ตอนที่71 ครึ่งชีวิตคือกษัตริย์ ส่วนอีกครึ่งคือพ่อคน
ตอนที่71 ครึ่งชีวิตคือกษัตริย์ ส่วนอีกครึ่งคือพ่อคน
“วิญญาณคืนฝันจริงๆ ด้วย แล้วพอมีวิธีรักษาหรือไม่?”
“มีสองวิธี”
หลี่หวงพยักหน้าและเข้าเรื่องทันที
“สองวิธี?”
องค์จักรพรรดิขมวดคิ้วเล็กน้อย จากที่ฟังดูแม้จะมีทางเลือก ทว่ากลับไม่ง่ายอย่างที่คิดแน่นอน
“เจ้ากล่าวมาเถอะ”
องค์จักรพรรดิเอ่ยต่อทันที
ดวงตาคู่สวยของหลี่หวงลู่ต่ำลง แม้น้ำเสียงยังคงเย็นชาทว่าเร้นแฝงไปด้วยความหนักใจ
“วิธีแรกคือ การหาวิญญาณเข้าไปกำราบ ซึ่งในความเห็นของข้ามองว่าอันตราย การต่อสู้ของวิญญาณภายในร่างกายมนุษย์จะส่งผลกระทบโดยตรงกับเจ้าของร่าง ถึงปราบได้ แต่ความเสียหายของร่างกายน่าจะหนักหนาเอาการ มีโอกาสเกิดธาตุไฟเข้าแทรกทำให้เสียสติได้”
“แล้ววิธีที่สองล่ะ?”
องค์จักรพรรดิแทบจะอดใจไม่ไว้สำหรับวิธีที่สอง เห็นได้ชัดว่า แรกเริ่มเดิมทีเขาเองก็สนใจวิธีแรกเช่นกัน แต่พอได้ยินความเสียหายที่ก่อเกิดขึ้นหลังจากรักษา เขาก็หมดความสนใจไปโดยปริยาย
“ใช้ระดับพลังบ่มเพาะทั้งหมดและอายุขัยชีวิตครึ่งหนึ่ง เพื่อป้อนให้กับวิญญาณจนตัวแตกตายไปเอง”
“เปรี๊ยะ!”
องค์จักรพรรดิบีบถ้วยชาแตกคามือในทันใด!
“นี่เจ้าพูดความจริงรึ!?”
ดวงตาคู่นั้นขององค์จักรพรรดิส่อแววจิตสังหาร บรรยากาศแปรเปลี่ยนเป็นกลิ่นอายอันตรายไปชั่วขณะ
หลี่หวงมิได้เอ่ยตอบในทันที นางเงยหน้าขึ้นสบสายตาขององค์จักรพรรรดอย่างสงบเป็นเวลาครู่ใหญ่ ผ่านไปเนิ่นนานจึงตอบไปแค่ว่า
“หากเลือกได้ ข้าเองก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้”
วาจาคำกล่าวของหลี่หวงซ่อนแฝงนัยสำคัญที่มิได้ง่ายดั่งผิวเผิน ซึ่งนี่ก็ทำให้องค์จักรพรรดิประหลาดใจเล็กน้อยเช่นกัน
“เดิมทีที่ข้าเสนอตัวมาก็เพื่อช่วยเหลือท่านปู่ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า...มันคงไม่จำเป็นแล้ว”
หลี่หวงคลี่ยิ้มบางพร้อมกล่าวต่ออีกว่า
“เพราะไม่ว่าอย่างไร เรื่องขององค์รัชทายาทข้าเองก็หนีไม่พ้นเช่นกัน”
องค์จักรพรรดิเหลือบมองจวิ๋นหลี่หวงเจือแววแปลกใจ คล้อยหลังไม่นาน จู่ๆ เขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาลั่น
“หากข้าไม่รู้เรื่องราวของเจ้าก่อนหน้า คงดูไม่ออกเช่นกันว่า เจ้าเป็นเพียงสาวน้อยอายุสิบสามปี!”
“เจ้ากล่าวถูกต้อง! ไม่ว่าเรื่องนี้จะพัฒนาไปในทิศทางใด เจ้าก็หนีไม่พ้น! ข้าสามารถปลดปล่อยปิงปิงคืนสู่อิสรภาพและกลับไปฟื้นฟูตระกูลจวิ๋นของเจ้าให้กลับมาผงาดขึ้นอีกครั้งในเมืองหลวงได้ แต่เงื่อนไขเดียวเท่านั้น คือเจ้าจะต้องรักษาอาการป่วยของเสี่ยวเฉิน!”
หลี่หวงไม่ค่อยสันทัดเท่าไหร่ในเรื่องประวัติศาสตร์เมื่อชีวิตก่อนหน้า แต่ก็ยังพอมีความรู้อยู่บ้างว่า ประมุขแคว้นหรือประเทศจะต้องขึ้นครองราชย์ก่อนที่จะมีบุตรและกลายมาเป็นบิดา
ดังนั้น...ความสัมพันธ์ระหว่างผู้เป็นบิดากับบุตรจะค่อนข้างห่างเหินกันมาก ยามที่บุตรเกิดมาลืมตาดูโลก ผู้เป็นบิดาก็เอาแต่ทรงงาน แทบไม่มีเวลาอยู่ด้วยกันเลย จะกล่าวว่าเป็นคนแปลกหน้าที่มีสายเลือดเดียวกันก็ยังได้
แต่...องค์จักรพรรดิที่อยู่ตรงหน้านางกลับแตกต่างโดยสิ้นเชิง!
เขายินดีที่จะยกอำนาจอิทธิพลทั้งหมดภายในเมืองหลวงของตนเองมาเสี่ยงกับการถูกล้มล้าง เพียงเพื่อช่วยบุตรชายของตัวเอง!
“แล้วเจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่า ข้าสามารถรักษาชิงเฉินให้หายได้?”
หลี่หวงเหลือบมององค์จักรพรรดิด้วยความสงสัยเล็กน้อย
เพราะแม้แต่ตัวนางเองยังไม่ค่อยแน่ใจเลยด้วยซ้ำ แล้วไฉนอีกฝ่ายถึงเชื่อมั่นในตัวนางปานนั้น?
“เพราะเสี่ยวเจวี่ยเชื่อใจเจ้า”
องค์จักรพรรดิหลี่ยิ้มให้หลี่หวง แววตาเปี่ยมไปด้วยความหวัง
“นอกจากนี้เอง พอได้ยินสองวิธีก่อนหน้าของเจ้า ข้าเองก็เชื่อว่า เจ้าจะต้องรักษาเสี่ยวเฉินได้แน่นอน!”
“....”
หลี่หวงปิดปากเงียบ คำอธิบายเช่นนี้มันมีค่ามิต่างอะไรกับไม่อธิบายเลย
แต่จะอย่างไร ไอ้ความรู้สึกที่ราวกับถูกบีบบังคับเช่นนี้ กลับทำให้นางไม่สบอารมณ์โดยแท้
“หากไม่มีอารมณ์รักษา ข้าก็จะไม่รักษา”
จู่ๆ หลี่หวงก็เอ่ยเสียงเรียบขึ้นคำหนึ่ง
“และไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่สามารถบีบบังคับข้าได้ รวมถึงเจ้าด้วย! อย่าคิดว่าเป็นองค์จักรพรรดิแล้ว จะทำตัวเอาแต่ใจได้ จำไว้!!”
หลี่หวงเลื่อยสายตาขึ้นสาดใส่องค์จักรพรรดิประดุจอสรพิษ นางชี้นิ้วจ่อปลายจมูกของอีกฝ่ายโดยไร้ซึ่งความเกรงกลัวอันใด เพราะนางรู้สึกรังเกียจเหลือเกินที่ต้องกดตัวเองอยู่ภายใต้แรงกดดันเช่นนี้
“เฮ้ออ... อย่างที่เสี่ยวเจวี่ยพูดไว้ไม่ผิด ทั้งตัวของเจ้ามีแต่หนามแหลมคม หากไม่ระวังให้ดีจะถูกแทงได้ง่ายๆ”
แทนที่จะบันดาลโทสะ องค์จักรพรรดิกลับหัวเราะออกมาแทน แต่หลังจากนั้นไม่นาน สีหน้าการแสดงออกของเขาก็กลับมาดูจริงจังอีกครั้ง
“เอาเช่นนี้แล้วกัน ตราบใดที่เจ้าสามารถรักษาเสี่ยวเฉินได้ ข้าจะให้เจ้าทุกอย่างไม่ว่าจะร้องขออะไร!”
หลี่หวงรู้สึกว่าประโยคคำกล่าวนี้ช่างกินใจอย่างน่าประหลาด แม้เขาผู้นี้จะไม่ใช่กษัตริย์ที่ดีของประชาชน แต่อย่างน้อยเขาก็เป็นพ่อที่ดีคนหนึ่ง
“เงื่อนไขเพียงหนึ่งข้อ”
หลี่หวงเอ่ยเสียงเรียบ
“จงกล่าวมา!”
“หากราชวงศ์หลิงยังมีวันพรุ่งนี้ ตระกูลจวิ๋นเองก็ต้องมีวันพรุ่งนี้เช่นกัน”
หลี่หวงเอ่ยขอเงื่อนไขของตนเองออกไปอย่างสงบ
ความหมายในคำกล่าวของนางค่อนข้างชัดเจน กล่าวคือ หากราชวงศ์หลิงยังคงอยู่ ตระกูลจวิ๋นเองก็ต้องคงอยู่เช่นกัน
แต่เอาเข้าจริง จะมีองค์จักพรรดิที่ไหนกล้าเลี้ยงตระกูลที่ทรงอำนาจดั่งศัตรูไว้ใกล้ตัว? สักวันอาจจะถูกโค่นอำนาจได้ทุกเมื่อ นี่ถือว่าเป็นเรื่องที่เสี่ยงต่อการล้มล้าง....
“ตกลง ข้ารับปาก”
ยังไม่ทันที่หลี่หวงจะได้ครุ่นคิดกับตัวเองเสร็จดี องค์จักรพรรดิกลับเอ่ยปากตอบแทบจะในทันทีราวกับไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ
“....”
หลี่หวงตกใจอย่างมาก เงื่อนไขที่นางเสนอมา รู้ทั้งรู้ว่ามันเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อราชวงศ์หลิงในอนาคต แต่ใครจะไปคิดว่า องค์จักรพรรดิเบื้องหน้านางผู้นี้ กลับตอบตกลงโดยไม่ทันกะพริบตาด้วยซ้ำ!
ซึ่งนี่ทำให้หลี่หวงตกใจอย่างแท้จริง!
แต่เพื่อบรรลุจุดประสงค์ดั้งเดิมของนาง หลี่หวงมิได้ไต่ถามอะไรให้มากความเช่นกัน จึงกล่าวเพียงว่า
“ถ้าราชวงศ์หลิงรุ่นใดกล้าลองดีและละเมิดข้อตกลงนี้ หากวันนั้นข้ายังมีลมหายใจ ข้าจะขอใช้ชีวิตแลกชีวิต ล้างบางพวกเจ้าให้บรรลัย ไร้ซึ่งสายเลือดสืบสันดานตลอดกาล!”
“แต่หากวันนั้นข้าล่วงลับไปแล้ว ก็ขอให้ตนกลายมาเป็นผีร้ายตามรำควานลูกหลานของราชวงศ์หลิงให้ฉิบหายสืบไป!”
องค์จักรพรรดิที่ได้ยินแบบนั้นก็ตกใจไม่น้อยเลยจริงๆ สาวน้อยผู้นี้ มีหัวใจอาจหาญและเด็ดเดี่ยวปานนี้เชียว? พึงทราบว่านางกำลังสาปแช่งราชวงศ์เชื้อเจ้าต่อหน้าองค์จักรพรรดิอยู่ แม้แต่ฟ้าดินยังไม่มีเกรงกลัว อนาคตของนางผู้นี้จะต้องยิ่งใหญ่ไร้ขีดจำกัด!
จิตใจของนางช่างกล้าแกร่ง สิ่งที่เผยสะท้อนอยู่ในแววตา หาใช่เป้าหมายที่คนทั่วไปจะมีได้ และบางทีอาจยิ่งใหญ่กว่าผู้เป็นกษัตริย์อย่างเขาด้วยซ้ำ!
เพียงว่า...สาวน้อยคนนี้ช่างเด็ดขาดดั่งไร้ใจโดยแท้!
เพราะเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ ต่อให้ตนต้องกลายมาเป็นผีร้าย นางก็ยอม!
