ตอนที่74 จวิ๋นอี้หมดสติ
ตอนที่74 จวิ๋นอี้หมดสติ
ในเวลาแบบนี้หากมิใช่สถานการณ์ฉุกเฉินจริงๆ คงไม่มีใครพุ่งพรวดเข้ามาเช่นนี้แน่นอน
“นายน้อยจวิ๋นอี้เป็นลมเจ้าค่ะ!”
สาวรับใช้ก้มศีรษะหมอบติดพื้น ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาเนื่องจากรู้สึกผิด
“!! เสี่ยวอี้เป็นลมงั้นรึ?!”
หลี่หวงตื่นตระหนกขึ้นเล็กน้อย
แต่จวิ๋นปิงกลับรู้สึกงุนงงเป็นอย่างยิ่ง จวิ๋นอี้...ในตระกูลของพวกเรามีเด็กผู้ชายชื่อนี้ด้วยรึ?
“ท่านปู่! ข้าขอไปดูเสี่ยวอี้ก่อน!”
หบี่หวงรีบหันไปบอกกล่าวท่านปู่และวิ่งตรงออกไปทันที
จวิ๋นปิงพยักหน้าท่ามกลางความไม่เข้าใจ ทำได้เพียงเฝ้ามองหลานสาวตัวเองจากไปด้วยความร้อนใจ
เขารู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยที่มีใครสักคนทำให้หลานสาวตัวเองต้องเป็นห่วงปานนี้
“จวิ๋นอี้คือใครกัน?”
จวิ๋นปิงเหลือบมองไปทางสาวรับใช้ที่นั่งหมอบอยู่กับพื้น เค้นน้ำเสียงเย็นเอ่ยถามขึ้นคำหนึ่ง
“เรียนท่านประมุข...เป็นเด็กที่คุณหนูใหญ่พากลับมาจากเมืองหงเฟิงด้วยกัน เป็นน้องชายของจวิ๋นฉีแห่งจวนสาขาย่อย”
สาวรับใช้เอ่ยตอบเจือน้ำเสียงสั่นเครือ นางไม่สามารถทานทนต่อแรงกดดันที่แพร่สะพัดออกจากร่างของประมุขตระกูลได้!
น้องชายของจวิ๋นฉี?
จวิ๋นปิงครุ่นคิดอยู่สักพัก หากจำไม่ผิดจวิ๋นฉีเป็นนักอัญเชิญสองธาตุ พรสวรรค์ของนางนับว่าไม่เลวเลย
ในเมื่อหลี่หวงเจตนาพากลับมาเองเช่นนี้ จวิ๋นปิงเองก็ไม่คิดจะไถ่ถามอันใดให้มากความอีกต่อไป เพราะเขาค่อนข้างตามใจหลานสาวคนนี้อยู่แล้ว
“เช่นนั้นเจ้ากลับออกไปเถอะ”
จวิ๋นปิงเค้นเสียงเย็นไล่ไป
“เจ้าค่ะ!”
สาวรับใช้พยายามลุกขึ้นเนื้อตัวสั่นเทาไม่หยุด และรีบจากไปโดยไว
ตั้งแต่ต้นจนจบ นางแข้งขาอ่อนแทบยืนไม่ขึ้น!
“น้องหลี่หวง! เจ้ามาเสียที! มาดูอาการน้องอี้เร็ว!”
ไม่มีใครอยู่ในตำหนักของจวิ๋นอี้เลย นอกเสียจากจวิ๋นฉี
ใบหน้าของนางยามนี้ซีดเผือดยิ่ง ใบหน้าฉายแววตื่นตระหนก!
“เกิดอะไรขึ้นกัน?”
หลี่หวงขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นจวิ๋นอี้นนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง
“ข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนที่ข้าเดินทางมาหาน้องอี้ เขากลับเป็นลมหมดสติอยู่บนพื้นแล้ว!”
จวิ๋นฉีประหม่าลนลานจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว ในขณะที่เอ่ยกล่าวราวกับกำลังจะร้องไห้
“หลีกทางไป”
หลี่หวงตรงเข้ามาพร้อมผลักร่างจวิ๋นฉีที่ยืนอยู่ข้างเตียงให้หลบออกไป จากนั้นก็รีบทาบนิ้วตรวจชีพจรของจวิ๋นอี้โดยไว
“เจ้าออกไปก่อนเถิด”
หลี่หวงมิได้แลเหลียวกลับไปมอง กล่าวทั้งแบบนี้กับจวิ๋นฉีที่อยู่ด้านหลัง
การที่มีนางอยู่แบบนี้ มันย่อมส่งผลกระทบต่อการวินิจฉัยของหลี่หวง
จวิ๋นฉีเองกก็รู้ตัวดีว่า อยู่ตรงนี้ไปก็ไม่สามารถช่วยเหลืออะได้ นางจึงเลือกก้าวถอยออกไปอย่างช้าๆ
“เหยาอวี้ ช่วยข้าตรวจสอบร่างกายของเสี่ยวอี้หน่อย”
หลี่หวงรำพึงขึ้นคำหนึ่ง
‘ได้!’
ร่างกายของเหยาอวี้ลอยขึ้นมางห้วงอากาศ ใช้ม่านพลังบางอย่างเข้าปกคลุมทั่วทั้งร่างของจวิ๋นอี้ หลังจากผ่านไปหลายชั่วอึดใจ ดวงตาคู่นั้นที่หลับสนิทของมันก็ได้เบิกขึ้นอีกครั้ง
“เป็นอย่างไรบ้าง?”
หลี่หวงเอ่ยถาม
คู่คิ้วของเหย่าอวี้ขมวดย่นเข้าหากัน
“เขากลืนโอสถโสมหยกลงไป”
“โอสถโสมหยก!?”
หลี่หวงแทบสะดุ้งเฮือกด้วยความตกตะลึงสุดขีด นางเข้าใจได้ในทันใดว่า ไฉนจวิ๋นอี้ถึงหมดสติไปเช่นนี้
โอสถโสมหยกที่ว่าหาใช่โอสถราคาแพงหรือของหายาก
ในทางตรงกันข้าม โอสถโสมหยกเป็นเพียงโอสถขั้นพื้นฐานระดับชั้นเพียงแค่หนึ่ง หรือก็คือโอสถบำรุงกำลังที่ผู้คนส่วนใหญ่นิยมใช้กัน!
ในบรรดาโอสถขั้นพื้นฐานทั้งหมด ไม่มีโอสถชนิดใดที่บำรุงกำลังได้ดีเยี่ยมไปกว่าโอสถโสมหยกอีกแล้ว
แต่นี่แหละ...คือสาเหตุสำคัญของเรื่องนี้!
เนื่องจากสภาพร่างกายในปัจจุบันของจวิ๋นอี้ได้รับบาดเจ็บสาหัส เพิ่งฟื้นตัวจากพิษมาไม่นาน ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถทนต่อการขัดเกลาฤทธิ์โอสถในร่างกายได้!
แทนที่จะช่วยเหลือเสริมกำลัง แต่กลับเป็นการทำร้ายแทน!
“เหยาอวี้ช่วยข้าที!”
หลี่หวงพยุงร่างของจวิ๋นอี้ขึ้นมา ยกฝ่ามือเข้าแนบชิดกับแผ่นหลังอีกฝ่าย
ทางเดียวที่ช่วยได้ในตอนนี้คือ หลี่หวงจำเป็นต้องใช้ไฟวิเศษสีครามฟ้าของหม้อหลอมวิเศษ เพื่อใช้ในการดูดซับฤทธิ์โอสถส่วนเกินที่ร่างกายของจวิ๋นอี้ไม่สามารถขัดเกลาได้ออกมา
มันเป็นไฟวิเศษชนิดเดียวกับที่ช่วยเผาผลาญพิษตกค้างในร่างกายของหลี่หวงตอนแรก มีชื่อว่าเพลิงเทพไพลิน
อย่างไรก็ตาม เหตุผลที่หลี่หวงแทบจะไม่เคยหยิบใช้ไฟวิเศษชนิดนี้ออกมาเลยก็เพราะ ทักษะในการควบคุมเพลิงเทพไพลินของนางยังไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นการจะหยิบใช้ในแต่ละครั้งจำเป็นต้องขอยืมกำลังของเหยาอวี้คอยช่วยเหลืออีกแรง
“อืม!”
เหยาอวี้ลอยไปหยุดตรงหน้าจวิ๋นอี้อย่างว่าง่าย และสำแดงใช้เพลิงเทพไพลินออกมาพร้อมเพรียงคู่หลี่หวง ทันใดนั้นเองร่างวิญญาณของเหยาอวี้ก็กระโดดเข้าไปในร่างของอีกฝ่ายโดยตรง!
ทั้งนี้ก็เพื่อควบคุมเพลิงเทพไพลินให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด และยังช่วยปกป้องไม่ให้เพลิงเทพไพลินไปเผาไหม้โดนอวัยวะภายในของจวิ๋นอี้ ส่วนบังคับด้านนอกจากเป็นหน้าที่ของหลี่หวง พลังวิญญาณของนางไหลทะลักออกจากน้ำประดุจน้ำป่าไหลหลากอย่างต่อเนื่อง
ทว่านางเองก็ไม่กล้าคล้ายกำลังลดอ่อน ทั่วหน้าผากค่อยๆ ปรากฏเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นและซึมซาบรินไหลลงมา
เพลิงเทพไพลินโคจรหมุนติ้วอยู่ในร่างของจวิ๋นอี้นับหลายร้อยรอบ และใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วยามเต็มก่อนที่กระบวนการรักษาทั้งหมดจะสิ้นสุดลง หลี่หวงถึงกับล้มตัวลงข้างขอบเตียง เสียงหายใจหอบถี่ด้วยความเหน็ดเหนื่อย
“ปลอดภัยแล้ว”
คล้อยหลังเหยาอวี้ตรวจสอบสภาพร่างกายของจวิ๋นอี้ซ้ำเสร็จสิ้น และพบว่าไม่มีปัญหาใดตกค้างเหลืออยู่อีกต่อไป มันจึงหันมารายงานกับหลี่หวง
หลี่หวงพยักหน้าตอบไปทีหนึ่ง พลางยกแขนเสื้อขึ้นปาดเช็ดหยาดเหงื่อทั่วใบหน้า
“เข้ามาสิ”
หลี่หวงถอนม่านพลังกันเสียงออกไป เพราะพึงทราบดี จวิ๋นฉีน่าจะเฝ้าอยู่นอกประตูเรือนหน้าห้องอยู่ตลอดไม่ไปไหน และกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยินบทสนทนาก่อนหน้า จึงเป็นเหตุผลที่ต้องทำเช่นนี้ไว้
ประตูเรือนถูกเปิดออกในพริบตา จวิ๋นฉีรีบสิ่งเข้ามาที่ข้างเตียงทันที
“ไฉนน้องอี้ยังไม่ได้สติล่ะ?”
จวิ๋นฉีหันกลับไปมองหลี่หวง
“อาจต้องใช้เวลาพักฟื้นสักหน่อย แต่ไม่เป็นไรแล้ว”
หลี่หวงเดินไปรินชาพลางกระดกหมดถ้วยอึกใหญ่ หลังจากชุ่มคอขึ้นบ้างก็เอ่ยต่ออีกว่า
“เรื่องนั้นกลับไม่สำคัญเท่ากับเรื่องที่ข้าจะถามเจ้าต่อไปนี้”
“มีอะไรรึ?”
จวิ๋นฉีขมวดคิ้วแล็กน้อย เผยสีหน้าไม่เข้าใจ
“โอสถที่เสี่ยวอี้กลืนลงไป มันมาจากไหน?”
หลี่หวงจับจ้องไปยังจวิ๋นฉีตาเขม็ง นางเชื่ออย่างยิ่งว่า เรื่องนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับจวิ๋นฉีแน่นอน
นางทราบดีว่า โอสถแต่ละเม็ดที่หลอมกลั่นขึ้นมาได้มันมีค่าเพียงมด และหลี่หวงก็ค่อนข้างมั่นใจว่า คนที่สามารถหลอมกลั่นโอสถชนิดนี้ได้นอกจากซูจิ่งเยว่แห่งวังหลวงแล้ว มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเป็นนักหลอมโอสถที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีจากสี่ตระกูลใหญ่
นักหลอมกลั่นโอสถจากสี่ตระกูลใหญ่ แม้จะเป็นนักหลอมโอสถชั้นต้นถึงชั้นกลาง แต่ก็ยังพอมีบางคนที่สามารถหลอมกลั่นโอสถโสมหยกได้
ทว่า...โอสถชนิดนั้นมีค่าอย่างยิ่ง หลี่หวงไม่เชื่อว่า คนจากตระกูลจวิ๋นจะมอบให้เอง เนื่องด้วยสถานะศักดิ์ของจวิ๋นอี้ก็ดี พรสวรรค์ในการบ่มเพาะพลังของเขาก็ดี มันไม่มีวันเป็นไปได้เลยที่จะได้รับของมีค่าปานนี้
เมื่อจวิ๋นฉีได้ยินคำกล่าวนี้ของหลี่หวง ใจนางถึงกับตกลงไปยังตาตุ่ม เผลอขบริมฝีปากด้วยความกังวลโดยไม่ตั้งใจ และปิดปากเงียบไม่ยอมพูดอะไรออกมาเลย
“หากเจ้าอยากให้เสี่ยวอี้ตายก็ดี เช่นนั้นไม่ต้องพูดแล้ว”
หลี่หวงย่อมมองออกถึงความวิตกกังวลของจวิ๋นฉีในยามนี้ และนางเองก็ไม่ได้สนใจเช่นกัน
เพียงว่า สิ่งเดียวที่หลี่หวงอยากรู้คือ จวิ๋นฉีให้โอสถชนิดนี้กับจวิ๋นอี้ด้วยเจตนาอันใด?
เมื่อได้ยินเรื่องเป็นตายของจวิ๋นอี้ ทั่วทั้งร่างกายของจวิ๋นฉีถึงกับสั่นเทาในทันใด ภายในใจของนางยังคงลังเล ทว่าเห็นแววตาประดุจอสรพิษของหลี่หวงที่จ้องเขม็งไม่คลายอ่อน สุดท้ายก็ได้แต่กัดฟันกล่าวว่า
“คุณหนูใหญ่จากจวนตระกูลเย่...เป็นคนมอบให้ข้าเอง!”
“เย่ฉาง?”
หลี่หวงหรี่สายตาแคบลงทันใด
“แล้วไฉนนางถึงต้องมอบโอสถแก่เจ้าด้วย?”
“ข้า...”
จวิ๋นฉีพูดไม่ออกอยู่พักใหญ่ แต่เมื่อเจอสายตาอันเย็นชาของหลี่หวงเข้ากดดันอย่างต่อเนื่อง ในท้ายที่สุดก็ไม่สามารถทานทนได้ไหว จึงกล่าวต่อว่า
“หลายปีมานี้ เย่ฉางค่อนข้างสนิทชิดเชื้อกับข้ามาก นางยังมอบทรัพยากรบ่มเพาะเพื่อช่วยข้าเป็นครั้งคราว แต่ครั้งนี้...ข้าหลุดปากเล่าถึงสภาพร่างกายของน้องอี้ที่ไม่ค่อยสู้ดีนักให้ฟัง...นางจึงมอบโอสถเม็ดนี้แก่ข้า...”
สายตาคู่นั้นของหลี่หวงเย็นยะเยือกลงทันใด กลายเป็นล้ำลึกดูน่ากลัวขึ้นอีกหลายส่วน
“เพราะความโง่เขลาของเจ้า เสี่ยวอี้จึงเกือบตาย!”
“เป็นไปไม่ได้! เห็นได้ชัดแจ้งว่านั่นคือโอสถโสมหยก! มันหาใช่โอสถปลอมแน่นอน!”
จวิ๋นฉีเร่งตอบโต้กลับในทันใด เพราะใช่ว่านางเองจะหูเบาเชื่อคนไปทั่ว หลังจากยืนยันได้แน่นอนแล้วว่า โอสถที่เย่ฉางมอบให้คือ โอสถโสมหยกของจริง นางจึงค่อยเดินทางมามอบให้กับจวิ๋นอี้
“ร่างกายของเสี่ยวอีในขณะนี้บาดเจ็บสาหัส แล้วมีหรือที่จะทานทนต่อฤทธิ์โอสถชนิดรุงแรงอย่างโอสถโสมหยกได้ เช่นนั้นให้ข้ากระทืบเจ้าจนสาหัส แล้วกรอกโอสถโสมหยกให้ทานดูดีหรือไม่? จะได้รู้ซึ้งว่ามีผลข้างเคียงอย่างไร?”
น้ำเสียงของหลี่หวงแฝงซ่อนไปด้วยโทสะขุมใหญ่
“ข้า...”
จวิ๋นฉีถึงกับพูดไม่ออก นางรู้สึกตกใจอย่างยิ่งจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว! ใครจะไปคิดว่า เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น!
“หากเจ้ามีเจตนาดีต่อเขา วันหลังอย่าได้ปิดบังเลย”
ผ่านไปสักพัก น้ำเสียงของหลี่หวงก็อ่อนโยนลงหนึ่งส่วน การที่จวิ๋นฉีแอบให้จวิ๋นอี้กลืนโอสถเม็ดนี้ลงไป เข้าใจได้ว่าทั้งหมดล้วนเกิดจากเจตนาดีทั้งสิ้น แต่นางจะเสียใจแค่ไหน หากทราบว่าจวิ๋นอี้เกือบไปเยี่ยมยมบาลเพราะโอสดเม็ดนี้เช่นกัน
“ข้าเข้าใจแล้ว”
จวิ๋นฉีก้มศีรษะคอตกด้วยความเสียอกเสียใจ
“อีกอย่าง อยู่ให้ห่างจากเย่ฉางเป็นดีที่สุด จงจำเอาไว้ เจ้าแซ่จวิ๋น ส่วนนางแซ่เย่!”
“ข้าจะจำให้ขึ้นใจ...”
จวิ๋นฉีรู้สึกตกใจอย่างมากกับประโยคคำกล่าวนี้ของหลี่หวง นางไม่ทราบว่า ทำไมหลี่หวงถึงต้องการให้นางอยู่ห่างจากเย่ฉาง หรือเป็นไปได้ไหมว่า...บางทีน้องหลี่หวงอาจอิจฉาความสัมพันธ์ระหว่างเย่ฉางกับตัวนาง? หรือบางที...อาจกลัวว่านางจะเข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลเย่มากเกินไปกัน?
จวิ๋นฉีรู้สึกไม่ค่อนพอใจกับเรื่องดังกล่าวนัก แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงฝังความรู้สึกเหล่านี้ไว้ในเบื้องลึกภายในใจ เพราะกล่าวตามความจริง หจวิ๋นหลี่หวงเกิดความไม่พอใจขึ้นมาที ทั้งจวิ๋นฉีหรืแม้แต่จวิ๋นอี้อาจถูกนางฆ่าตายได้ในชั่วอึดใจ!
หลายปีที่ผ่านมา พอจวิ๋นฉีนึกถึงเรื่องราวในสมัยที่ยังอยู่ในจวนตระกูลจวิ๋นในเมืองหงเฟิง นางก็นึกดีใจและรู้สึกโชคดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะการตัดสินใจในครั้งนั้นที่เลือกผูกมิตรทำความรู้จักกับหลี่หวง จะทำให้นางมีชีวิตอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้!
หลี่หวงมิได้เอ่ยกล่าวอันใดให้มากความอีกต่อไป และเดินออกจากเรือนนอนของจวิ๋นอี้โดยตรง แต่ก่อนลาจากนางยังทิ้งท้ายให้จวิ๋นฉีอีกว่า
“ร่างกายของเสี่ยวอี้ในตอนนี้เหมาะกับยาบำรุงอ่อนๆ ฝากเจ้าจัดการเรื่องยาสมุนไพรด้วยแล้วกัน”
จวิ๋นฉีพยักหน้าตอบตกลงอย่างรวดเร็ว
เดิมทีหลี่หวงต้องการหลอมกลั่นโอสถให้จวิ๋นอี้ด้วยตัวเอง ทว่า...ระยะนี้นางค่อนข้างยุ่งมาก ทั้งปัญหาใหม่และเก่าถาโถมเข้าใส่ไม่มีหยุด ดังนั้นจึงต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด จนล่าช้าถึงทุกวันนี้
ดังนั้นแล้ว ปล่อยให้จวิ๋นฉีประสานงานกับทางหอโอสถเอาเองเป็นการดีที่สุด หลี่หวงค่อนข้างวางใจได้
หมอจากหอโอสถแม้ไม่ใช่หมอเทวดาชั้นยอด แต่ก็หาใช่หมอธรรมดาทั่วไปเช่นกัน!
ในช่วงเย็น จวิ๋นอี้ได้สติตื่นขึ้นมา และแต่งตัวเตรียมเข้าร่วมงานเลี้ยงที่จัดขึ้นภายในจวนตระกูลจวิ๋น
จวิ๋นหลี่หวงนั่งอยู่ข้างกับจวิ๋นปิง นางเห็นทุกการเคลื่อนไหวของท่านปู่ได้อย่างชัดเจน
“ท่านพ่อ! ยินดีต้อนรับกลับบ้าน!”
จวิ๋นโม่เหวินยกจอกสุราขึ้นให้จวิ๋นปิงด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม