บทที่ 11 หลอกสำเร็จ
โรเบิร์ตซึ่งกำลังจะตีเฟลิกซ์เหมือนที่คุยในโทรศัพท์ ได้เห็นหลานชายของเขาสวมสูททางการบวกกับรอยยิ้มอันอบอุ่น
ภาพนี้ทำให้สีหน้าที่เข้มงวดของเขาอ่อนลงเล็กน้อย
"ไอ้เด็กเวร แกทำบ้าอะไรถึงได้โทรหาฉันเมื่อวานนี้ ฉันจำได้ว่าปีที่แล้วแกไม่ได้โทรหาฉันเลยสักครั้งตั้งแต่แกมาอยู่ที่นี่"
เขาพูดขณะสัมผัสเข็มขัดเบา ๆ “พูดมา แกเผาโรงแรมจนลุกเป็นไฟ หรือใช้งบประมาณทั้งหมดของแกไปกับการเล่นสนุก?”
เฟลิกซ์ไม่กล้าพล่ามเมื่อเห็นคำเตือนของปู่
“ปู่ คราวนี้ปู่เข้าใจผมผิดแล้ว ผมคิดถึงปู่จริง ๆ และอยากให้ปู่ใช้เวลา 15 วันกับผมที่นี่”
เขาลงไปกอดเข่าปู่แน่นและคร่ำครวญทั้งน้ำตา “รอบตัวผมมีแต่ชายหาดและคนใช้ที่ไม่กล้าพูดเสียงดังต่อหน้าผม ผมรู้สึกเหงาตั้งแต่มาถึงที่นี่”
“ปีที่แล้วผมอยากโทรหาปู่หลายครั้ง แต่ผมรู้ว่าปู่กำลังใช้เวลาส่วนใหญ่สนุกสนานไปกับเพื่อนวัยเกษียณ ผมแค่ไม่อยากรบกวนปู่” เขาจบการแสดงด้วยท่าทางการเช็ดน้ำตาแบบคลาสสิกอย่างรวดเร็ว
โรเบิร์ตจ้องไปที่ดวงตาแดงก่ำของหลานชายและพูดอย่างเฉยเมยว่า "เอาล่ะ เลิกล้อเล่นซะที ฉันไม่ได้ปกครองจักรวรรดิธุรกิจในวัยหนุ่มโดยใช้สมองเพียงครึ่งเดียวเพื่อลงเอยด้วยการเชื่อเรื่องไร้สาระของแก"
เขาแยกตัวจากการกอดของหลานชาย วางอาวุธไว้บนไหล่ของเฟลิกซ์ และเสริมด้วยน้ำเสียงข่มขู่
“บอกมา ความจริงที่แกต้องการให้ฉันมาที่นี่ ส่วนเรื่องเหลวไหลเจ้าเล่ห์ของแก เก็บไว้ฟังคนเดียวเถอะ ฉันแน่ใจว่าแกเลือกเกาะนี้เพื่อที่จะอยู่เฉย ๆ”
เฟลิกซ์ตระหนักว่าแผนของเขาล้มเหลวอย่างน่าสังเวช เขาลืมตำนานความฉลาดของปู่เขาไปได้ยังไง ปู่ที่ยกธุรกิจครอบครัวเพียงลำพังจนถึงจุดที่มันกลายเป็นจักรวรรดิ
ทันใดนั้นน้ำตาของเขาก็เหือดแห้งราวกับเวทมนตร์ เขาทำท่าทางเคร่งขรึมและกระซิบว่า "ปู่ ผมจะบอกปู่เมื่อเราไปถึงโรงแรม เชื่อใจผมนะ"
“โอเค นำทางไป มาดูกันว่าปีที่ผ่านมาแกจัดการโรงแรมยังไง”
“แน่นอน ปู่จะรักการเปลี่ยนแปลงที่ผมทำกับที่นี้ ตามผมมาเลย” เฟลิกซ์ตอบด้วยรอยยิ้มทื่อ ๆ
....
35 นาทีต่อมา
บริเวณหน้าทางเข้าโรงแรม
นิ้วของโรเบิร์ตสั่นเทาขณะชี้ไปที่โรงแรมซึ่งดูเหมือนกำลังจะพังทลายได้ทุกวินาที “ไอ้ ไอ้เด็กเวร แกทำให้มันอยู่ในสภาพที่เลวร้ายอย่างนี้ได้ยังไง!”
เขาหายใจเข้าลึก ๆ และจ้องมองหลานชายด้วยแววตาคมกริบ “แกมีงบประมาณ 30 ล้านดอลลาร์ ถ้าใช้ให้ดี อย่างน้อยแกก็ทำให้มันดูใหม่และสดใสได้ แต่นี่มันอะไรกัน!”
