ตอนที่77 เตรียมสร้างปัญหา
ตอนที่77 เตรียมสร้างปัญหา
หลี่หวงไม่กล้าชักช้าอีกต่อไป นางเริ่มกระบวนการฆ่าเชื้อบาดแผลของจวิ๋นหลี่และพันแผลเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
แม้ว่าเลือดจะหยุดแล้ว ทว่าความลึกของบาดแผลกลับช่างดูน่าสยดสยองยิ่งนัก! ต่อให้เห็นหลี่หวง นางเองแค่เห็นก็ยังรู้สึกเจ็บแทน!
บริเวณแข้งขาด้านหนึ่งของจวิ๋นหลี่จิวคล้ายมีบาดแผลถูกแทงด้วยอาวุธลับ พินิจจากร่องรอยคล้ายกับเข็มพิษ ดังนั้นแล้ว หลี่หวงจึงทำการสกัดจุดเบื้องต้นเพื่อป้องกันมิให้พิษร้ายลามไปยังอวัยวะจุดอื่น และให้อีกฝ่ายกลืนโอสถขับพิษที่หลอมกลั่นขึ้นมา
เดินซ้ายทีขาวที หลี่หวงวุ่นวายตลอดทั้งคืนนั้น!
ในที่สุดหลี่หวงก็นั่งลงบริเวณขอบเตียง เฝ้ามองจวิ๋นหลี่จิวด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะหันมากล่าวกับเหยาอวี้พร้อมรอยยิ้มบางว่า
“ข้ายังต้องศึกษาร่ำเรียนวิชาแพทย์ของพวกเจ้าอย่างจริงจังแล้ว หลอมกลั่นโอสถขึ้นมาแต่ละเม็ด ค่อนข้างใช้ความพยายามและเวลาที่มากเกินจำเป็น”
“เจ้านี่เป็นสตรีแปลกคนโดยแท้ มีที่ไหนร่ำเรียนแต่วิชาพิษ ไม่ร่ำเรียนวิชาแพทย์รักษาชีวิต!”
เหยาอวี้เหลือบสายตามองหลี่หวงเจือแววดูแคลน
ทักษะทางด้านการแพทย์ของหญิงสาวนางนี้ค่อนข้างธรรมดา ทว่าในแง่ของศาสตร์พิษและการหักล้างแก้ทางพิษกลับยอดเยี่ยมไร้ที่ติ มีสตรีเพศที่ไหนมีความสนใจที่แปลกประหลาดปานนี้?
หลี่หวงยิ้มทว่าไม่ตอบ ก็นี่เป็นงานอดิเรกของนางตั้งแต่ชีวิตก่อนหน้า จะเกลียดลงได้อย่างไร?
เรียวนิ้วยางของนางแตะสัมผัสบริเวณใบหน้าอันหล่อเหลาของจวิ๋นหลี่จิว ก่อนหน้าใบหน้าของอีกฝ่ายชุ่มชโลมไปด้วยเลือดสด ยามนี้ใบหน้าขาวสะอาดสะอ้านดี แต่ยังมีบาดแผลที่ทิ้งรอยหลงเหลืออยู่บ้าง หากต้องการให้สมานกันโดยสนิทไร้ริ้วรอย จำเป็นต้องใช้เวลารักษาประมาณหนึ่งเดือน!
โชคยังดีที่หลี่หวงใช้โอสถโดยส่วนใหญ่ในการรักษา หากเป็นหมอคนอื่นคงใช้ยาต้มสมุนไพรให้ดื่มประคองอาการ ซึ่งนั่นจะทำให้บาดแผลหายช้ามาก เกรงว่าต้องใช้เวลากว่าครึ่งปี!
จวิ๋นหลี่จิวหลับสนิทเข้าสู่ห้วงนิทราโดยสมบูรณ์ หลี่หวงเองก็ไม่อยากรบกวนเวลาพักผ่อนของอีกฝ่ายมากนัก จึงเพียงเก็บกวาดทำความสะอาดห้องและเปิดประตูเดินจากไป
แต่ทันทีที่นางเปิดประตูออกมาก็ถึงกับอึ้ง เบื้องหน้าปรากฎฝูงชนกลุ่มใหญ่ที่กำลังยืนรออยู่!
ชุดเสื้อผ้าของทุกคนยังคงเดิมดั่งเมื่อคืนก่อน เห็นได้ชัดว่าแต่ละคนมืได้แยกย้ายกลับไปไหน แต่ยืนเฝ้าอยู่ที่นี่ตลอดทั้งคืน!
การที่จวิ๋นหลี่จิวล้มหมอนนอนเสื่อแบบนี้ มันเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งสำหรับตระกูลจวิ๋น!
“หลี่หวง”
จวิ๋นปิงเดินเข้ามาตบไหล่ของหลี่หวงอย่างแผ่วเบา สังเกตเห็นรอยคล้ำใต้ตาของหลานสาวตนเอง แววตาคู่นั้นฉายเงาส่องสะท้อนเปี่ยมล้นไปด้วยความเจ็บปวดใจยิ่งนัก
หลี่หวงยิ้มและส่ายหัวตอบเล็กน้อย
“ข้าไม่เป็นไร”
“แล้วหลี่จิวเป็นอย่างไรบ้าง?!”
จว๋นโม่เหวินผู้นี้น่าจะเป็นคนที่วิตกจริตที่สุดแล้วตลอดคืน ทันทีที่เห็นหลี่หวงเดินออกมา เขาก็รีบพุ่งเข้ามาถามด้วยความกังวล
“ปลอดภัยแล้ว”
หลี่หวงเอ่ยปากตอบน้ำเสียงเรียบ
“ตอนนี้เขากำลังหลับอยู่ ตลอดทั้งเดือนนี้ขอแนะว่าให้พักผ่อน ห้ามใช้พลังและห้ามบ่มเพาะพลังเช่นกัน”
“เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว! ขอบคุณมากหลี่หวง!”
ในที่สุดสีหน้าการแสดงออกของจวิ๋นโม่เหวินก็ดูผ่อนคลายลงในที่สุด เขาสังเกตเห็นถึงร่องรอยความอิดโรยและอ่อนเพลียของหลี่หวงอย่างชัดเจน จึงรีบกล่าวขึ้นทันทีด้วยความเป็นห่วงว่า
“หลี่หวง ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ!”
หลี่หวงรู้สึกอบอุ่นใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินประโยคดังนี้ ทว่าก็ได้แต่ยิ้มบางปฏิเสธตอบไปว่า
“ยังไม่ได้ ข้ายังมีธุระสำคัญที่ต้องออกไปอีก”
นางยังไม่หลงลืม ตอนนี้มีสัญญากับองค์จักพรรพดิที่ต้องสัญญาสัจจะ
เมื่อเห็นหลี่หวงยืนกรานเช่นนั้น จวิ๋นปิงเป็นคนเดียวที่ทราบว่า นางจะต้องไปที่แห่งใดต่อ จึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความขื่นขมใจ
ข้าต้องรบกวนหลานสาวตัวเองอีกแล้ว เฮ้ออ...
หลี่หวงส่งยิ้มให้จวิ๋นปิง ก่อนจะเดินทางกลับไปยังตำหนักของนาง ล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จสรรพ รีบรับประทานอาหารเช้าและออกไปทันที
หลังจากที่หลี่หวงเดินทางออกจากจวนตระกูลจวิ๋นไปแล้ว จวิ๋นปิง จวิ๋นโม่เหวินและจวิ๋นโม่เทียนต่างมองหน้ากันพลางพยักหน้าตอบราวกับเข้าใจกันดี
“ท่านพ่อ นี่เป็นฝีมือพวกตระกูลเย่ไม่ผิดแน่!”
จวิ๋นโม่เทียนเดินมากล่าวกับจวิ๋นปิงด้วยสีหน้าท่าทางที่ค่อนข้างมั่นใจ
จวิ๋นปิงพยักหน้าตอบ เค้นน้ำเสียงเย็นชากล่าวขึ้นว่า
“คนของตระกูลจวิ๋นจะไม่มีวันยอมให้ถูกหยามเหยียดปานนี้! ในเมื่อตระกูลเย่มันไม่ปฏิบัติตามกฎ พวกเราเองก็ไม่จำเป็นต้องสุภาพกับพวกมันอีกต่อไป!”
ทุกวาจาคำกล่าวที่เค้นออกมาจากปากอัดแน่นไปด้วยจิตสังหาร แม้แต่จวิ๋นโม่เทียนและจวิ๋นโม่เหวินยังมีอารมณ์ร่วม เดือดดาลไม่ต่างจากผู้เป็นพ่อ
“รอจนกว่าหลี่หวงจะจากไปลับสายตา ยามนั้นพวกเจ้าตามข้าไปยังจวนตระกูลเย่!”
จวิ๋นปิงสะบัดแขนเสื้อและเดินจากไปทันใด
เรื่องนี้ห้ามบอกหลี่หวงเป็นอันขาด และจะไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับหลี่หวงเป็นอันขาดเช่นกัน!
สำหรับการตัดสินใจในครั้งนี้ จวิ๋นโม่เทียนเห็นด้วยอย่างยิ่ง เขาเร่งเดินทางกลับไปยังตำหนักของตนเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับ ทวงคืนความยุติธรรมของหลานชายคนโตจากจวนตระกูลเย่หลังจากนี้!
ทางด้านจวิ๋นโม่เหวินยังมิได้จากไปไหน แต่เดินวนกลับไปในเรือนพักที่จวิ๋นหลี่จิวนอนอยู่ เปิดประตูเข้าไปอย่างเงียบงัน เฝ้าจับจ้องลูกชายของตนกำลังนอนอยู่เตียงโดยไม่กล้าส่งเสียงใดๆ
“หลี่จิว เจ้ามาน้องสาวที่ดี...”
จวิ๋นโม่เหวินรำพึงเสียแผ่วเบา
“แม่ของเจ้าด่วนจากลาตั้งแต่เจ้ายังเด็ก ก่อนนางจากไป ข้าให้สัญญาว่าจะดูแลเจ้าให้ดีที่สุด...”
จวิ๋นโม่นึกกับตัวเองภายในใจว่า จวิ๋นหลี่จิวไม่น่าจะได้ยิน จึงกล่าวต่อไปว่า
“พ่อของเจ้าคนนี้นับเป็นลูกไม่ได้ประสาของปู่เจ้า ทว่าโชคดียิ่งนักที่ข้ายังมีลูกชายอันน่าภาคภูมิใจเช่นเจ้า ข้ามั่นใจยิ่งนัก...แม่ของเจ้าที่เฝ้ามองจากบนสวรรค์จะต้องกำลังยิ้มแย้มอยู่เป็นแน่ เจ้าเป็นลูกชายที่ประเสริฐที่สุด”
“เจ้าเด็กเหลือขอ ไม่ว่าใครก็ตามที่กล้าทำร้ายเจ้า ท่านพ่อคนนี้จะแก้แค้นมันให้สาสมแน่นอน! ข้าเก็บตัวไม่เคยหาเรื่องใครมาชั่วชีวิต ทว่ามีหรือจะทนเห็นลูกชายของตนถูกรังแกได้? ไม่มีวัน!”
จวิ๋นโม่เหวินทิ้งทวนทุกคนพูดที่อยู่ภายในใจออกไปหมดแล้ว เฝ้ามองจวิ๋นหลี่จิวด้วยความอาลัย และเขาก็จากไปทันที
หลี่หวงในขณะนี้กำลังมุ่งหน้าไปยังวังหลวง
‘นายท่าน! หัดรักตัวเองบ้างได้หรือไม่?’
เหยาอวี้แสดงความไม่พอใจออกมาทันที ไฉนนางคนนี้ถึงหัวรั้นปานนี้ จะต้องให้อาการทรุดหนักกันไปข้างก่อนใช่ไหมถึงจะหยุด?
ไม่สิ ตามความเข้าใจของเหยาวอี้ที่มีต่อหลี่หวง หญิงสาวนางนี้ตราบใดที่ยังมีชีวิต นางจะไม่มีวันหยุดจนกว่าจะได้สิ่งที่ปรารถนามาครอบครอง!
แต่ประเด็นคือ...นางกำลังทำเพื่อนคนอื่นนี่สิ?
ไหนเลยเคยตกลงกันไว้ว่า จะไร้ซึ่งความปรานีเมตตา?
‘ข้ามีความสุขนัก’
หลี่หวงกล่าว
‘ในที่สุดข้าก็ได้พบคุณค่าและบ้านของตนแล้ว’
‘ยามนี้ข้าหลงระเริงไปกับความรู้สึกที่แสนอบอุ่น ในหนึ่งต้องขอยอมรับ ข้ากลัวที่จะกลับสู่ความเปลี่ยวเหงา’
ฉะนั้นแล้ว ในตอนนี้ถึงจะเหนื่อยหน่อย...แล้วยังไงล่ะ?
‘แต่เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเร่งตัวเองปานนี้! การหยิบใช้พลังวิญญาณออกมาไม่หยุดหย่อนตลอดหลานวันมานี้ มันอาจทำให้ร่างกายของเจ้าทรุดหนักได้! ไฉนต้องใจร้อน!’
เหยาอวี้รู้สึกนิสัยของหลี่หวงดี แต่ถึงอย่างไรก็ยังไม่ชอบนิสัยที่มิเคยใส่ใจร่างกายของตนเองแบบนี้เลย!
‘รีบไปรีบกลับจะได้มีเวลาไปสร้างปัญหาต่อ’
พอกล่าวมาถึงประโยคนี้ แววตาของหลี่หวงก็หรี่แคบลงเล็กน้อย เผยแววเหี้ยมโหดส่องสะท้อนวูบหนึ่งออกมา!
“สร้างปัญหา?”
‘นี่เจ้ากำลังจะไปสร้างปัญหากับใคร?’
เหยาอวี้เกิดอาการอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาทันควัน
‘มันก็แน่นอนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? ก็ไอ้บัดซบที่กล้ามทำร้ายพี่จิวจนสาหัสไง!’
“หมายถึงตระกูลเย่ที่กล่าวถึงเมื่อคืนวาน?”
“ถูกต้อง!”
หลี่หวงแสยะยิ้มฉีกกว้างอย่างน่าสยดสยองยิ่งนัก นางเคยบอกที่ไหนว่าจะไม่เอาเรื่องพวกมัน!
....
......
แม้ครั้งนี้นางจะเตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้ว กับความกว้างใหญ่ของวังหลวง แต่กว่าจะมาถึงตำหนักองค์รัชทายาทได้ เล่นเอาหลี่หวงเหนื่อยจัดจนขาเป็นตะคริวตั้งหลายรอบ!
“เจ้ามาเสียที”
หลิงชิงเฉินมิได้ประหลาดใจมากนักเมื่อได้เห็นการมาถึงของหลี่หวง
เห็นชัดได้แจ้งว่า ผู้เป็นบิดานิสัยทรามคนนั้นจะได้ทักทามบอกกล่าวเขาไว้ล่วงหน้าแล้ว
“ตำหนักองค์รัชทยาทของเจ้าจะอยู่ไกลไปไหน!”
ครั้งนี้ไม่มีถือมารยาทสุภาพอีกต่อไป ทันทีที่ได้นั่งหลี่หวงคว้าถ้วยชาขึ้นกระดกรวดเดียวจนหมดเนื่องจากกระหายจัด พลางบ่นไม่มีหยุด
หลิงชิงเฉินยิ้มและกล่าวว่า
“เช่นนั้นพรุ่งนี้ให้ข้าส่งคนไปรับเจ้าย่อมดีกว่า เจ้าอยู่ที่ไหนล่ะ?”
คู่คิ้วขมวดแน่นติดกันในทันใด หลี่หวงเงยหน้ามองหลิงชิงเฉิงทันทีอย่างอดสงสัยมิได้
“พ่อตัวดีของเจ้ามิได้บอกอะไรเจ้าเกี่ยวกับข้าเลยรึไง? น่าตีปากสักทีจริงๆ!”
“พรู๊ดดด...”
หลิงชิงเฉินถึงกับพ่นน้ำชาพรวดออกมาด้วยความตกใจ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาได้ยินใครสักคนพูดกับพ่อคนเองเช่นนี้
“เสด็จพ่อของข้า...ไม่ได้บอกอะไรเลย”
หลิงชิงเฉินรีบยกชายเสื้อขึ้นมาเช็ดมุมปาก ก่อนจะคลี่ยิ้มอ่อนให้
“จวนตระกูลจวิ๋น”
“จวนตระกูลจวิ๋น?”
หลิงชิงเฉินพลันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยิน
“จะว่าไป...เจ้าชื่ออะไร?”
“จวิ๋นหลี่หวง”