ตอนที่79 การรักษา
ตอนที่79 การรักษา
“ได้เลยพี่สะใภ้เก้า! ข้าจะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ!”
หลิงเฟิงรีบหยิบรายการสมุนไพรแผ่นนั้นและออกเดินทางออกไปทันที ไม่แม้แต่จะเหลือบสายตามองรายชื่อสมุนไพรด้วยซ้ำ
หลี่หวงที่เห็นแบบนั้นก็ยกมือป้องปากหัวเราะคิกคัก หลิงเฟิงคนนี้ช่างน่ารักน่าชังเสียจริงเชียว
หลังจากนั้นไม่นาน หลิงเฟิงก็รีบตีฝีเท้ากลับมา กวาดสายตาหาที่ว่างและเทสมุนไพรกองใหญ่ออกจากแหวนมิติของตน
“พี่สะใภ้เก้า ท่านต้องการสมุนไพรมากมายปานนี้เลยรึ? ประมุขตระกูลซูถึงกับออกมาหาด้วยตัวเอง เอ่ยถามว่าจะเอาไปทำอะไร ข้าก็เลิ่กลั่กแทบตาย!”
“ก็เพื่อพี่ชายของเจ้านั่นแหละ”
หลี่หวงกลั้นหัวเราะทันทีที่ได้เผชิญพบกับความกระตือรือร้นของชายหนุ่มคนนี้
“แน่นอน! ทั้งหมดก็เพื่อพี่ใหญ่ทั้งสิ้น! สมุนไพรแค่นี้ไม่นับว่ามีค่าอันใด! พี่สะใภ้เก้าหากขาดเหลือสิ่งใดก็จงแจ้งมาได้เลย!”
หลิงเฟิงพยักหน้ารัวแรงไปหลายที ท่าทางการแสดงออกเช่นนั้นช่างดูน่ารักเกินหักห้ามใจเกินไปแล้ว!
“ข้าจะไปต้มสมุนไพรในครัว ส่วนเจ้าคอยเฝ้าอยู่ข้างนอกไปก่อน”
เพื่อป้องกันมิให้ก่อเกิดอุบัติเหตุอันไม่คาดฝัน หลี่หวงจึงต้องระมัดระวังและต้องรัดกุมทุกกระบวนการ
หลิงเฟิงตอบตกลงโดยไม่คิดและรีบวิ่งออกไป ขั้นตอนแรกคือการต้มสมุนไพรซึ่งใช้เวลาไม่นาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้หม้อหลอมโอสถวิเศษและเพลิงบัวโลหิตเป็นเครื่องมือ กล่าวได้ว่าใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม เพราะอย่างไรก็ตามแต่ นางได้วางแผนจัดการวัตถุดิบแต่ละชนิดอย่างเป็นสัดเป็นส่วนไว้เรียบร้อยแล้ว นี่ช่วยประหยัดเวลาได้อย่างน้อยสองวันเป็นอย่างต่ำ
อีกครึ่งชั่วยามต่อมา หลี่หวงเปิดประตูเรือนพลางกวักมือเรียกหลิงเฟิงให้เข้ามา
“พี่สะใภ้เก้า ท่านมีอะไรหรือไม่?”
หลิงเฟิงเอ่ยถาม
“เอายาพวกนี้ไปให้พี่เจ้าดื่ม”
หลี่หวงชี้ไปยังชามทั้งหกใบที่วางไว้อยู่บนโต๊ะครัวด้านใน
“ข้าเขียนเวลาระบุไว้หมดแล้วว่า แต่ละชามต้องดื่มห่างกันกี่ชั่วยาม พี่เจ้าต้องดื่มให้หมด!”
หลิงเฟิงที่ได้กลิ่นถึงกับบีบจมูกโดยตรง
“ได้! แต่พี่สะใภ้เก้า! นี่...นี่ยาแขนงใดกันถึงได้มีกลิ่นเหม็นขนาดนี้!”
เขาสงสัยเหลือเกินว่า พี่ชายของเขาจะกล้าซดหมดถ้วยจริงหรือ? หากไม่คงต้องตบหลังคอให้หมดสติไปก่อนค่อยกรอกเข้าปากกระมัง?
“ยาดีย่อมมีรสขม!”
หลี่หวงไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากต้องยกสำนวนเก่าแก่ออกมาเปรียบ สีหน้าของนางดูจริงจังขึ้นหลายส่วนพร้อมกล่าวว่า
“เจ้าอย่าใส่อะไรเพิ่มเข้าไปเด็ดขาด สูตรเปลี่ยนเพียงเล็กน้อยอาจมีผลถึงชีวิต!”
หลิงเฟิงหน้าถอดสีเล็กน้อย และค่อยๆ เก็บยาสมุนไพรทั้งหกชามลงในแหวนมิติของตน ทั้งยังกล่าวทิ้งท้ายว่า
“วางใจเถิดพี่สะใภ้เก้า! ข้าทราบแล้ว!”
หลี่หวงพยักหน้าตอบ
เหตุผลที่ทำไมนางไม่หลอมกลั่นโอสถชนิดเม็ด เหตุผลก็ง่ายมาก เพราะร่างกายขององค์รัชทายาทตอนนี้ค่อนข้างอ่อนแอเป็นอย่างมาก ประสิทธิภาพการดูดซึมไม่ดีเท่าคนปกติ การหลอมกลั่นยาในรูปแบบของเหลวจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด
“ข้าขอตัวไปทำธุระก่อน เดี๋ยวกลับมา”
จากนั้นนางก็หมุนตัวกลับและเดินจากตำหนักรัชทายาทออกไปทันที
“สาวน้อยนางนี้ เตรียมจะไปหาเรื่องคนแล้วกระมัง”
คล้อยหลังที่หลี่หวงจากไป จู่ๆ ก็มีร่างสูงใหญ่ของหลิงฉางเจวี่ยปรากฏขึ้นจากด้านหลังของหลิงเฟิง
“เหี้*!!”
“พี่เก้า! อย่าโผล่ออกมาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียงเช่นนี้ทุกครั้งได้ไหม! ตกใจแทบฉี่ราด!”
หลิงเฟิงกระโดดโหย่งไปไกลด้วยความตกใจสุดขีด ก่อนจะยกมือทาบอกตัวเองพร้อมเสียงถอนหายใจยืดยาว
หลิงฉางเจวี่ยมิได้สนใจอันใด และยังกล่าวต่อด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจังว่า
“เรื่องอาการป่วยของพี่ใหญ่ ข้ามีต้องมีลับลมคมใน พวกเราต้องเดินทางไปหาพวกเผ่าสวรรค์!”
ทันทีที่ได้ยินแบบนี้ ดวงตาคู่นั้นของหลิงเฟิงแปรเปลี่ยนเป็นเฉียมคมในพริบตา แผดจิตสังหารคลุกฟุ้งออกมาทันควัน ก่อนจะเค้นเสียงเย็นกล่าวน้ำเสียงดุร้ายขึ้นว่า
“ปรากฏว่าเป็นฝีมือพวกมัน? เผ่าสวรรค์แล้วอย่างไร! คิดว่ายิ่งใหญ่ปานพลิกฟ้าคว่ำสวรรค์เชียว?!”
“เสี่ยวเฟิง เจ้าไประดมกำลังพลจากเมืองราชาภูตมา”
หลิงฉางเจวี่ยเหลือบสายตามองหลิงเฟิงวูบหนึ่ง นัยน์ตาสีทองอร่ามยามนี้กลับสาดสะท้อนเป็นประกายเลือด
“เข้าใจแล้ว”
หลิงเฟิงพยักหน้าตอบ
ณ จวนตระกูลเย่
หลี่หวงเดินทางมาถึงจวนตระกูลเย่ได้โดยอาศัยการเตร่ถามฝูงชนเป็นระยะ แต่พอมาถึงนางก็พบว่า ที่แห่งนี้มิได้มีแค่นางที่เป็นสมาชิกของตระกูลจวิ๋นที่บุกเข้ามา หนำซ้ำทั่วทั้งบริเวณแห่งนี้ยังเต็มไปด้วยทะเลเลือดสีแดงฉาน!
นอกจากศพที่กระจัดกระจายและกองเลือดนองแล้ว นอกเหนือจากนั้น ภายในจวนตระกูลเย่อันกว้างใหญ่แห่งนี้ก็ไม่มีใครอยู่เลยสักคนเดียว
หลี่หวงหลับตาลงทันทีและแผ่ซ่านสมาธิกระจายออกไปรอบบริเวณเพื่อตรวจจับการมีอยู่ของผู้คน ทว่าผลลัพธ์ที่ได้ช่างน่าแปลกใจนัก เนื่องจากค้นพบว่า ภายในจวนตระกูลเย่อันกว้างใหญ่ไพศาลกลับไร้ซึ่งผู้คน แต่กลับกำลังรวมตัวอยู่ ณ จุดใดจุดหนึ่ง
หลี่หวงยังคงพยายามคลำจิตเพ่งสมาธิต่อไป ใช่แล้ว...ทุกคนในจวนตระกูลเย่กำลังรวมตัวอยู่ในที่แห่งนี้...และสถานที่แห่งนั้นก็คือ ลานฝึกด้านหลังจวน!
