ตอนที่แล้วตอนที่78 ความหมายของชื่อหลี่หวง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่80 บาดเจ็บสาหัส

ตอนที่79 การรักษา


ตอนที่79 การรักษา

“ได้เลยพี่สะใภ้เก้า! ข้าจะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ!”

หลิงเฟิงรีบหยิบรายการสมุนไพรแผ่นนั้นและออกเดินทางออกไปทันที ไม่แม้แต่จะเหลือบสายตามองรายชื่อสมุนไพรด้วยซ้ำ

หลี่หวงที่เห็นแบบนั้นก็ยกมือป้องปากหัวเราะคิกคัก หลิงเฟิงคนนี้ช่างน่ารักน่าชังเสียจริงเชียว

หลังจากนั้นไม่นาน หลิงเฟิงก็รีบตีฝีเท้ากลับมา กวาดสายตาหาที่ว่างและเทสมุนไพรกองใหญ่ออกจากแหวนมิติของตน

“พี่สะใภ้เก้า ท่านต้องการสมุนไพรมากมายปานนี้เลยรึ? ประมุขตระกูลซูถึงกับออกมาหาด้วยตัวเอง เอ่ยถามว่าจะเอาไปทำอะไร ข้าก็เลิ่กลั่กแทบตาย!”

“ก็เพื่อพี่ชายของเจ้านั่นแหละ”

หลี่หวงกลั้นหัวเราะทันทีที่ได้เผชิญพบกับความกระตือรือร้นของชายหนุ่มคนนี้

“แน่นอน! ทั้งหมดก็เพื่อพี่ใหญ่ทั้งสิ้น! สมุนไพรแค่นี้ไม่นับว่ามีค่าอันใด! พี่สะใภ้เก้าหากขาดเหลือสิ่งใดก็จงแจ้งมาได้เลย!”

หลิงเฟิงพยักหน้ารัวแรงไปหลายที ท่าทางการแสดงออกเช่นนั้นช่างดูน่ารักเกินหักห้ามใจเกินไปแล้ว!

“ข้าจะไปต้มสมุนไพรในครัว ส่วนเจ้าคอยเฝ้าอยู่ข้างนอกไปก่อน”

เพื่อป้องกันมิให้ก่อเกิดอุบัติเหตุอันไม่คาดฝัน หลี่หวงจึงต้องระมัดระวังและต้องรัดกุมทุกกระบวนการ

หลิงเฟิงตอบตกลงโดยไม่คิดและรีบวิ่งออกไป ขั้นตอนแรกคือการต้มสมุนไพรซึ่งใช้เวลาไม่นาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้หม้อหลอมโอสถวิเศษและเพลิงบัวโลหิตเป็นเครื่องมือ กล่าวได้ว่าใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม เพราะอย่างไรก็ตามแต่ นางได้วางแผนจัดการวัตถุดิบแต่ละชนิดอย่างเป็นสัดเป็นส่วนไว้เรียบร้อยแล้ว นี่ช่วยประหยัดเวลาได้อย่างน้อยสองวันเป็นอย่างต่ำ

อีกครึ่งชั่วยามต่อมา หลี่หวงเปิดประตูเรือนพลางกวักมือเรียกหลิงเฟิงให้เข้ามา

“พี่สะใภ้เก้า ท่านมีอะไรหรือไม่?”

หลิงเฟิงเอ่ยถาม

“เอายาพวกนี้ไปให้พี่เจ้าดื่ม”

หลี่หวงชี้ไปยังชามทั้งหกใบที่วางไว้อยู่บนโต๊ะครัวด้านใน

“ข้าเขียนเวลาระบุไว้หมดแล้วว่า แต่ละชามต้องดื่มห่างกันกี่ชั่วยาม พี่เจ้าต้องดื่มให้หมด!”

หลิงเฟิงที่ได้กลิ่นถึงกับบีบจมูกโดยตรง

“ได้! แต่พี่สะใภ้เก้า! นี่...นี่ยาแขนงใดกันถึงได้มีกลิ่นเหม็นขนาดนี้!”

เขาสงสัยเหลือเกินว่า พี่ชายของเขาจะกล้าซดหมดถ้วยจริงหรือ? หากไม่คงต้องตบหลังคอให้หมดสติไปก่อนค่อยกรอกเข้าปากกระมัง?

“ยาดีย่อมมีรสขม!”

หลี่หวงไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากต้องยกสำนวนเก่าแก่ออกมาเปรียบ สีหน้าของนางดูจริงจังขึ้นหลายส่วนพร้อมกล่าวว่า

“เจ้าอย่าใส่อะไรเพิ่มเข้าไปเด็ดขาด สูตรเปลี่ยนเพียงเล็กน้อยอาจมีผลถึงชีวิต!”