“แกอยู่โรงแรมหรือถ้ำ! บอกมาสิ!!”
เฟลิกซ์รู้สึกอายเล็กน้อยที่ต้องขายหน้าต่อหน้าคนใช้ที่รอต้อนรับปู่ของเขา
เขาไอเพื่อคลายความโกรธของปู่ “ปู่ นี่เป็นแค่ภายนอก ผมใช้งบประมาณส่วนใหญ่ไปกับการตกแต่งภายใน ตามผมมา”
ขณะที่พวกเขาเดินเข้าไปข้างใน เฟลิกซ์ก็ยังคงแนะนำสินค้าฟุ่มเฟือยที่ตัวเขาคนก่อนซื้อด้วยการใช้เงินงบประมาณไปโดยเปล่าประโยชน์
“ดูโซฟาตัวนี้สิ มันทำมาจากผ้าฝ้ายและไหมแท้ โรยด้วยผงสีทอง”
“โต๊ะนี้ทำด้วยไม้บริสุทธิ์ และโรยด้วยผงเงิน”
เฟลิกซ์ไม่รู้ว่าเขากำลังพูดอะไร เขายังคงใช้ประโยคออนไลน์ที่มีชื่อเสียงเพื่ออธิบายเฟอร์นิเจอร์เหล่านี้
“พอ ไอ้เวร ไม้บริสุทธิ์อะไร ไม้เหี้ย ๆ นี่ผสมกับหินหรืออะไรสักอย่างชัด ๆ แล้วโรยด้วยผงทองผงเงินนี่มันอะไรกัน มันไม่ใช่การแต่งหน้าเค้กนะโว้ย!” โรเบิร์ตคำรามด้วยใบหน้ามืดมนหลังจากฟังคำอธิบายไร้สาระของหลานชายมามากพอแล้ว
เขากระทืบพื้นอย่างแรงขณะที่ตะโกนโดยไม่สนใจภาพลักษณ์หรือปัญหาสุขภาพของเขา “นี่มันไม่จริงใช่ไหม ฉันเป็นอัจฉริยะด้านธุรกิจ แม่ของแกเป็นอัจฉริยะด้านอิทธิพลทางสังคม และพ่อของแกเป็นแมงมุมการลงทุนที่สัญชาตญาณไม่เคยผิดพลาด แต่ แกไม่สืบทอดอะไรจากพวกเราเลย นี่มันหลอกลวงกันชัด ๆ”
“ทำไมแกไม่เหมือนลูกพี่ลูกน้องของแกที่ทำงานหนัก และพยายามอย่างเต็มที่ที่จะเลี้ยงดูพ่อแม่ของพวกเขา ทำไมแกถึงไม่เหมือนเดิมล่ะ”
เฟลิกซ์ตอบอย่างโกรธจัด “เพราะผมไม่มีพ่อแม่ไง นั่นล่ะเหตุผล!”
จากนั้นเขาก็ตรงไปที่บันได “ปู่ลิฟต์อยู่ด้านขวา ผมจะไปพบปู่ที่ห้องชุดผม แจ็คจะพาปู่ไปที่นั่น”
โรเบิร์ตอ้าปากค้างตัวแข็งทื่อในทันที เขาไม่รู้ว่าจะโต้กลับอย่างไร
เนื่องจากเขารู้ว่าการเสียพ่อแม่ไปในวัยเด็ก อาจกระตุ้นคนเราให้ทำงานหนัก หรือในกรณีของเฟลิกซ์คือตรงกันข้าม
เขาถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้และสั่ง "แจ็ค นำทางไป"
.....
เฟลิกซ์ซึ่งแสดงความโกรธไปเมื่อไม่นานนี้กำลังยิ้มอย่างชั่วร้ายขณะเดินขึ้นบันได
เขาเข้าใจว่าเขาไม่สามารถหลอกให้ปู่อยู่บนเกาะนี้ได้โดยไม่ให้เหตุผลที่แท้จริงกับเขา แต่ตอนนี้ด้วยการเพิ่มพ่อแม่ของเขาเข้าไป
เขาสามารถโกรธปู่ได้จนกว่าความโกลาหลครั้งใหญ่จะมาถึง โรเบิร์ตจะไม่กล้าออกจากเกาะโดยที่ยังไม่รักษาความสัมพันธ์ของเขากับหลานชาย
'ฮิฮิฮิ ตลกจริง ๆ ฉันไม่ใช่เด็กที่จะโวยวายเหมือนคนขี้แยเรื่องที่พ่อแม่ตายอีกต่อไป ฉันยอมรับความตายของพวกเขาได้นานแล้วและเดินหน้าต่อไป'
'ฉันรู้ว่าแม่ต้องภูมิใจในตัวฉัน และปรบมือเมื่อเธอเห็นว่าฉันสามารถช่วยปู่ได้ยังไง'
'หลับให้สบายนะแม่'
เขาจูบสามนิ้วแล้วชี้ขึ้นไปในอากาศอย่างอบอุ่น
....
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
เฟลิกซ์กำลังนั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นกับปู่ของเขา ดูหนังเรื่อง 'The Invasion day'
(TL: The Invasion day ชื่อไทย ‘ชิปไวรัสล้างโลก’ หนังปี 2013)
โรเบิร์ตกำลังนั่งเหมือนเก้าอี้มีตะปูโรยอยู่ เขาขยับจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งขณะอ้าปากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วเขาก็ถอนหายใจและปิดปาก
เขาทำอย่างนั้นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเฟลิกซ์ตะโกนว่า "นั่งนิ่ง ๆ แล้วดูหนังได้ไหมให้ตายเถอะ มันสำคัญมากสำหรับผมนะ"
โรเบิร์ตเริ่มให้ความสนใจกับหนังเรื่องนี้อย่างเชื่อฟัง เพราะเขาไม่ต้องการทำให้เฟลิกซ์อารมณ์เสียอีก
'ขอโทษนะปู่ มันก็เพื่อประโยชน์ของปู่เองนะ'
...
สองชั่วโมงต่อมา
ฉากเครดิตกำลังเลื่อนขึ้นหน้าจอซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดของภาพยนตร์
โรเบิร์ตพยายามเริ่มบทสนทนาโดยใช้ประโยชน์จากสิ่งที่พวกเขาเพิ่งดูไป
“นี่เป็นหนังที่ดี มันแสดงให้เห็นว่ามนุษย์ไม่ควรเพิกเฉยต่อกัน เพราะไม่มีใครรู้ว่าข้างนอกมีอะไร นรก พรุ่งนี้เวลานี้เราอาจจะถูกรุกรานและถูกฆ่า แกไม่มีทางรู้หรอก”
เฟลิกซ์ตอบกลับอย่างเฉยเมย “ปู่พูดถูก ปู่ไม่มีทางรู้หรอกว่าข้างนอกนั้นเป็นยังไง นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมคน ๆ หนึ่งจึงต้องรักษาอารมณ์ให้คงที่และสงบอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายแก่ตัวเองในกรณีที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น”
โรเบิร์ตพยักหน้าเห็นด้วยแล้วถามว่า “ตอนนี้แกจะทำอะไร”
“ผมจะไปข้างนอก อาหารในโกดังกำลังจะว่างเปล่า”
โรเบิร์ตยิ้ม “ไปเถอะ ไปทำงานเถอะ ฉันจะอยู่ที่นี่ดูทีวี”
เฟลิกซ์หยิบโทรศัพท์และแจ็คเก็ตของเขาเดินออกจากห้องชุด
โรเบิร์ตหยิบรีโมทขึ้นมาแล้วคลิกบนเมนู Netflix
จากนั้น เขาก็เข้าไปในเพลย์ลิสต์ของเฟลิกซ์เพื่อชมภาพยนตร์ที่หลานชายของเขาบันทึกไว้ดู
“เวร มีหนังเอเลี่ยนบุกมากกว่า 20 เรื่อง นี่คงเป็นแนวใหม่ที่เขาชอบแน่ ๆ”
เขาอุทานด้วยความตกใจหลังจากได้เห็นภาพยนตร์เอเลี่ยนจำนวนมากที่เตรียมไว้สำหรับล้างสมองเขา แต่เขายังไม่รู้ตัว
“การจะสานสัมพันธ์กับเขาได้ ฉันต้องเข้าใจรสนิยมการดูภาพยนตร์ของเขา เราจะได้มีเรื่องไว้คุยกัน”
จากนั้นเขาก็สุ่มเลือกภาพยนตร์และเริ่มไล่ดูเพลย์ลิสต์อย่างเต็มอิ่มด้วยความสนใจ
....
