ตอนที่70 องค์จักรพรรดิเผด็จการ
ตอนที่70 องค์จักรพรรดิเผด็จการ
เห็นได้ชัดว่าวิธีที่ซูจิ่งเยว่คิดขึ้นมาเป็นคนละวิธีการหลี่หวง แต่ก็นับเป็นอีกหนึ่งหนทางเป็นไปได้
สิ่งที่หลี่หวงคิดไว้ก็คือ หากฝ่าบาทรักและเป็นห่วงบุตรชายคนนี้จริงๆ ล่ะก็ เขาไม่มีวันต้องยอมให้อีกฝ่ายสละอายุขัยแน่นอน
แต่ถึงอย่างไร ในตอนนี้หลี่หวงทำอะไรไม่ได้มาก เมื่ออยู่ต่อหน้าเหล่ายอดฝีมือ นางกลับเป็นเพียงเศษสวะชิ้นหนึ่งเท่านั้น!
“ข้าจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทบัดเดี๋ยวนี้แหละ เข้ารอข้าอยู่ที่นี่ก่อน”
ซูจิ่งเยว่รีบก้าวเท้าย่างออกไปทันทีเพื่อเข้าเฝ้าฝ่าบาทโดยเร็วที่สุด
“ข้าจะไปกับเจ้า”
หลี่หวงกล่าวไล่หลังขึ้นมาเสียงหนึ่ง
นางจำเป็นต้องไปกำกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ เผื่อว่าวิธีของซูจิ่งเยว่จะไม่ได้ผล ยามนั้นนางจะเสนอวิธีรักษาของนางให้อีกฝ่ายได้พิจารณา
มิฉะนั้นมันก็เท่ากับว่า นางไม่ได้ยื่นมือช่วยเหลืออะไรเลย!
แล้วนั่นจะไปสร้างความดีความชอบต่อฝ่าบาทได้อย่างไร?
ซูจิ่งเยว่พยักหน้าตอบตกลงโดยแทบไม่คิดอันใด ไม่มีเตรียมตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าแพรพรรณ เผ้าผมกระเซอะกระเซิง ออกไปทั้งแบบนั้นในทรงเล้าไก่โสโครก!
พระราชวังหลักที่ฝ่าบาทประทับอยู่ ตั้งอยู่ใจกลางวังหลวง ห่างจากตำหนักหลอมกลั่นโอสถของซูจิ่งเยว่อยู่ไม่น้อย
ทว่าอย่างไรทั้งสองอยู่ในสถาการณ์เร่งด่วน ต่างคนต่างเร่งฝีเท้าก้าวสับไม่หยุดหย่อน
เนื่องด้วยมีกฎเหล็กที่ว่า ทางไปพระราชวังหลักที่ฝ่าบาทประทับไม่สามารถสำแดงใช้พลังบ่มเพาะได้ พอทั้งคู่มาถึงก็แข้งขาอ่อนยวบนั่งกองอยู่หน้าพระราชวังพร้อมเสียงหายใจถี่หอบ
โคตรจะไกล!
หลี่หวงอดสบถเป็นภาษาปัจจุบันมิได้
“ใต้เท้าซู! คุณหนูจวิ๋น! ฝ่าบาททรงประทับรอพวกท่านอยู่ข้างในนานแล้ว โปรดตามข้าเข้ามา!”
เดิมทีซูจิ่งเยว่กำลังจะเดินไปบอกเรียกขันทีว่า พวกตนมาขอเข้าเฝ้า แต่ที่ไหนได้ ราวกับฝ่าบาทรู้ทุกอย่างอยู่แล้ว จึงสั่งให้ขันทียืนรอด้านหน้าพระราชวังเพื่อต้อนรับการมาถึงของทั้งสองอยู่นานแล้ว
หลี่หวงกับซูจิ่งเยว่ถึงกับมองหน้ากัน ฉายแววสงสัยอย่างอดมิได้
ฝ่าบาทรู้อยู่แล้วว่าพวกเขาจะมา?
ยิ่งไปกว่านั้น ยังรู้อีกว่าหลี่หวงจะมาด้วย?
คล้อยหลังเก็บซ่อนความสงสัยภายในใจ หลี่หวงกับซูจิ่งเยว่ก็เดินตามขันทีที่นำทางเข้าไปภายในพระราชวัง
บนบัลลังก์สีทองอร่ามอันแสนโองอาจกลับว่างเปล่า ขันทีที่เห็นดังนั้นจึงพาพวกเขาเข้าไปในตำหนักที่อยู่ติดกันแทน
เมื่อเข้ามาภายในตำหนักนี้ สิ่งแรกที่หลี่หวงเห็นก็คือ บุรุษรูปงามผู้หนึ่งที่กำลังนอนอ้าซ่าอยู่บนฟูกในท่วงท่าแสนสบาย มือข้างซ้ายเท้าศีรษะ ส่วนมือข้างขวากำลังถือฎีกาม้วนหนึ่งอยู่ ดูท่าแล้วกำลังอ่านอย่างเอาจริงเอาจัง
บุรุษผู้นี้เพียงเคลื่อนสายตามองฎีกาจากบรรทัดหนึ่งไปยังอีกบรรทัดหนึ่ง ยังสามารถสร้างแรงกดดันที่แผ่สะท้านออกมาได้ขุมหนึ่ง กลิ่นอายที่พรั่งพรูออกมาช่างแกร่งกล้าเกินบรรยาย!
นี่น่ะหรือ...องค์จักรพรรดิ!
“ฝ่าบาท ใต้เท้าซูและคุณหนูจวิ๋นมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีคนนั้นเอ่ยขานอย่างสุภาพยิ่ง
ทว่าชายหนุ่มผู้นั้นกลับโบกมือปัด ไล่ขันทีคนดังกล่าวออกไปราวกับรำคาญ
จากนั้นก็โยนฎีกาทิ้งด้านหลัง ลุกขึ้นยืนพร้อมจับจ้องทั้งสองที่อยู่เบื้องหน้า
“กว่าจะมาได้”
สุ้มเสียงของเขาค่อนข้างแผ่วอ่อน ระหว่างเอ่ยกล่าวพลางบิดขี้เกียจเสียงกระดูกดังเปรี๊ยะปร๊ะ แต่ฟังแล้วพลันสัมผัสได้ถึงบารมีอันยิ่งใหญ่
“คาราวะ...”
ขณะที่ซูจิ่งเยว่กำลังจะคุกเข่าทำการคาราวะ ทว่ากลับถูกชายหนุ่มผู้นี้กล่าวขัดจังหวะขึ้นทันที
“ช่างเถอะ ช่างเถอะ ทำมันทุกวัน ไม่เมื่อยบ้างรึไง? พวกเจ้านั่งกันก่อนเถิด”
หากหลี่หวงไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามหรือความคิดเห็นของฝูงชนที่มีต่อฝ่าบาทมาก่อน นางเองก็ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ชายหน้าหล่อที่ยืนอยู้เบื้องหน้าคนนี้จะเป็น องค์จักรพรรดิ! เขาคือกษัตริย์แห่งจักรวรรดิซีเหวิน!
ซูจิ่งเยว่ได้แต่ยิ้มกระอักกระอ่วน ก่อนนั่งขัดสมาธิลงกับพื้นโดยไม่มีเกรงใจใดๆ
หลี่หวงเองก็ไม่กล้าพูดแทรกอะไรเช่นกัน จึงนั่งพื้นตามอย่างเงียบๆ
“เจ้าคือหลานสาวตัวน้อยของปิงปิงกระมัง? นางช่างงดงามอะไรปานนี้ ฮ่าฮ่า...”
ฝ่าบาทยิ้มและเหลือบสายตาจับจ้องไปยังหลี่หวง แต่น้ำเสียงฟังดูสบายๆ ราวกับกำลังสนทนากับคนรุ่นเดียวกันอยู่ ไร้จิตสังหาร ไร้ความกดดัน ไร้ซึ่งความห่างเหิน
เดี๋ยวนะ? สถานการณ์ในตอนนี้คือ หลี่หวงกับซูจิ่งเยว่กำลังเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิอยู่ไม่ใช่เหรอ? บรรยายการไม่ควรดูผ่อนคลายแบบนี้สิ?
หลี่หวงนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนนึกขึ้นได้ว่าปิงปิงที่ฝ่าบาทกำลังพูดถึง แท้ที่จริงแล้วคือท่านปู่ของนาง จวิ๋นปิง!
นางพยักหน้าตอบเล็กน้อย
องค์จักรพรรดิจับจ้องหลี่หวงเจือแววสนุกสนาน ทว่ากลับไม่ทราบเลยว่า เขากำลังคิดอะไรอยู่
“ท่านทราบอยู่แล้วว่าพวกเราจะมา?”
ซูจิ่งเยว่โพล่งกล่าวขึ้นมาแทบไม่ต้องคิด
ฝ่าบาททรงคำนวณทำอย่างไรอยู่แล้ว?
“ก็มาหาเรื่องเสี่ยวเฉินไม่ใช่เหรอ?”
หลังจากนิ่งเงียบไปสักพัก องค์จักรพรรดิก็เอ่ยตอบกลับมา
แสดงว่าฝ่าบาทเฝ้ามองเหตุการณ์ที่ผ่านมาอย่างเงียบๆ มาโดยตลอดงั้นรึ?
และทราบอยู่แล้วว่า หลี่หวงเองก็อยู่ในทุกช่วงเวลาของเรื่องราวดังกล่าว?
นี่ยังไม่ชัดเจนอีกรึ? องค์จักรพรรดิที่อยู่เบื้องหน้าตรงนี้ รอหมอทั้งสองอย่างพวกเขามาเพื่อไถ่ถามอาการปัจจุบันขององค์รัชทายาท!
“พวกเจ้ากลับไปก่อนเถอะ เจ้าเสี่ยวเจวี่ยมันน่าจะมาแล้ว”
องค์จักรพรรดินั่งลูบคางตัวเอง มุมปากกระตุกยิ้มอย่างชั่วร้าย เหลือบหางตาใส่ซูจิ่งเยว่และกล่าวว่า
“เสี่ยวเจวี่ยเป็นคู่หมั้นของเจ้าหนูจวิ๋นเขา อนุญาตให้อยู่ได้ยังพอเข้าใจ ทว่าเจ้าควรออกไปได้แล้วกระมัง?”
ทว่าทันทีที่ได้ยินแบบนั้น หลี่หวงขมวดคิ้วแน่นกล่าวแทรกขึ้นก่อนว่า
“เดี๋ยวก่อน ข้าไม่เคยเห็นองค์ชายเก้ามาก่อนเลยสักครา กล่าวเช่นนี้คงไม่เหมาะสม”
“หะ?”
น้ำเสียงของจักรวรรดิเข้มขึ้นทันใด ร้องอุทานคำหนึ่ง สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
หลี่หวงขี้เกียจเกินจะกล่าวอธิบายอันใดไปมากกว่านี้ ทำไมเวลานางกล่าวแบบนี้เกี่ยวกับเรื่องขององค์ชายเก้า ทุกคนมักจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้กันหมด?
“ก็คือ...สรุปว่าข้าหมดประโยชน์แล้ว? แต่เดี๋ยวก่อน ฝ่าบาทรู้เรื่องทั้งหมดนี้ได้อย่างไร?”
“เสี่ยวเจวี่ยบอกข้าเอง แถมยังย้ำอีกว่า ขอให้ข้าเชื่อใจเจ้าหนูจวิ๋น”
องค์จักรพรรดิยักไหล่ให้ซูจิ่งเยว่อย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะหันไปมองหลี่หวงอีกครั้ง
หลี่หวงได้ยินแบบนั้น แทบจะพองขนใส่ในบัดดล องค์ชายเก้าอะไรนั่นแค้นนักแค้นหนาอะไรกับนางปานนั้น ถึงต้องกล่าวแบบนี้?
“ข้าช่างไร้ความสามารถนัก คงไม่...”
หลี่หวงรีบกล่าวปฏิเสธทันควัน
นี่มันเรื่องลูกชายตัวเองมั๊ยล่ะ! อย่ามายุ่งกับข้า!
“อืมม...จะว่าไปศีรษะของปิงปิงก็สวยดี ตัดมาประดับตำหนักข้าน่าจะไม่เลว”
เสียงแหบเย็นขององค์จักรพรรดิเอ่ยขึ้นแทรกในชั่วอึดใจ
เส้นเลือดสีเขียวปูดโปนขึ้นบนหน้าผากของหลี่หวง นางแทบจะระเบิดอารมณ์โกรธทันทีที่ได้ยิน
โหดชิ*หาย!
“อะแหม! ข้าจะทำให้ดีที่สุด!”
องค์จักรพรรดิพยักหน้าตอบด้วยความพึงพอใจยิ่ง
เมื่อได้ยินหลี่หวงกล่าวเช่นนี้ มันก็เท่ากับว่านางได้เอ่ยปากสัญญาแล้วว่าจะช่วยรักษาหลิงชิงเฉิงให้หาย
ในอีกด้านหนึ่ง พอได้เห็นท่าทางการแสดงออกเช่นนี้ขององค์จักรพรรดิ ก็ดูไม่เหมือนว่าเขาผู้นี้จะเป็นคนใจจืดใจดำอะไรเลย กลับกันดูท่าจะห่วงชีวิตของบุตรชายตัวเองเป็นอย่างมาก
หลี่หวงในตอนนี้รู้สึกหมดสิ้นหนทางอย่างบอกไม่ถูก องค์จักรพรรดิผู้นี้นี่มันจิ้งจอกเฒ่าในคาบหนุ่มหล่อชัดๆ! นางแทบจะมองไม่ออกด้วยซ้ำว่า อีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่!
แต่...องค์ชายเก้าไปรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง? หรือเป็นไปได้ไหมว่า องค์ชายเก้าจะแอบได้ยินบทสนทนาระหว่างนางกัลซูจิ่งเยว่ก่อนหน้านี้?
“ข้ายังอยู่ที่นี่ทั้งคน! อย่าเพิ่งลืมกันสิ!”
ซูจิ่งเยว่เดือดจะพลุแตกแล้ว นี่ชักจะหยามศักดิ์ศรีกันมากไปแล้ว!
“จิ่งเยว่เอ่ยจิ่งเยว่ เจ้าได้ยินที่เจ้าหนูจวิ๋นน้อยกล่าวหรือไม่ นางบอกจะพยายามให้ดีที่สุด แน่นอน! นางต้องรักษาเสี่ยวเฉินได้อยู่แล้ว คง...ไม่ต้องเพิ่งนักหลอมโอสถแถวนี้~”
ระหว่างที่องค์จักรพรรดิกล่าวขึ้น เขาก็มองไปที่หลี่หวง ก่อนจะเหลือบหางตาเย้ยหยั่นใส่ซูจิ่งเยว่
ดวงตาคู่นั้นเปี่ยมล้นไปด้วยแววเย้าหยอก!
“ท่านเอานางมาฮา แต่เอาข้ามาฆ่า! ข้าขอตัว! ไม่! ไม่! หยุดเลย! ไม่ต้องมาห้ามข้าด้วยฝ่าบาท!”
ซูจิ่งเยว่ลุกขึ้นและเดินจากออกไปทันที ที่นี่ไม่จำเป็นต้องมีเขาแล้ว!
เขาเดินจากไปอย่างรู้ความ!
“ฝากปิดประตูตำหนักด้วย ข้าไม่ว่างไปส่ง!”
องค์จักรพรรดิตะโกนไล่หลังตอบ
ทันทีที่ประตูตำหนักปิดลงสนิท หลี่หวงก็ได้ยินสุ้มเสียงถอนหายใจดัง ‘ฮึ่ม’ ออกมาอย่างชัดเจน
ความสัมพันธ์ระหว่างซูจิ่งเยว่กับองค์จักรพรรดิค่อนข้างแปลกโดยแท้!
“ในเมื่อซูจิ่งเยว่ไปแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็ควรพูดความจริงออกมาได้แล้วกระมัง?”
หลี่หวงหรี่ตาแคบจับจ้ององค์จักรพรรดิที่อยู่เบื้องหน้า แววตาไร้ระลอกคลื่นอารมณ์ผันผวนใด น้ำเสียงเอ่ยเรียบฟังดูเย็นชาสะท้านใจ
“นี่เจ้าพูดกับฝ่าบาทเช่นนี้รึ?”
น้ำเสียงขององค์จักรพรรดิเองก็พลันเร้นแฝงความเยือกเย็นอยู่หนึ่งส่วน เสมือนว่าไม่ค่อยพอใจกับทัศนคติของหลี่หวงในยามนี้
“ก็เจ้ามีเรื่องต้องการขอร้องให้ข้าช่วย โดยปกติแล้วข้าในตอนนี้อยู่เหนือกว่าเจ้า”
หลี่หวงเอ่ยน้ำเสียงเรียบ
“เจ้าเองก็มีเรื่องต้องการขอร้องให้ข้าช่วยเช่นกัน ถือว่าเจ๊า”
องค์จักรพรรดิสวนตอบทันทีพลางยักไหล่ให้ไปอีกทีหนึ่ง
หลี่หวงแหงนหน้าขึ้นมองในทันใด นัยน์ตาสีม่วงคู่บริสุทธิ์ของนางพลันฉายแววสยดสยองลึกล้ำขึ้นหลายส่วน!
บรรยากาศเริ่มจะน่ากลัวขึ้นเล็กน้อย!
และนี่ยังพิสูจน์ให้เห็นอีกว่า หลี่หวงไม่ดีมีความเกรงกลัวอะไรต่อองค์จักรพรรดิผู้นี้เลย!
“ช่างแปลกคนเสียจริง”
องค์จักรพรรดิจ้องหลี่หวงตาเขม็งอยู่พักหนึ่ง จนในท้ายที่สุดก็จำต้องถอนสายตาเบี่ยงหลบไปอย่างช่วยไม่ได้ พลางบ่นขึ้นมาคำหนึ่ง
“เจ้าพบว่าภายในร่างกายของเสี่ยวเฉินมีจิตวิญญาณชนิดหนึ่งกำลังกลืนกินพลังชีวิตเขาอยู่ แล้วพอมีวิธีรักษาได้หรือไม่?”
“ไม่”
หลี่หวงเอ่ยตอบอย่างตรงไปตรงมา
“ไม่?”
องค์จักรพรรดิขมวดคิ้วแน่น เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่า หลี่หวงจะกล่าวปัดด้วยท่าทีสบายๆ เช่นนี้
หลี่หวงเอ่ยต่ออีกว่า
“แล้วท่านทราบหรือไม่ว่า มันคือวิญญาณคืนฝัน?”