หลิงเฟิงหน้าถอดสีเล็กน้อย และค่อยๆ เก็บยาสมุนไพรทั้งหกชามลงในแหวนมิติของตน ทั้งยังกล่าวทิ้งท้ายว่า

“วางใจเถิดพี่สะใภ้เก้า! ข้าทราบแล้ว!”

หลี่หวงพยักหน้าตอบ

เหตุผลที่ทำไมนางไม่หลอมกลั่นโอสถชนิดเม็ด เหตุผลก็ง่ายมาก เพราะร่างกายขององค์รัชทายาทตอนนี้ค่อนข้างอ่อนแอเป็นอย่างมาก ประสิทธิภาพการดูดซึมไม่ดีเท่าคนปกติ การหลอมกลั่นยาในรูปแบบของเหลวจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด

“ข้าขอตัวไปทำธุระก่อน เดี๋ยวกลับมา”

จากนั้นนางก็หมุนตัวกลับและเดินจากตำหนักรัชทายาทออกไปทันที

“สาวน้อยนางนี้ เตรียมจะไปหาเรื่องคนแล้วกระมัง”

คล้อยหลังที่หลี่หวงจากไป จู่ๆ ก็มีร่างสูงใหญ่ของหลิงฉางเจวี่ยปรากฏขึ้นจากด้านหลังของหลิงเฟิง

“เหี้*!!”

“พี่เก้า! อย่าโผล่ออกมาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียงเช่นนี้ทุกครั้งได้ไหม! ตกใจแทบฉี่ราด!”

หลิงเฟิงกระโดดโหย่งไปไกลด้วยความตกใจสุดขีด ก่อนจะยกมือทาบอกตัวเองพร้อมเสียงถอนหายใจยืดยาว

หลิงฉางเจวี่ยมิได้สนใจอันใด และยังกล่าวต่อด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจังว่า

“เรื่องอาการป่วยของพี่ใหญ่ ข้ามีต้องมีลับลมคมใน พวกเราต้องเดินทางไปหาพวกเผ่าสวรรค์!”

ทันทีที่ได้ยินแบบนี้ ดวงตาคู่นั้นของหลิงเฟิงแปรเปลี่ยนเป็นเฉียมคมในพริบตา แผดจิตสังหารคลุกฟุ้งออกมาทันควัน ก่อนจะเค้นเสียงเย็นกล่าวน้ำเสียงดุร้ายขึ้นว่า

“ปรากฏว่าเป็นฝีมือพวกมัน? เผ่าสวรรค์แล้วอย่างไร! คิดว่ายิ่งใหญ่ปานพลิกฟ้าคว่ำสวรรค์เชียว?!”

“เสี่ยวเฟิง เจ้าไประดมกำลังพลจากเมืองราชาภูตมา”

หลิงฉางเจวี่ยเหลือบสายตามองหลิงเฟิงวูบหนึ่ง นัยน์ตาสีทองอร่ามยามนี้กลับสาดสะท้อนเป็นประกายเลือด

“เข้าใจแล้ว”

หลิงเฟิงพยักหน้าตอบ

ณ จวนตระกูลเย่

หลี่หวงเดินทางมาถึงจวนตระกูลเย่ได้โดยอาศัยการเตร่ถามฝูงชนเป็นระยะ แต่พอมาถึงนางก็พบว่า ที่แห่งนี้มิได้มีแค่นางที่เป็นสมาชิกของตระกูลจวิ๋นที่บุกเข้ามา หนำซ้ำทั่วทั้งบริเวณแห่งนี้ยังเต็มไปด้วยทะเลเลือดสีแดงฉาน!

นอกจากศพที่กระจัดกระจายและกองเลือดนองแล้ว นอกเหนือจากนั้น ภายในจวนตระกูลเย่อันกว้างใหญ่แห่งนี้ก็ไม่มีใครอยู่เลยสักคนเดียว

หลี่หวงหลับตาลงทันทีและแผ่ซ่านสมาธิกระจายออกไปรอบบริเวณเพื่อตรวจจับการมีอยู่ของผู้คน ทว่าผลลัพธ์ที่ได้ช่างน่าแปลกใจนัก เนื่องจากค้นพบว่า ภายในจวนตระกูลเย่อันกว้างใหญ่ไพศาลกลับไร้ซึ่งผู้คน แต่กลับกำลังรวมตัวอยู่ ณ จุดใดจุดหนึ่ง

หลี่หวงยังคงพยายามคลำจิตเพ่งสมาธิต่อไป ใช่แล้ว...ทุกคนในจวนตระกูลเย่กำลังรวมตัวอยู่ในที่แห่งนี้...และสถานที่แห่งนั้นก็คือ ลานฝึกด้านหลังจวน!

ซึ่งภายในลานฝึกด้านหลังจวน หลี่หวงสามารถแบ่งแยกได้ทันทีถึงกลิ่นอายของคนสองกลุ่มที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง กลุ่มหนึ่งปรากฏแรงดันวิญญาณที่ค่อนข้างคุ้นเคย น่าจะเป็นของจวิ๋นโม่เทียนที่กำลังสู้กับใครสักคนอยู่

เมื่อทราบดังนั้นนางก็รีบวิ่งไปหลบมุมหนึ่ง ลอบเร้นเฝ้ามองสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

เมื่อกวาดสายตาออกไปทุกอย่างกลับเป็นอย่างที่นางรู้สึกไม่มีผิด ในลานฝึกมีฝูงชนกลุ่มใหญ่กำลังมุงกันอยู่ แบ่งได้เป็นสองกลุ่มได้แก่ กลุ่มที่ลอบคือพวกตระกูลเย่ ส่วนกลุ่มที่กำลังโดนล้อมก็มิใช่ใครอื่นนอกจาก พวกคนตระกูลจวิ๋น!

อาศัยวิสัยทัศน์อันเฉียบคม หลี่หวงมองทะลุฝูงชนสังเกตเห็รจวิ๋นปิงที่กำลังโดนล้อมกรอบไว้อย่างแน่นหนา

อย่างไรก็ตามแต่ ท่าทีของจวิ๋นปิงในตอนนี้กลับไม่สู้ดีนัก ยามนี้ต้องให้จวิ๋นโม่เหวินพยุงเอาไว้มิให้ล้ม สภาพร่างกายอ่อนแอลงผิดหูผิดตา

“หลี่หวง!”

เย่ฉางที่สังเกตเห็นหลี่หวงแอบมองอยู่ ณ มุมหนึ่งของตัวตำหนัก ก็เอ่ยปากตะโกนเรียกเสียงดังลั่น

เสมือนกับว่าผู้คนของจวนตระกูลเย่ได้รับสัญญาณเป็นนัย ทุกคนหันควับจับจ้องไปยังหลี่หวงจนเป็นตาเดียว

แน่นอน ทุกคนในเหตุการณ์ดังกล่าวโดนสุ้มเสียงเรียกของเย่ฉางดึงดูด รวมไปถึงกลุ่มคนที่กำลังล้อมกรอบพวกตระกูลจวิ๋นบนลานฝึกก็เช่นกัน

ทั้งหมดจับจ้องไปที่หลี่หวง

หลี่หวงหาได้ขยับเขยื้อนอันใดไม่ ปล่อยให้เยาวชนตระกูลเย่กลุ่มหนึ่งตรงเข้ามาจับตนไปตรงหน้าเย่ฉาง ตั้งแต่ต้นจนจบสีหน้าของนางยังคงรักษาความสงบนิ่งไม่เสื่อมคลาย

“หลี่หวง!!”

จวิ๋นปิงที่เห็นหลี่หวงถูกจับตัวไว้ดังนั้น ก็ต้องการจะปราดพุ่งออกไปช่วยหลานสาวของตัวเองทันที ทว่ากลับเป็นไปไม่ได้เลย

ยามนี้แค่จะยืนยังต้องให้จวิ๋นโม่เทียนพยุงเอาไว้ นับประสาอะไรกับจะฝ่าดงศัตรูไปช่วย?

ในเวลานั้นเอง สุ้มเสียงของประมุขตระกูลเย่ก็ดังขึ้นว่า

“ท่านลุงปิง พวกเราก็เป็นศัตรูคู่แค้นกันมาหลายปี คงถึงวันตัดสินแล้วกระมัง หลังจากนี้ตระกูลจวิ๋นจะถูกลบเลือนไปจากเมืองหลวงแห่งนี้”

“อย่าแม้แต่จะคิด!!”

จวิ๋นปิงลั่นวาจาสุดเสียงที่มีด้วยความแค้นอาฆาต

“หากตระกูลเย่ของพวกเจ้ากล้าทำร้ายหลานชายข้าถึงตาย ข้าเองก็จะสังหารบุตรสาวของเจ้าให้ตายเช่นกัน!”

“ท่านลุงปิง อย่าถือสาเรื่องไร้สาระปานนั้น ก็แค่เรื่องระหว่างรุ่นเยาว์ ไฉนถึงไม่ให้พวกเขาจัดการกันเอง? มิเห็นต้องชักจูงเราสองตระกูลก่อเกิดสงครามกันใหญ่โตเช่นนี้เลย...”

“อีกอย่าง ลุงปิงเองก็บาดเจ็บสาหัสไม่น้อย ไฉนไม่กลับจวนไปนอนพักผ่อนอยู่บนเตียงดีๆ? ไม่แน่อาจจะมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกสักปีสองปี! ฮ่าฮ่าๆๆ ...”

