ตอนที่72 จวิ๋นปิง
ตอนที่72 จวิ๋นปิง
เสียงปิดประตูดังปังทำเอาองค์จักรพรรดิถึงกับสะดุ้ง
“แค่ทำหน้าที่ของตนในขอบเขต เรื่องอื่นไม่ต้องแส่กระมัง”
ตำหนักภายในเงามืดมุมหนึ่ง สุ้มเสียงของหลิงฉางเจวี่ยได้เอ่ยดังขึ้น
ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าแผ่วเบาที่ย่างท้าวออกมา หลิงฉางเจวี่ยตรงเข้านั่งลงบนพื้นตำแหน่งเดียวกับที่หลี่หวงนั่งเมื่อสักครู่
“นี่เจ้ากล้าพูดจาเช่นนี้กับข้าเชียวรึ!?”
องค์จักรพรรดิดูเหมือนจะปั้นหน้าโกรธใส่
“แม้เจ้าจะฝึกปรือวรยุทธราชันย์เทวะ ทว่ากลับไม่สามารถแปรเปลี่ยนสันดานชั่วช้าที่ส่งกลิ่นออกมาจากขั้วกระดูกได้! โชคดีนักที่ข้าไม่เหมือนกับเจ้า มิฉะนั้นอาจต้องถูกสาวน้อยนางนั้นรังเกียจเป็นแน่”
หลิงฉางเจวี่ยเหลือบหางตามองผู้เป็นพ่อด้วยสายตารังเกียจ
ภาพฉากในขณะนี้ ปรากฏเป็นสองหนุ่มรูปงามที่ปะทะคารมใส่กัน หากผู้ใดบอกว่าทั้งสองคนนี้เป็นพ่อลูกกันคงยากที่จะทำใจเชื่อยิ่งนัก!
“แล้วอย่างไร? สาวน้อยนางนั้นไม่คิดอยากจะแต่งงานกับเจ้าเสียหน่อย เลิกเอาทองมาแปะหน้าแสร้งทำเป็นคนดีได้แล้ว! ผู้ใดกันที่ให้กำเนิดบุตรผู้ต่อต้านสวรรค์เฉกเช่นเจ้า!”
“ท่านแม่ของข้าไง”
หลิงฉางเจวี่ยสวนตอบเพียงไม่กี่พยางค์อย่างใจเย็น หางตาในคราวนี้มิได้เหลือบมองอีกต่อไป
“....”
องค์รัชทายาทรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอย่างบอกไม่ถูก ไฉนเขาถึงต้องมีลูกชายแบบนี้ด้วย!
“เจ้าเด็กเหลือขอ แน่ใจใช่หรือไม่ว่า สาวน้อยนางนั้นจะรักษาเสี่ยวเฉินได้?”
องค์จักรพรรดิรู้สึกไม่ค่อยแน่ใจเล็กน้อย ราวกับยังไม่เต็มใจเชื่อในความสามารถนางทั้งหมดดี
“ข้าผู้นี้เคยคิดทำร้ายพี่ใหญ่สักคราหรือไม่?”
หลิงฉางเจวี่ยสบสายตาเข้าเผชิญกับผู้เป็นพ่อ และกล่าวต่อว่า
“นางเปรียบเสมือนปีกนภาอันอุดมสมบูรณ์ เพียงว่าความสามารถของนางในขณะนี้ยังไม่ใช่ทั้งหมดที่รับรู้ได้”
“ว่าก็ว่าเถอะ นางอายุแค่สิบสามเองมิใช่รึไง? แล้วไปร่ำเรียนวิชาแพทย์และหลอมกลั่นโอสถจากที่ไหนมา?”
“ข้าเองก็ไม่รู้...”
หลิงฉางเจวี่ยถอนหายใจเฮือกหนึ่งพลางส่ายหัวอาน สำหรับนางคนนี้ยังมีอีกหลายเรื่องที่เขาไม่รู้
“หากเสี่ยวเฉินหายดีเมื่อใด ข้าควรกลับไปพักผ่อนสักงีบใหญ่...”
องค์จักรพรรดิบิดยกมือขมวดขมับสักครู่ใหญ่ เป็นสัญญาณให้เห็นว่า นางเหนื่อยล้าอย่างยิ่งกับช่วงเวลาที่ผ่านมา
“อืม อยู่ไปก็รกสายตาคนอื่น”
หลิงฉางเจวี่ยพยักหน้าตอบทันที เขาเห็นด้วยอย่างยิ่งกับคำกล่าวนี้
เส้นเลือดสีเขียบเข้มปูดโปนขึ้นกลางหน้าผากขององค์จักรพรรดิ อยากจะฟาดลูกชายตัวเองสักทีสองทีเหลือเกิน!
