื่อใจคดที่ถูกล้างสมองพวกนี้ไม่ต่างจากมิเชล
บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่มิเชลคาดไว้อยู่แล้ว เธอรู้ว่าศาสนจักรสามารถถอนคำสาปได้ แต่เธอก็รู้อีกด้วยว่าเพื่อตามล่าเธอ ศาสนจักรจะไม่แก้คำสาปให้เบนจามินอย่างแน่นอน เนื่องด้วยสถานการณ์เหล่านี้ เธอจึงสามารถปล่อยเบนจามินไปได้โดยไร้ความกังวล
เธอรู้ดีว่าทุกอย่างจะยังอยู่ภายใต้การควบคุมของเธอ
ไอพวกปาท่องโก๋เก่า2! หนีหนึ่งมาเจออีกหนึ่ง!
ถึงตรงนี้เบนจามินยอมแพ้โดยสมบูรณ์ ศาสนจักรไม่สามารถแก้คำสาปให้เขาได้ ดังนั้นเขาจึงต้องคิดหาวิธีด้วยตัวเอง
“ท่านบิชอป ข้ามีคำถาม ท่านพอจะรู้เบาะแสของแม่มดนางนี้บ้างรึไม่? เมื่อรู้เรื่องตระกูลของข้าก็โกรธมากและต้องการมีส่วนร่วมในการล่าและช่วยเหลือในฐานะสาวกของพระเจ้า”
เรื่องคำสาปเอาไว้ก่อน ตอนนี้เบนจามินกลับมาทำตามเป้าหมายเดิม---- นั่นคือค้นหา ‘ที่เก่า’ ของมิเชล และขุด ‘ของมีค่า’ ของแอนนี่ขึ้นมาเพื่อใช้มันเป็นก้าวแรกในการเรียนรู้เวทมนตร์
หากการมาโบสถ์ครั้งนี้ของเขาไม่ได้อะไรเลยนอกจากข่าวร้ายเรื่องเขาโดนคำสาป เขาคงต้องกลับไปร้องไห้ในห้องน้ำเป็นแน่
“ครั้งนี้มันเกี่ยวข้องกับผู้ตกสู่บาป ดังนั้นตระกูลของท่านจึงไม่สามารถเข้าร่วมได้ เพื่อความปลอดภัยของตระกูลและตัวท่านเอง โปรดปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้รับใช้ของพระเจ้าเช่นข้าเถิด” แม้แต่คำปฏิเสธ บิชอปก็ยังสามารถทำให้ฟังดูน่าเชื่อถือได้ นี่คงจะเป็นพรสวรรค์ของเขา
เบนจามินที่ได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้รู้สึกผิดหวัง
เขาคาดหวังให้บิชอปปฏิเสธเขาอยู่แล้ว แน่นอนว่านั่นไม่ได้แปลว่าเขายอมแพ้ แต่เขามีวิธีอื่นที่จะทำให้เหตุผลของเขาฟังขึ้น:
“แม้ว่าตระกูลของข้าจะไม่มีใครเทียบได้กับพาลาดินของศาสนจักร แต่ในฐานะคนธรรมดา เราก็มีช่องทางของเราเอง และมันจะเป็นประโยชน์อย่างมากเมื่อต้องการสอบถามข้อมูลที่เป็นความลับ เพราะถึงอย่างไรนางแม่มดคนนั้นก็คงกำลังตื่นตัวอันเนื่องมาจากถูกศาสนจักรไล่ล่า แต่หากเป็นคนธรรมดาอย่างเช่นเรานางคงไม่ตื่นตัวเท่าไหร่นัก ไม่ต้องกังวลไปท่านบิชอป ข้าจะแจ้งให้ท่านทราบทันทีที่มีข่าวมา”
ท่าทีที่แน่วแน่ของเบนจามินทำให้บิชอปประหลาดใจ หลังจากครุ่นคิด บิชอปก็พยักหน้า
“ในเมื่อเจตจำนงของท่านที่มีต่อพระเจ้าแน่วแน่ถึงเพียงนี้ ดังนั้นข้าจะยอมรับความรู้สึกนั้นแทนพระองค์”
ดูเหมือนว่าเป็นเพราะเขาต้องการให้เบนจามินล่อมิเชลออกมา เขาเลยแสร้งทำเป็นเห็นด้วย เบนจามินเดาว่าจากมุมมองของบิชอป การให้ข้อมูลที่ไม่สำคัญแก่เขาอาจทำให้เบนจามินพอใจมากขึ้น และทำให้เขาเป็นเหยื่อล่อของโบสถ์เพื่อจับมิเชลอย่างเชื่อฟัง
แน่นอนว่าบิชอปจะไม่ให้ข้อมูลสำคัญใดแก่เขา ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงพึ่งพาตนเองและข้อมูลบางอย่างที่ล้าสมัย ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วมันจะไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการเพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็คงไม่ยอมให้คนธรรมดาได้รับข้อมูลที่เกี่ยวกับเวทมนตร์
แต่ในมุมมองของเบนจามิน...
“เวทมนตร์จ๋า ฉันมาแล้ว!”
เขาระงับความสุขอันแรงกล้าและหัวเราะในใจ
..............
สันตะสำนัก1 หรือ อาณาจักรอันศักดิ์สิทธิ์ คือองค์กรบริหารส่วนกลางของคริสตจักรโรมันคาทอลิกทั้งหมด และเป็นอาณาจักรทางศาสนาที่เป็นที่ยอมรับตามกฎหมายนานาชาติว่าเป็นรัฐอิสระที่มีประมุขเป็นพระสันตะปาปา และสถาปนาความสัมพันธ์ทางทูตกับประเทศอื่นได้
ปาท่องโก๋เก่า2 อันนี้ผมไม่ค่อยแต่ใจแต่จากที่หาได้มันคือสำนวน หมายถึง คนที่มีนิสัยชอบตีเนียน ลื่นเป็นปลาไหล หรือเป็นคนเจนโลก มีความรู้ประสบการณ์สูงในสายงานนั้น