เฟลิกซ์ไม่ได้โกหกปู่เรื่องที่อาหารในโกดังว่างเปล่า เนื่องจากไลลาส่งข้อความเตือนเขาให้นำเสบียงใหม่เข้ามา
ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงความโกลาหลครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น และราคาอาหารที่จะพุ่งขึ้นสู่ระดับที่น่าทึ่งในช่วง 2-3 เดือนระหว่างนั้น
เฟลิกซ์ตระหนักว่านี่เป็นโอกาสดีในการใช้ประโยชน์จากมัน
เนื่องจากตอนนี้เขาสามารถซื้ออาหารได้ในราคาถูก และสามารถนำไปใช้จ่ายเป็นค่าธรรมเนียมในการสร้างเกาะใหม่ในเวลาต่อมา
เฟลิกซ์เชื่อว่าในช่วงความโกลาหลครั้งใหญ่ จะต้องมีคนสนใจมายังเกาะที่ว่างเปล่า ซึ่งมีอาหารมากมายและรับประกันความปลอดภัยในระหว่างการปล้นสะดมที่โกลาหล
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจอย่างรวดเร็ว แต่เขาต้องทำเงียบ ๆ เนื่องจากเขาไม่ต้องการกวนน้ำมากเกินไป กลัวว่าลูกพี่ลูกน้องของเขาจะสังเกตเห็นและเริ่มสอดแนมทุกย่างก้าวที่เขาทำ ไม่ว่าจะเพื่อขัดขวางหรือขโมยความคิดของเขา
นี่เป็นเรื่องปกติในประเพณีครอบครัว เนื่องจากเป็นการแข่งขันระหว่างรุ่นน้อง
เราไม่เพียงแค่มุ่งเน้นไปที่การฟื้นฟูกิจการเท่านั้น แต่ยังต้องระวังกับการแทรกแซงของลูกพี่ลูกน้องคนอื่นด้วย
เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาเพื่อนสนิทของแม่
ริง ริง...
"สวัสดี เฟลิกซ์น้อย สบายดีไหม ฉันคิดถึงเธอจัง" เสียงหวานจากปลายสายตอบอย่างอบอุ่น
เฟลิกซ์ตอบอย่างสุภาพว่า “สวัสดีครับป้าแมรี่ ตอนนี้ผมสบายดี ผมแค่โทรมาเช็คสวัสดิภาพของป้า และขอความช่วยเหลือจากป้านิดหน่อย”
ป้าแมรี่หัวเราะอย่างไพเราะและพูดว่า “คิดมากน่าเฟลิกซ์ ว่ามาเลย เธอก็รู้ว่าไม่มีกำแพงกั้นระหว่างเรา”
เฟลิกซ์โกหกหน้านิ่งทันที
“ป้าแมรี่ ผมคิดว่าผมสืบทอดสัญชาตญาณการลงทุนมาจากพ่อ ตอนนี้มันรู้สึกเสียวซ่าและต้องการจะซื้ออาหารมาตุนเป็นจำนวนมาก ผมไม่รู้ว่าทำไม แต่ผมเชื่อในของขวัญของพ่อ” เขาเสริมอย่างรวดเร็วว่า “และแม้ว่าการลงทุนของผมจะไม่ประสบความสำเร็จ ผมก็ไม่เสียหายอะไร เพราะมันเป็นเพียงอาหารแค่ 2 ล้านเหรียญ”
“เจ้าหนู เธอไม่ได้โกหกใช่ไหม เธอก็รู้ดีว่าสัญชาตญาณด้านการลงทุนของพ่อเธอไม่เคยผิดแม้แต่ครั้งเดียว ถ้าเธออ้างว่าเธอมีสัญชาตญาณเดียวกับเขา ฉันจะเสี่ยงลงทุนกับสิ่งที่เธอทำ”
“เชื่อผมเถอะป้า ผมไม่ได้โกหกป้า เพราะผมไม่ได้อะไรจากการทำแบบนั้นเลย”
“ได้ บอกมาว่าต้องการอาหารเท่าไหร่ และอะไรบ้าง”
"ผมต้องการอาหารแห้ง 2 ล้านดอลลาร์ ข้าวสาลี ธัญพืช…ฯลฯ พยายามส่งมาอย่างเงียบ ๆ นะครับป้า ผมไม่อยากเตือนญาติ"
“โอเค อีก 3 วันเธอจะได้รับของที่ส่งไปทางเรือ ฉันจะซื้ออาหารสัก 2-3 ล้านด้วย”
เธอพูดต่ออย่างนุ่มนวล “ถ้าเธอมีสัญชาตญาณของพ่อจริง ๆ สิ่งนี้จะกลายเป็นกำไรมหาศาล แต่ถ้าเป็นเพียงลางสังหรณ์ธรรมดา สูญเสียไปเพียงไม่กี่ล้าน ไม่มีอะไรร้ายแรง”
“ขอบคุณครับป้า ป้าเก่งที่สุด ผมจะโอนเงินไปยังบัญชีธนาคารของป้าตอนนี้เลย บายครับ”
“บายเฟลิกซ์ตัวน้อย”
จากนั้นเฟลิกซ์ก็วางสายและโอนเงิน 2 ล้านดอลลาร์จาก 26 ล้านดอลลาร์ที่เหลืออยู่หลังจากเฟลิกซ์คนก่อนเผาเงิน 4 ล้านดอลลาร์ไปในปีที่ผ่านมาเพื่อซื้อของฟุ่มเฟือยเหล่านั้น
------------------------