วาจาแต่ละคำกล่าวที่เปล่งดังออกมายิ่งทำให้แววตาคู่อสรพิษของหลี่หวงเฉียคมขึ้นเรื่อยๆ ประดุจเหมือนต้องการจะกะซวกหัวใจของประมุบตระกูลเย่ออกมาโดยตรง

นัยน์ตาสีม่วงส่องประกายจรัสช่างลึกล้ำ กลิ่นอายขุมหนึ่งแผ่ไพศาลออกมาจนเยาวชนตระกูลเย่สองคนนั้นที่จับกุมตัวนางไว้อยู่ขนลุกซู่ว สัมผัสได้ถึงภัยอันตราย

“อย่าพูดเหลวไหล!”

จวิ๋นโม่เทียนชี้หน้าใส่ประมุขตระกูลเย่ที่ยังคงหัวเราะเยาะไม่หยุดหย่อน สบถวาจาเสียงดังลั่นด้วยความโกรธเกรี้ยว

“ข้าคิดว่า พวกเขาทั้งรักทั้งเป็นห่วงเจ้ามากเลย ว่าไหมหลี่หวง?”

เย่ฉางแสยะยิ้มกว้างพลางเดินแช่มเท้าก้าวไปหาหลี่หวงที่กำลังโดนกุมตัว พลางยกเรียวนิ้วขึ้นมาเชยคางของหลี่หวง เชิงเย้าหยอกเล่นเล็กน้อย

หลี่หวงถึงกับแสยะยิ้มเยาะอยู่ภายในใจ นี่สินะตัวตนที่แท้จริงของเจ้า?

“เอามือสกปรกของเจ้าออกไป!! อย่าแตะต้องหลี่หวง!!!”

จวิ๋นโม่เทียนพยายามพยุงพ่อของตน แต่ก็เป็นห่วงหลานสาวคนนี้เป็นอย่างยิ่ง

หลี่หวงเงยหน้าขึน้สบสายตากับเย่ฉาง พลางเอ่ยน้ำเสียงเรียบขึ้นว่า

“เจ้าภูมิใจมากเลยรึ?”

เย่ฉางตะลึงงันไปชั่วขณะ ก่อนจะระเบิดหัวเราะเยาะออกมาเสียงดังลั่น

“แน่นอน! ข้ารู้สึกภูมิใจยิ่งนัก! จวิ๋นหลี่หวง เจ้ามันก็แค่เศษขยะชิ้นหนึ่ง! เศษขยะไร้ค่า! แม้จะไม่รู้ว่าไฉนใบหน้าของเจ้าถึงกลับเป็นดังเดิมได้ แต่ข้าย่อมสามารถเปลี่ยนให้เจ้ากลายเป็นนังอัปลักษณ์ได้ดังเดิมเช่นกัน!”

ทันใดนั้นเยาวชนตระกูลเย่สองคนนั้นก็ออกแรงจับกุมหลี่หวงแน่นขึ้นโดยทันที

ความหึงหวง อิจฉา ริษยา...

หลี่หวงได้แต่หัวเราะเยาะเย้นภายในใจ จุดจบของคนพวกนี้ไม่สวยแน่นอน

“ท่านลุงปิง ท่านเองก็เห็นแล้ว ตอนนี้คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลจวิ๋นอยู่ในมือพวกเราแล้ว! ข้าแนะนำให้ท่านอยู่เสียเถิด...หากท่านสูญเสียทายาทสายตรงไป เกรงว่า...ต่อให้พวกเรามีเมตตาปล่อยพวกท่านไปวันนี้ แต่วันหน้าก็คงต้องจบสิ้นอยู่ดี และครั้งนี้ตระกูลเย่เองก็ไม่ผิด! ฮ่าฮ่าๆๆ ...”

ประมุขตระกูลเย่ระเบิดหัวเราะเยาะเสียงดังนั่น ใบหน้าบานฉ่ำราวกับดอกไม้ กลิ่นอายที่แผ่สะพัดออกมาจากร่างเต็มไปด้วยรัศมีความชั่วร้าย ในสายตาของหลี่หวง คนประเภทนี้ นางเกลียดเป็นอย่างยิ่ง

“เจ้ากล้ารึ?!!”

จวิ๋นปิงยังคงพยายามสะบัดหนีให้หลุดจากมือจวิ๋นโม่เทียนที่ห้ามไว้ เขาอยากจะฉีกหนังหน้าสุนัขของมันเสียจริง!

หลี่หวงจ้องตาเย่ฉางเขม็งปราศจากระลอกคลื่นอารมณ์ใด และเอ่ยถามอย่างเฉยเมยขึ้นมาคำหนึ่ง

“บาดแผลของพี่จิว เป็นฝีมือของพวกเจ้ากระมัง?”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด