ตอนที่75 เปลี่ยนประมุขตระกูล
ตอนที่75 เปลี่ยนประมุขตระกูล
จวิ๋นปิงยกจอกสุราในมือขึ้นชูตอบรับอย่างสบายๆ ก่อนซดรวดภายในจอกเดียว
เหล่าสมาชิกภายในจวนตระกูลจวิ๋น ไม่ได้สอบถามถึงความเป็นมาว่า จวิ๋นปิงออกมาจากวังหลวงได้อย่างไร
พวกเขาเพียงแค่คิดว่า การกลับมาเช่นนี้โดยปลอดภัยได้นับเป็นเรื่องดียิ่งแล้ว!
ไม่จำเป็นต้องทราบถึงกระบวนการระหว่างนั้น
มีเพียงจวิ๋นโม่เทียนและจวิ๋นหลี่จิวเท่านั้นที่สนอกสนใจเรื่องราวความเป็นมานี้ มีหนึ่งคนที่เอาแต่ปิดปากเงียบ ส่วนอีกคนไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงที่จวนเลย
ในฐานะประมุขตระกูลจวิ๋น ชื่อเสียงและเกียรติศักดิ์ของจวิ๋นปิงนั้นสูงส่งมาก ทุกคนในที่แห่งนี้ล้วนแล้วแต่เคราพและชื่นชมจวิ๋นปิงอย่างสุดจะหาไม่ จนถึงขั้นศรัทธาจนคลั่งก็ยังมี!
แต่จุดนี้ต่างคนต่างไม่สามารถเผยแสดงทัศนคติเหล่านี้ออกมาได้มากนัก เพราะทุกคนรู้หน้าไม่รู้ใจ ควรรู้จักวางตัวในระดับหนึ่งเป็นดีที่สุด
อย่างไรก็ตาม หลี่หวงไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้เลย เพราะนางไม่จำเป็นต้องใส่ใจให้เสียเวลา
บุคลิกนิสัยของจวิ๋นปิงเหมือนกับชื่อของเขาตรงตัวเลย ปิงที่แปลว่าน้ำแข็ง โดยปกติเป็นคนเย็นชา พูดน้อย แต่ทำจริง!
เกรงว่าบนผืนพิภพแห่งนี้คงมีเพียงไม่กี่คนที่เคยมีโอกาสได้เห็นจวิ๋นปิงเผยรอยยิ้มอันอบอุ่น อย่างน้อยที่สุดหลี่หวงก็เป็นหนึ่งในนั้น
“ในครั้งนี้ข้ามีเรื่องสำคัญจะประกาศ”
เมื่องานเลี้ยงดำเนินไปได้ครึ่งทาง จวิ๋นปิงก็ป่าวประกาศขึ้นเสียงเง
ทันใดนั้นบรรยากาศเฮฮาทั่วทั้งงานพลันเงียบสงัดลง ทุกสายตาจับจ้องไปที่จวิ๋นปิงโดยพร้อมเพรียง
ยอดฝีมือที่ถูกขนานนามว่า เทมพสงครามของพวกเขากำลังจะป่าวประกาศเรื่องสำคัญอันใด?
ทุกคนต่างรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ!
สีหน้าการแสดงออกของจวิ๋นปิงยังคงเรียบนิ่งไร้ระลอกคลื่นอารมณ์ใด กวาดสายตามองไปหนึ่งรอบถ้วน เขากล่าวขึ้นอย่างแช่มช้าขึ้นว่า
“หลังจากงานประลองจัดอันดับตระกูลสิ้นสุดลงแล้ว ข้าจะส่งมอบตำแหน่งประมุขตระกูลต่อให้แก่โม่เทียน พวกเจ้าเองก็เตรียมตัวกันให้พร้อม”
เมื่อประโยคคำกล่าวนี้หลุดออกมา สีหน้าของทุกคนก็พลันเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง!
บางคนเร่งหันควับจับจ้องไปที่หลี่หวง ทว่าคุณหนูใหญ่ของพวกเขากลับไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ นางยังคงรับประทานอาหารอย่างปกติสุขดี ราวกับว่าเรื่องประกาศนี้นางรู้อยู่ก่อนแล้ว
แม้กระทั่งสีหน้าแววตายังปราศจากการแปรเปลี่ยน ทุกอย่างล้วนปกติดี!
คนที่ดูตกใจกับเรื่องนี้มากที่สุด คงหนีไม่พ้นลุงหกของหลี่หวง จวิ๋นโม่เทียน
เดิมทีเขาพยายามลดการมีอยู่ของตนให้เหลือน้อยที่สุด เพราะไม่อยากเป็นจุดสนใจของผู้ใดทั้งปวง เดิมทีเขาไม่ชอบเข้าร่วมงานรื่นเริงอะไรเทือกนี้อยู่แล้ว แค่ต้องการนั่งขดอยู่ในห้องพลางชื่นชมทิวทัศน์ตามใจอิสรเสรีสุขเท่านั้น
ทว่าวันนี้กลับเป็นตัวพ่อของเขาที่สั่งคำขาดให้มา แต่ใครจะไปคิดว่าผู้เป็นพ่อจะป่าวประกาศยกตำแหน่งประมุขตระกูลให้ตนเองเช่นนี้?
นี่มันเรื่องใหญ่มาก!
พูดตามตรง กระทั่งจวิ๋นโม่เทียนยังรู้สึกสับสน!
จอกสุราในมือของเขาพลันหยุดชะงักจ่ออยู่ที่ปาก ก่อนจะโพล่งลุกขึ้นยืนพรวดพราด จับจ้องไปที่ผู้เป็นพ่ออย่างไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด
เหตุใดกัน?
“ท่านประมุข นี่ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย”
ผู้อาวุโสใหญ่ลุกขึ้นยืนทันทีพร้อมกับไม้เท้าคู่ใจ เขาเอ่ยต่อด้วยสีหน้ากังวลว่า
“ประมุขตระกูลรุ่นก่อนคือโม่เซียว ดังนั้นผู้ที่มีคุณสมบัติรับสืบทอดตำแหน่งนี้ควรมีแต่ลูกที่สืบเชื้อสายตรงจากเขาเท่านั้น ในความเห็นของข้า ผู้ที่เหมาะสมขึ้นรับตำแหน่งประมุขตระกูลรุ่นต่อไปก็คือ คุณหนูใหญ่หลี่หวง!”
ผู้อาวุโสใหญ่กล่าวเช่นนี้ก็ไม่ผิด เพราะหากไล่ตามลำดับรุ่นกันจริงๆ จวิ๋นปิงคือประมุขตระกูลของสองรุ่นก่อนที่เข้ามารับตำแหน่งแทนประมุขตระกูลรุ่นก่อนอย่างโม่เซียวที่จากโลกนี้ไปแล้ว
กล่าวคือในปีนั้น บุตรชายคนที่สามของจวิ๋นปิงผู้ดำรงตำแหน่งประมุขตระกูลจวิ๋นอย่างจวิ๋นโม่เซียวได้เสียชีวิตในสมรภูมิรบ ตามกฎตระกูล มังกรมิอาจไร้ซึ่งศีรษะได้เป็นอันขาด และหลี่หวงในขณะนั้นก็ยังเด็กเกินไปที่จะรับตำแหน่งต่อ จนแล้วจนรอด จวิ๋นปิงจึงต้องกลับมาขึ้นเป็นประมุขตระกูลอีกครั้ง
“หลี่หวง เจ้าคัดค้านหรือไม่?”
จวิ๋นปิงมิได้ตอบคำถามของผู้อาวุโสวใหญ่ แต่หันมาเอ่ยถามความคิดเห็นของหลี่หวงแทน
หลี่หวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่ง วางตะเกียบคู่นั้นในมือลงและเอ่ยตอบน้ำเสียงเรียบว่า
“ไม่”
“คุณหนูใหญ่!!”
ในชั่วขณะนั้น มีหลายต่อหลายคนรีบลุกขึ้นยืนเพื่อทวงความยุติธรรมให้แก้นาง
ตราบใดที่จวิ๋นโม่เทียนได้ขึ้นครองบังเหียน นั่นเท่ากับว่าบรรดาลูกๆ ทั้งหมดของจวิ๋นโม่เทียนจะกลายมาเป็นทายาทสายตรงแทนทันที และหลังจากนั้น โอกาสเปลี่ยนตำแหน่งแบบนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นอีกซ้ำสอง
จวิ๋นหลี่หวงกวาดสายตามองไปยังผู้คนที่ลุกขึ้นยืนทีละคน แววตาของนางช่างเย็นชาไร้ความรู้สึก ประดุจว่า หากไม่ยอมนั่งและหุบปากเสียที นางจะไล่เชือดคอไก่ทีละตัว!
เมื่อบรรดาผู้คนเหล่านั้นได้เห็นสายตาอันน่าสยดสยองของคุณหนูใหญ่ที่สาดเข้าใส่ พวกเขาก็พลันรู้สึกเสียวสันหลังวูบอย่างอดมิได้ ความเดือดดาลภายในใจของพวกเขาค่อยๆ ดับลง
จากนั้นแต่ละคนก็เริ่มนั่งลง
สาตาของคุณหนูใหญ่ช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว!
หลี่หวงหันไปมองจวิ๋นโม่เทียนและยิ้มกล่าวว่า
“ขอแสดงความยินดีด้วยกับลุงหก”
จวิ๋นโม่เทียนยังคงยืนงงไม่เข้าใจสถานการณ์อยู่แบบนั้น เขาตกใจเล็กน้อยทันทีที่เห็นรอยยิ้มนั่นของหลี่หวง
“หลี่หวง ไม่ใช่...”
จวิ๋นปิงไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้คัดค้านใดๆ และเอ่ยเสียงเข้มขึ้นกลบว่า
“ข้าตัดสินใจแล้ว! ในเมื่อทายาทสายตรงไม่คัดค้าน ถือว่าผลเป็นเอกฉันท์!”
หลี่หวงพยักหน้าเสริมเพื่อแสดงให้เห็นว่า นางเห็นด้วยกับคำกล่าวประโยคนี้ของจวิ๋นปิง
บางคนที่อยู่โต๊ะเคียงข้างรู้สึกสับสนไม่ใช่น้อยเช่นกัน บ้างก็คล้อยตามคุณหนูใหญ่ ส่วนมีอีกบางกลุ่มที่มีความสุข...
ทว่าโดยรวมบรรยากาศภายในงานเลี้ยงค่อนข้างกร่อยลงมาก ราวกับทุกคนกำลังรู้สึกหดหู่กับเรื่องนี้
ทันใดนั้นหลี่หวงก็เอ่ยขึ้นคำหนึ่งว่า
“ก็แค่เปลี่ยนถ่ายรุ่นเท่านั้น หลายปีมานี้ท่านปู่เหนื่อยมามากแล้ว ท่านสมควรได้พักผ่อน”
แต่เริ่มเดิมที กลุ่มคนที่สนับสนุนหลี่หวงที่ยังคงมีอารมณ์เดือดดาล ยามนี้ถึงกับฟมดคำพูดไปโดยปริยายเช่นกัน ในเมื่อคุณหนูใหญ่พูดออกมาเองแบบนี้ แล้วพวกเขายังจะเอาอะไรอีกเล่า?
หลี่หวงทราบทันทีว่า จวิ๋นปิงกำลังคิดและวางแผนอะไรอยู่กันแน่ แม้ความฉลาดทางด้านอารมณ์ของนางจะมิได้สูงนัก แต่มันก็มิได้หมายความว่านางจะไม่รู้อะไรเลย!
หลังจากได้ทราบถึงจุดประสงค์ของจวิ๋นปิง หลี่หวงก็รู้สึกตื้นตันใจเล็กน้อย
สายตาของหลี่หวงหันไปจับจ้องจวิ๋นปิงด้วยความซาบซึ้ง
จวิ๋นโม่เทียนกับจวิ๋นหลี่จิว เคยเล่าให้ฟังในยามว่าง โดยคำกล่าวค่อนข้างคลุมเครือว่า ร่างกายของจวิ๋นปิงในตอนนี้ไม่ได้แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
สิบปีก่อน เหตุผลที่จวิ๋นโม่เซียวยืนกรานจะเข้าสู่สมรภูมิรบให้ได้ เป็นเพราะจวิ๋นปิงป่วยหนักจนไม่สามารถลุกจากเตียงได้ แม้แต่เวลาคอแห้งหรือปวดปัสสาวะ ยังต้องเรียกคนให้มาประคองไป แล้วนับประสาอะไรกับการออกไปรบ?
สีหน้าของหลี่หวงพลันมืดขรึมลงเล็กน้อยเมื่อนึกมาถึงจุดนี้ ในตอนนั้นจะต้องป่วยหนักขนาดไหนกับถึงหมดสภาพไม่มีชิ้นดี? และนางก็ค่อนข้างมั่นใจด้วยว่า ปัญหาทางร่างกายของท่านปู่เองก็ใช่ว่าจะหายดีแล้ว เหตุผลที่ท่านปู่ต้องการสละตำแหน่งให้ลุงหก ก็เพื่อไม่อยากให้หลี่หวงขึ้นเป็นประมุขตระกูลในอนาคต
หากในภายภาคหน้าจักรวรรดิซีเหว่ยเกิดสงครามขึ้นอีกครั้ง แล้วตอนนั้นจวิ๋นปิงดันมาป่วยติดเตียงเอง มิใช่ว่าต้องให้หลี่หวงออกไปรบแทนอีกหรอกรึ? แค่จินตนาการก็ปวดใจแล้ว เขาไม่มีทางปล่อยให้ตัวเองทำผิดพลาดซ้ำสองโดยเด็ดขาด!
ระหว่างทานอาหารจวิ๋นปิงลอบสายตามองหลี่หวงที่กำลังดื่มชาอยู่โต๊ะหนึ่ง จากแววตาอันแสนเย็นชาของเขาแปรเปลี่ยนกลายมาเป็นความอบอุ่นในทันใด
เสี่ยวหลี่หวง เจ้าเข้าใจข้าจริงๆ ...
หลังจากร่ำสุรากันไปอีกสองถึงสามรอบใหญ่ บรรยากาศก็ค่อยๆ กลับมาครึกครื้นอีกครั้ง เริ่มมีวาจาเปล่งดังออกมาจากปากของทุกคนทีละคำสองคำจนกลายเป็นบทสนทนาจ้าละหวั่น ราวกับบรรยายกาศอันเงียบฉี่ก่อนหน้าไม่เคยเกิดขึ้น!
“อันที่จริงข้าก็คิดเช่นนั้น...”
ทันใดนั้นก็มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งไม่ทราบลำดับเปล่งเสียงกล่าวขึ้นมาด้วยความเมามาย
“นายท่านหกรับสืบทอดตำแหน่งประมุขเองก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน นายท่านหกมีระดับพลังบ่มเพาะที่สูงมาก อีกสามตระกูลที่เหลือไม่มีทางทำอะไรพวกเราได้แน่!”
“ใช่ ใช่ ใช่...”
บางคนตอบรับเห็นด้วยทันที
“แล้วก็...เอ๊อ!”
ผู้อาวุโสท่านนั้นเรอไปทีหนึ่งและกล่าวต่อว่า
“คุณหนูใหญ่กับองค์ชายเก้าหมั้นหมายกัน ในไม่ช้าก็เร็วก็ต้องเปลี่ยนไปใช้แซ่หลิง เอ๊อ!...ถึงตอนนั้นตระกูลจวิ๋นกับตระกูลหลิงจะเป็นอย่างไรก็ไม่ชัดเจน หากให้คุณหนูใหญ่ขึ้นเป็นประมุขกลับเป็นเรื่องยากที่จะจัดการ...”
ดูท่าแล้วผู้อาวุโสท่านนี้คงดื่มสุรามากเกินไป ทำให้เวลายิ่งพูดเท่าไหร่สุ้มเสียงของเขาก็ยิ่งดังขึ้น จนทุกคนภายในงานเลี้ยงล้วนได้ยินสิ่งที่เขาพูดไปทั้งหมด
และเกือบจะในทันที สีหน้าของทุกคนพลันเปลี่ยนไปโดยทันที!
บางคนที่อยู่อีกโต๊ะตะโกนข้ามกล่าวเสริมกับผู้อาวุโสท่านนั้นว่า
“สิ่งที่ท่านกล่าวคือ...แม้คุณหนูใหญ่จะเป็นทายาทสายตรง แต่สุดท้ายก็เป็นบุตรสาวที่ต้องแต่งออกเรือนในสักวัน ไม่ควรรับตำแหน่งประมุข?”
กลุ่มคนพวกนี้ถูกสถาปนาขึ้นมาทันที เพื่อให้การสนับสนุนจวิ๋นโม่เทียนโดยเฉพาะ!
เป็นความจริงที่ยากจะปฏิเสธ จริ๋นโม่เทียนมีระดับพลังบ่มเพาะที่สูงมาก ดังนั้นการที่เข้ารับตำแหน่งประมุขตระกูลจวิ๋นรุ่นต่อไปนับเป็นอะไรที่เหมาะสมยิ่งแล้วจริงๆ
แต่จวิ๋นโม่เทียนที่ได้ยินบทสนทนาเหล่านั้น สีหน้าการแสดงออกของเขาพลันหมองคล้ำลงในบัดดล แต่เขากลับไม่สามารถพูดอะไรได้เลยในตอนนี้ ทว่าอย่างไร ความรู้สึกเช่นนี้กลับไม่ดีเลยสักนิด! เขาค่อยๆ ลอบสายตาหันไปมองหลี่หวงด้วยความกังวลอย่างแช่มช้า แต่พอเห็นว่านางยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรมากนัก เขาก็แอบถอนหายใจกับตัวเองด้วยความโล่งอก