แต่...เขาทำไม่ได้!
............
หลังจากที่หลี่หวงออกมาจากพระราชวังมา ก็มีเกี้ยวจอดอยู่ข้างนอก
“นับว่ายังมีน้ำใจ”
หลี่หวงหันหลังกลับไปเหม่อมองทิศทางของตัวพระราชวัง และค่อนข้างรู้สึกพอใจกับหวังดีนี้ขององค์จักรพรรดิ
หลี่หวงก้าวขึ้นนั่งลงบนเกี้ยวโดยไม่มีเกรงใจ จะให้นางเดินกลับทั้งแบบนี้ มีหวังใช้เวลาทั้งคืน พอกลับมาถึงส้นตีนคงบวมเป่งพอดี
ทำงานจนข้ามวันข้ามคืน ตอนนี้ก็เป็นเวลาบ่ายของอีกวันแล้ว...
หลี่หวงแหงนมองท้องฟ้า แสงตะวันเจิดจรัส ทว่าภายในใจของหลี่หวงตอนนี้ กลับมีหลายหลากคลื่นอารมณ์ถาโถมโหมเข้าใส่
‘เจ้ากำลังหาปัญหาให้ตัวเอง!’
สุ้มเสียงของเหยาอวี้ดังกึกก้องในห้วงความคิดของนาง
‘ก็รับปากไปแล้ว ก็ต้องทำให้เสร็จ’
หลี่หวงถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เรื่องใดที่นางเคยให้สัญญาก็ควรทำให้สำเร็จ
‘เจ้าหัดดูแลร่างกายตัวเองก่อนเถอะ!’
สุ้มเสียงของเหยาอวี้แข็งกระด้างขึ้นหลายส่วน แต่ใครที่ได้ยินต่างพูดได้เป็นเสียงเดียวว่า มันห่วงเจ้านายของมันเพียงใด
หลี่หวงลอบยิ้มอย่างมีความสุขภายในใจ ราวกับได้รับความอบอุ่นเข้ามาเติมเต็ม นางตอบกลับเพียงเบาๆ ว่า
“อืม รู้แล้วน่า”
เหยาอวี้เงียบและไม่ส่งเสียงอะไรอีกเลย มันต้องการให้เจ้านายงีบพักระหว่างเดินทางกลับ
แม้ว่าเหยาอวี้จะเป็นพวกปากเสียงและถือดีหยิ่งผยองเป็นที่หนึ่ง แต่มันก็ค่อนข้างละเอียดอ่อนกับเรื่องแบบนี้
อย่างน้อยที่สุด สิ่งที่มันให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกเลยก็คือ หลี่หวง
เกี๊ยวยังคงถูกลากออกไปด้วยความเร็วคงที่ตลอดเส้นทาง จนในที่สุดก็ออกมาถึงหน้าประตูวังหลวง แต่ทันใดนั้นเกี๊ยวก็หยุดลงโดยพลัน
หลี่หวงสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที เดิมคิดว่าถึงจวนตระกูลจวิ๋นแล้ว แต่ที่ไหนได้ยังอยู่หน้าประตูวังหลวง พอเห็นแบบนั้นก็รีบลงมาจากเกี๊ยวทันทีเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น
“หลี่หวง!”
ยังไม่ทันก้าวเท้าลงมาดี นางก็พลันได้ยินคนเรียกชื่อของตน จึงหันควับมองไปทางต้นเสียงด้วยความสงสัย
นั้นมัน...
มองเห็นเพียงชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังยืนจ้องหลี่หวงอย่างเงียบๆ
เขาคนนี้สวมชุดคลุมปักลายพระจันทร์สีนวล ชายเสื้อยาวใหญ่พลิ้วไสวไปตามสายลม ท่าทางองอาจงดงามจนมิอาจหาสิ่งใดเทียบเคียง! และสิ่งที่น่าประหลาดที่สุดคือ แม้ใบหน้าของเขายังหนุ่มยังแน่น แต่ทั้งผมเผ้าและเครายาวกลับเป็นสีขาวโพลน สิ่งเหล่านี้ยิ่งเพิ่มพูนกลิ่นอายประดุจเซียนเข้าไปอีกหลายส่วน
หลี่หวงถึงกับตะลึงงันไปชั่วขณะใหญ่ ทันใดนั้นก็พลันนึกขึ้นได้ทันทีว่า ชายหนุ่มผู้นี้เป็นใครกัน!
“ท่านปู่!”
หลี่หวงรีบวิ่งไปหาในทันใด!
ไม่ผิดแน่นอน ชายหนุ่มผู้หล่อเหลาอย่างกับโกงอายุแบบนี้ก็คือปู่ของหลี่หวง ประมุขตระกูลจวิ๋น หรืออีกชื่อหนึ่งคือ เทพสงครามแห่งซีเหวิน จวิ๋นปิง!
จวิ๋นปิงผายมือรับหลี่หวงที่พุ่งเข้ามาสวมกอด น้อยครั้งนักที่จะมีโอกาสได้เห็นใบหน้าอันเย็นชาของหลี่หวงเผยรอยยิ้มอันสดใสปานนี้ ประดุจภูเขาน้ำแข็งที่ละลาย
“หลี่หวง เจ้ากลับมาแล้ว! ดีจริงๆ!”
จวิ๋นปิงปล่อยให้หลี่หวงซบไหล่ของตนอยู่แบบนั้น เพราะเขาก็ไม่อยากให้หลานสาวตัวเองมาเห็น ตนในขณะที่กำลังร้องไห้เช่นกัน
แม้ร่างกายของท่านปู่จะค่อนข้างเย็นแตกต่างจากคนทั่วไป แต่หลี่หวงกลับสัมผัสและรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นอย่างน่าประหลาด!
“ท่านปู่! ข้ากลับมาแล้ว!”
หลี่หวงค่อยๆ คลายอ้อมกอดและขอขี่หลังจวิ๋นปิง แบกนางออกไปจากวังหลวง ดั่งสมัยก่อนที่ท่านปู่ชอบให้ตนเองขี่หลังไปเดินเที่ยวรอบเมือง
แม้ท่าขี่หลังอาจดูไม่ค่อยสบายเท่าไหร่หนัก แต่กลับให้ความรู้สึกดั่งวันวานอันแสนมีค่าที่หวนคืนมาอีกครั้ง
ท่านปู่มักจะยิ้มดูมีความสุขอยู่เสมอ เวลาให้หลานสาวตัวเองขี่หลัง ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน
ดวงตาของนางพลันพร่ามัว ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด แต่หลี่หวงรู้สึกอยากร้องไห้เสียเหลือเกิน
เห็นได้ชัดแจ้ง ยามนี้นางมิได้อยู่ตัวคนเดียวอีกต่อไปแล้ว และไม่จำเป็นจะต้องรู้สึกเปลี่ยวเหงาอีกต่อไป
ตั้งแต่นางกลับเข้ามายังจวนตระกูลจวิ๋นในเมืองหลวง นางก็สามารถสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นมากมายจากผู้คนรอบตัว
ความรู้สึกเช่นนี้เมื่อได้สัมผัสแล้ว จะไม่สามารถตัดขาดไปจากหัวใจได้อีก....
“ไม่ร้องไห้สิหลี่หวง”
มือของจวิ๋นปิงยกขึ้นมาปาดน้ำตาให้หลานสาวตัวเองเล็กน้อย
หลี่หวงพยายามกั้นน้ำตามิให้รินไหล ร่างกายสั่นสะท้านเล็กน้อย ทว่า...ในท้ายที่สุดกลับอาบท่วมเปรอะเปื้อนไปทั้งพวงแก้มสองข้างอย่างห้ามไม่อยู่
จวิ๋นปิงหันหน้าย้อนกลับมองหลี่หวงพลางใช้มือปัดเป้าเส้นผมที่กระเซอะกระเซิง และเช็ดแก้มน้อยๆ สีขาวที่เปียกชื้นให้พร้อมรอยยิ้ม
“หลี่หวง เจ้าอย่าร้องสิ เดี๋ยวปู่พาเจ้ากลับบ้านเอง”
ประโยคสั้นๆ แสนจะเรียบง่าย น้ำเสียงปราศจากอารมณ์ใดสื่อออกมา ทว่ากลับยิ่งทำให้หลี่หวงร้องไห้ไม่หยุด จนจวิ๋นปิงต้องเอ่ยปลอบหลานสาวคนนี้ตลอดทางกลับบ้าน
จนดวงตาของจวิ๋นปิงเริ่มเปียกชื้นขึ้นอีกครั้ง
หลานสาวนางนี้ เป็นคนเดียวที่สืบสายเลือดมาจากลูกชายคนที่สามของตนที่เหลือทิ้งไว้ให้ก่อนตาย! เขาไม่ต้องการเกียรติยศหรือชื่อเสียงอีกต่อไปแล้ว และไม่ต้องการที่จะหวนกลับคืนสู่สมรภูมิรบเช่นกัน สิ่งเดียวที่ปรารถนาคือการใช้ชีวิตอย่างสงบสุข และมองดูหลานสาวคนนี้เติบโต!
แค่อยากให้หลานสาวคนนี้เติบโตอย่างมีความสุขเท่านั้น!
จวนตระกูลจวิ๋นอยู่ใกล้วังหลวงที่สุดในบรรดาจวนของสี่ตระกูลใหญ่ ดังนั้นไม่นาน พวกเขาก็มาถึงหน้าประตูจวนจวิ๋น
องครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูถึงกับขยี้ตาอย่างแรงเมื่อเห็นจวิ๋นปิงเดินตรงเข้ามา ก่อนจะรีบโค้งคำนับด้วยความเลื่อมใสและดีใจสุดขีด
“ท่านประมุข!!”
จวิ๋นปิงยังคงบารมีผู้นำหัวมังกรดังเดิม ท่าทางการแสดงออกของเขาที่มีต่อคนอื่นค่อนข้างเย็นชาอย่างยิ่ง เขาไม่พูดอะไรตอบทั้งนั้นและเดินผ่านบรรดาองครักษ์ที่ก้มศีรษะให้ตรงเข้าไปภายในจวนจวิ๋นพร้อมหลี่หวงที่แบกอยู่บนแผ่นหลัง
“ท่านประมุข!”
“ท่านประมุข!”
องครักษ์ทุกคนที่เดินตรวจตราต่างเร่งทำความเคารพทันที เมื่อเห็นเทพสงครามในตำนานกลับมาแล้ว แต่ละคนต่างรู้สึกตื่นอกตื่นเต้นจนทำตัวไม่ถูก!
“ท่านพ่อ!!! ท่านกลับมาแล้ว!!”
จวิ๋นโม่เหวินและจวิ๋นโม่เทียนรีบสิ่งตรงเข้าไปหาจวิ๋นปิงที่ยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ดวงตาของสองพี่น้องเปล่งประกายอีกครั้งราวกับแสงแห่งความหวังที่นำจิตใจของพวกเขากลับมาอีกครั้ง!
จวิ๋นปิงถือเป็นสัญลักษณ์แห่งตระกูลจวิ๋นอย่างแท้จริง! และก็ยังเป็นศูนย์รวมจิตใจของสมาชิกตระกูลจวิ๋นทุกคน!
หากมีจวิ๋นปิงอยู่ ก็เท่ากับว่าเจตจำนงแห่งตระกูลจวิ๋นก็ยังคงอยู่เช่นกัน
“กลับมาก็ดีแล้ว!”
ผู้อาวุโสใหญ่ตะโกนร้องเรียกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“กลับมาก็ดีแล้ว! กว่าจะกลับมาได้ท่าน!!”
“ท่านปู่!”
จวิ๋นหลีจิวเองก็รีบวิ่งออกมาดูเช่นกัน แต่ทันทีที่เห็นหลี่หวงที่อยู่บนแผ่นหลังของท่านปู่ เขาก็อดตะลึงมิได้
หลี่หวงไปอยู่กับท่านปู่ได้อย่างไร?
หรือว่า...หลี่หวงจะแอบเข้าไปในวังหลวง?
จวิ๋นปิงกวาดสายตามองดูโดยรอบ ก่อนเค้นเสียงเย็นชืดกล่าวขึ้นคำหนึ่งว่า
“เข้าไปข้างในกันเถอะ”
โดยไม่กล่าวอันใดอีก เขาแบกร่างของหลี่หวงบนแผ่นหลังกระชับให้แน่นและตรงเข้าไปในลานกว้างของตำหนักหลักทันที
ทิ้งให้คนที่ยืนงงอยู่แบบนั้น
“หลี่จิว! ปล่อยให้หลี่หวงเข้าวังหลวงได้ยังไง!”
จวิ๋นโม่เทียนเดือดเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นทันที และหันไปตะคอกใส่จวิ๋นหลี่จิวด้วยท่าทีเกรี้ยวกราด