ซึ่งภายในลานฝึกด้านหลังจวน หลี่หวงสามารถแบ่งแยกได้ทันทีถึงกลิ่นอายของคนสองกลุ่มที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง กลุ่มหนึ่งปรากฏแรงดันวิญญาณที่ค่อนข้างคุ้นเคย น่าจะเป็นของจวิ๋นโม่เทียนที่กำลังสู้กับใครสักคนอยู่
เมื่อทราบดังนั้นนางก็รีบวิ่งไปหลบมุมหนึ่ง ลอบเร้นเฝ้ามองสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
เมื่อกวาดสายตาออกไปทุกอย่างกลับเป็นอย่างที่นางรู้สึกไม่มีผิด ในลานฝึกมีฝูงชนกลุ่มใหญ่กำลังมุงกันอยู่ แบ่งได้เป็นสองกลุ่มได้แก่ กลุ่มที่ลอบคือพวกตระกูลเย่ ส่วนกลุ่มที่กำลังโดนล้อมก็มิใช่ใครอื่นนอกจาก พวกคนตระกูลจวิ๋น!
อาศัยวิสัยทัศน์อันเฉียบคม หลี่หวงมองทะลุฝูงชนสังเกตเห็รจวิ๋นปิงที่กำลังโดนล้อมกรอบไว้อย่างแน่นหนา
อย่างไรก็ตามแต่ ท่าทีของจวิ๋นปิงในตอนนี้กลับไม่สู้ดีนัก ยามนี้ต้องให้จวิ๋นโม่เหวินพยุงเอาไว้มิให้ล้ม สภาพร่างกายอ่อนแอลงผิดหูผิดตา
“หลี่หวง!”
เย่ฉางที่สังเกตเห็นหลี่หวงแอบมองอยู่ ณ มุมหนึ่งของตัวตำหนัก ก็เอ่ยปากตะโกนเรียกเสียงดังลั่น
เสมือนกับว่าผู้คนของจวนตระกูลเย่ได้รับสัญญาณเป็นนัย ทุกคนหันควับจับจ้องไปยังหลี่หวงจนเป็นตาเดียว
แน่นอน ทุกคนในเหตุการณ์ดังกล่าวโดนสุ้มเสียงเรียกของเย่ฉางดึงดูด รวมไปถึงกลุ่มคนที่กำลังล้อมกรอบพวกตระกูลจวิ๋นบนลานฝึกก็เช่นกัน
ทั้งหมดจับจ้องไปที่หลี่หวง
หลี่หวงหาได้ขยับเขยื้อนอันใดไม่ ปล่อยให้เยาวชนตระกูลเย่กลุ่มหนึ่งตรงเข้ามาจับตนไปตรงหน้าเย่ฉาง ตั้งแต่ต้นจนจบสีหน้าของนางยังคงรักษาความสงบนิ่งไม่เสื่อมคลาย
“หลี่หวง!!”
จวิ๋นปิงที่เห็นหลี่หวงถูกจับตัวไว้ดังนั้น ก็ต้องการจะปราดพุ่งออกไปช่วยหลานสาวของตัวเองทันที ทว่ากลับเป็นไปไม่ได้เลย
ยามนี้แค่จะยืนยังต้องให้จวิ๋นโม่เทียนพยุงเอาไว้ นับประสาอะไรกับจะฝ่าดงศัตรูไปช่วย?
ในเวลานั้นเอง สุ้มเสียงของประมุขตระกูลเย่ก็ดังขึ้นว่า
“ท่านลุงปิง พวกเราก็เป็นศัตรูคู่แค้นกันมาหลายปี คงถึงวันตัดสินแล้วกระมัง หลังจากนี้ตระกูลจวิ๋นจะถูกลบเลือนไปจากเมืองหลวงแห่งนี้”
“อย่าแม้แต่จะคิด!!”
จวิ๋นปิงลั่นวาจาสุดเสียงที่มีด้วยความแค้นอาฆาต
“หากตระกูลเย่ของพวกเจ้ากล้าทำร้ายหลานชายข้าถึงตาย ข้าเองก็จะสังหารบุตรสาวของเจ้าให้ตายเช่นกัน!”
“ท่านลุงปิง อย่าถือสาเรื่องไร้สาระปานนั้น ก็แค่เรื่องระหว่างรุ่นเยาว์ ไฉนถึงไม่ให้พวกเขาจัดการกันเอง? มิเห็นต้องชักจูงเราสองตระกูลก่อเกิดสงครามกันใหญ่โตเช่นนี้เลย...”
“อีกอย่าง ลุงปิงเองก็บาดเจ็บสาหัสไม่น้อย ไฉนไม่กลับจวนไปนอนพักผ่อนอยู่บนเตียงดีๆ? ไม่แน่อาจจะมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกสักปีสองปี! ฮ่าฮ่าๆๆ ...”
วาจาแต่ละคำกล่าวที่เปล่งดังออกมายิ่งทำให้แววตาคู่อสรพิษของหลี่หวงเฉียคมขึ้นเรื่อยๆ ประดุจเหมือนต้องการจะกะซวกหัวใจของประมุบตระกูลเย่ออกมาโดยตรง
นัยน์ตาสีม่วงส่องประกายจรัสช่างลึกล้ำ กลิ่นอายขุมหนึ่งแผ่ไพศาลออกมาจนเยาวชนตระกูลเย่สองคนนั้นที่จับกุมตัวนางไว้อยู่ขนลุกซู่ว สัมผัสได้ถึงภัยอันตราย
“อย่าพูดเหลวไหล!”
จวิ๋นโม่เทียนชี้หน้าใส่ประมุขตระกูลเย่ที่ยังคงหัวเราะเยาะไม่หยุดหย่อน สบถวาจาเสียงดังลั่นด้วยความโกรธเกรี้ยว
“ข้าคิดว่า พวกเขาทั้งรักทั้งเป็นห่วงเจ้ามากเลย ว่าไหมหลี่หวง?”
เย่ฉางแสยะยิ้มกว้างพลางเดินแช่มเท้าก้าวไปหาหลี่หวงที่กำลังโดนกุมตัว พลางยกเรียวนิ้วขึ้นมาเชยคางของหลี่หวง เชิงเย้าหยอกเล่นเล็กน้อย
หลี่หวงถึงกับแสยะยิ้มเยาะอยู่ภายในใจ นี่สินะตัวตนที่แท้จริงของเจ้า?
“เอามือสกปรกของเจ้าออกไป!! อย่าแตะต้องหลี่หวง!!!”
จวิ๋นโม่เทียนพยายามพยุงพ่อของตน แต่ก็เป็นห่วงหลานสาวคนนี้เป็นอย่างยิ่ง
หลี่หวงเงยหน้าขึน้สบสายตากับเย่ฉาง พลางเอ่ยน้ำเสียงเรียบขึ้นว่า
“เจ้าภูมิใจมากเลยรึ?”
เย่ฉางตะลึงงันไปชั่วขณะ ก่อนจะระเบิดหัวเราะเยาะออกมาเสียงดังลั่น
“แน่นอน! ข้ารู้สึกภูมิใจยิ่งนัก! จวิ๋นหลี่หวง เจ้ามันก็แค่เศษขยะชิ้นหนึ่ง! เศษขยะไร้ค่า! แม้จะไม่รู้ว่าไฉนใบหน้าของเจ้าถึงกลับเป็นดังเดิมได้ แต่ข้าย่อมสามารถเปลี่ยนให้เจ้ากลายเป็นนังอัปลักษณ์ได้ดังเดิมเช่นกัน!”
ทันใดนั้นเยาวชนตระกูลเย่สองคนนั้นก็ออกแรงจับกุมหลี่หวงแน่นขึ้นโดยทันที
ความหึงหวง อิจฉา ริษยา...
หลี่หวงได้แต่หัวเราะเยาะเย้นภายในใจ จุดจบของคนพวกนี้ไม่สวยแน่นอน
“ท่านลุงปิง ท่านเองก็เห็นแล้ว ตอนนี้คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลจวิ๋นอยู่ในมือพวกเราแล้ว! ข้าแนะนำให้ท่านอยู่เสียเถิด...หากท่านสูญเสียทายาทสายตรงไป เกรงว่า...ต่อให้พวกเรามีเมตตาปล่อยพวกท่านไปวันนี้ แต่วันหน้าก็คงต้องจบสิ้นอยู่ดี และครั้งนี้ตระกูลเย่เองก็ไม่ผิด! ฮ่าฮ่าๆๆ ...”
ประมุขตระกูลเย่ระเบิดหัวเราะเยาะเสียงดังนั่น ใบหน้าบานฉ่ำราวกับดอกไม้ กลิ่นอายที่แผ่สะพัดออกมาจากร่างเต็มไปด้วยรัศมีความชั่วร้าย ในสายตาของหลี่หวง คนประเภทนี้ นางเกลียดเป็นอย่างยิ่ง
“เจ้ากล้ารึ?!!”
จวิ๋นปิงยังคงพยายามสะบัดหนีให้หลุดจากมือจวิ๋นโม่เทียนที่ห้ามไว้ เขาอยากจะฉีกหนังหน้าสุนัขของมันเสียจริง!
หลี่หวงจ้องตาเย่ฉางเขม็งปราศจากระลอกคลื่นอารมณ์ใด และเอ่ยถามอย่างเฉยเมยขึ้นมาคำหนึ่ง
“บาดแผลของพี่จิว เป็นฝีมือของพวกเจ้ากระมัง?”