แน่นอน...องค์จักรพรรดิย่อมไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากตอบตกลงเห็นด้วยกับเงื่อนไขดังกล่าว
“ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ข้าจะเดินทางมาที่ตำหนักองค์รัชทายาททุกวัน หากเจ้าสืบเสาะข้อมูลให้ข้ามาได้มากกว่านี้ บางทีอาการขององศ์รัชทายาทอาจจะหายเร็วขึ้น”
องค์รัชทายาทไม่รู้ว่า ตนควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี เด็กคนนี้ยังต้องการหน่วยข่าวกรองของเขาด้วยรึ?
“ข้าเข้าใจแล้ว ตราบใดที่ข้าเสาะพบข้อมูลที่เป็นประโยชน์ จะรีบส่งองครักษ์เงาไปแจ้งกับเจ้าโดยทันที”
หลี่หวงพยักหน้าและไม่เอ่ยกล่าวอันใดอีก
จากนั้นหลี่หวงกับองค์จักรพรรดิก็เริ่มดื่มชากัน บรรยายการเงียบสงัดไม่มีใครเอ่ยปากกว่าอันใดอีกต่อไป
ผ่านไปเนินนาน จู่ๆ หลี่หวงก็เอ่ยขึ้นมาคำหนึ่งว่า
“เจ้าน่ะเป็นพ่อที่ดี”
องค์จักรพรรดิแอบตกใจเล็กน้อย เงยศีรษะมองไปยังหลี่หวง ทว่าดวงตาคู่สวยของสาวน้อยนางนี้กลับเต็มไปด้วยความอ้างว้างไร้สิ้นสุด
ทันใดนั้นเขาก็นึกออกในทันใด จำได้ว่า สาวน้อยนางนี้กำพร้าทั้งพ่อทั้งแม่ตั้งตแต่ยังเด็กมาก
เหตุผลที่จิตใจของนางแกร่งกล้าปานนี้เป็นเพราะ นางไม่มีที่พึ่งอื่นนอกจากตัวเอง
และในใต้หล้าแห่งนี้ ยังมีเด็กแบบนางอีกนับไม้ถ้วน
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงของหลี่หวงเอ่ยขึ้นต่อว่า
“ทว่าเจ้าหาใช่กษัตริย์ที่ดีไม่”
องค์จักรพรรดิคลี่ยิ้มอย่างสุดจะขมขื่น ใช่แล้ว...เขาไม่ใช่กษัตริย์ที่ดีเลยจริงๆ
ตัดสินใจได้แย่จนทำให้พี่น้องของตนเองต้องตาย!
“เจ้ากล่าวถูกต้องแล้ว...”
น้ำเสียงทุ้มต่ำขององค์จักรพรรดิเปล่งดังขึ้น
“แต่สุดท้าย...นี่กลับเป็นความจริงที่มิอาจเปลี่ยนแปลงได้อีกแล้ว!”
“หลี่หวง...เจ้าชื่อว่าหลี่หวงกระมัง? ข้ายอมรับว่าโศกนาฎกรรมที่เกิดขึ้นทั้งหมดล้วนเป็นฝีมือของข้า แต่ข้าไม่เคยรู้สึกเสียใจภายหลังเลย หากข้ามัวแต่รู้สึกผิดจนไม่สามารถก้าวเดินต่อไปได้ มันก็เท่ากับว่าทุกชีวิตที่เสียสละต้องสูญเปล่า?”
“ข้าเข้าใจดี”
หลี่หวงสบตากับองค์จักรพรรดิชั่วครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวต่อว่า
“เพราะนี่คือสิ่งที่ผู้เป็นกษัตริย์ต้องแบกรับ”
“ข้าอยากรู้จริงๆ ...”
ทันใดนั้นองค์จักรพรรดิก็เอ่ยตัดบทขึ้นมาคำหนึ่ง เขาส่งยิ้มให้นางและกล่าวว่า
“เห็นได้ชัดแจ้ง ว่าเจ้าเป็นเพียงสาวน้อยอายุสิบสาม แต่ไฉนความคิดอ่านของเจ้าถึงได้แกร่งกล้า ดั่งผู้เจนจัดผ่านโลกมาแล้วนับไม่ถ้วนปานนี้?”
“....”
หลี่หวงส่ายหน้าเบาๆ ทว่ากลับไม่ให้คำตอบ
เพราะความไร้เดียงสากลับไม่มีประโยชน์ต่อนาง ดังนั้นแล้วจะเก็บไว้เพื่ออันใด?
“บางทีเพราะว่าเจ้าคืออัจฉริยะกระมัง...”
องค์จักรพรรดิเอ่ยตอบแทนนาง
“เสี่ยวเจวี่ยเองก็ทั้งฉลาดและสุขุมเหมือนกับเจ้า แม้แต่ข้าผู้เป็นบิดายังมิทราบ ว่าลูกเก้าคนนี้คิดอะไรอยู่”
“หมายถึงองค์ชายเก้า?”
วันนี้หลี่หวงได้ยินชื่อนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ทำไมถึงมีแต่คนเอ่ยข่านบุคคลนี้ด้วย?
“จะว่าไปแล้ว เจ้ากับเสี่ยวเจวี่ยเองก็ยังมีหมั่นหมาย...”
องค์จักรพรรดิคล้าย่วาจะนึกอะไรขึ้นได้ เขาคลี่ยิ้มพลางมองหลี่หวงและกล่าวว่า
“มันคงดีไม่น้อยเลยหากเป็นเช่นนั้น ราชวงศ์หลิงของข้าจะได้มีนักหลอมโอสถคนที่สองเสียที!”
“เจ้าคิดจะบังคับข้าแต่งงาน?”
หลี่หวงเลิกคิ้วขึ้นทันที
“ไม่ได้เหรอ?”
องค์จักรพรรดิเลิกคิ้วตามเชิงล้อเลียนอีกฝ่าย
“จะว่าไปแล้วข้าก็รู้สึกว่า...”
หลี่หวงชะงักไปเสี้ยวขณะ
“วันนี้อากาศดีเลยทีเดียว”
จู่ๆ ก็ถูกเปลี่ยนหัวข้อสนทนาโดยไม่ทันทั้งตัวเช่นนี้ องค์จักรพรรดิพลันรู้สึกสับสนเล็กน้อย เผลอหันออกไปมองรอบห้องด้วยความสงสัย หน้าต่างก็ไม่ได้เปิด แล้วนางรู้ได้อย่างไรว่า วันนี้อากาศดี?
แต่จะอย่างไรฝนก็ไม่ตก อากาศข้างนอกโดยรวมแล้วน่าจะดีจริงๆ ... ช่างเป็นวันที่อากาศดีกระไรเยี่ยงนี้ ...
เดี๋ยวก่อน...
พวกเราเริ่มคุยเรื่องนี้กันตั้งแต่เมื่อใด?
ทันทีที่เขาได้สติกลับมาก็พบว่า บริเวณต้นคอของตนกลับถูกเรียวแขนข้างหนึ่งของสาวน้อยพันธนาการไว้แน่น พร้อมกับปลายนิ้วมือชี้ของนางที่เปรอะเปื้อนไปด้วยของเหลวสีดำหยดติ๊งๆ ประดุจหางแมงป่องชโลมพิษร้าย กำลังจ่ออยู่ที่คอหอยสามารถแทงเข้าเส้นเลือดได้ทุกเมื่อ หลี่หวงกระซิบข้างหูว่า
“ก่อนจะดื่มชากับใครหัดระวังตัวหน่อย และข้าก็เคยกล่าวไปแล้ว อย่าคิดว่าเป็นองค์จักรพรรดิแล้ว จะทำตัวเอาแต่ใจได้!”
เขากดสายตามองลงไปในถ้วยชาในมืออย่างใจเย็น แม้ไม่รู้ว่าเป็นสิ่งใดที่เจือผสมอยู่ในชา ทว่ามันไร้สีและกลิ่น หากให้คาดเดานี่หาใช่ยาพิษไม่ แต่เป็นผงยาชาแขนงหนึ่งที่มีฤทธิ์กดประสาทอ่อนๆ
ทันใดนั้นสัญชาตญาณของเขาได้บอกกับตนเองทันทีว่า ไม่ควรยุ่งกับนางคนนี้เป็นดีที่สุด!
“ข้าเพียงล้อเล่นเท่านั้น”
องค์จักรพรรดิเอ่ยขึ้นอย่างยอมจำนน
“หึ”
หลี่หวงคลายมือออกพลางสะบัดของเหลวสีดำทิ้งไป พื้นตำหนักในบริเวณนั้นถูกหลอมละลายกลายเป็นรูในพริบตา ทว่านางกลับไม่ใส่ใจแม้สักนิด หมุนตัวกลับและเดินจากออกไปโดยไม่มีแยแส