ตอนที่แล้วตอนที่67 นี่มันไม่ถูกต้อง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่69 วิญญาณคืนฝัน

ตอนที่68 จิตวิญญาณ


ตอนที่68 จิตวิญญาณ

ราวกับมีหลายหลากปัญหาถาโถมเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ

หากเลี่ยงได้ หลี่หวงก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งเช่นกัน

เดิมทีเรื่องของตัวนางเองก็มากพอแล้ว แถมตอนนี้ยังมีปัญหาเรื่องวินิจฉัยอาการป่วยปริศนาเข้ามาอีก...

นางกัดฟันกรอด ปัญหาแต่ละอย่างก็ใช่ว่าจะจัดการได้โดยง่าย แต่มีหรือที่คนอย่างหลี่หวงจะเป็นพวกกลัวปัญหา?

เปล่า! นางแค่รำคาญใจ!

“ส่งมือมาให้ข้า”

หลี่หวงไม่ใจเย็นอีกต่อไป เอ่ยปากออกคำสั่งอีกฝ่ายในทันที

หลิงชิงเฉิงเองก็ไม่มีขัดขืนและส่งมือให้ตามอีกฝ่ายสั่ง หลี่หวงใช้สองนิ้วลงมาทาบบนข้อมือเพื่อจับชีพจรอย่างรวดเร็ว

คล้ายกับเวลาเฝ้าสังเกตชีพจรของสัตว์ทดลองในชีวิตก่อนหน้า แค่ตอนนี้ต้องมีดูชีพจรของมนุษย์ ทันใดนั้นเองปลายคิ้วของหลี่หวงก็กระตุกขึ้นมาอย่างผิดสังเกต

แต่...นางกลับไม่แน่ใจเช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้น

สิ่งเดียวที่มั่นใจได้ก็คือ สาเหตุหลักที่หลิงชิงเฉิงป่วยไม่ได้มาจากทางจิตใจ แต่เป็นกายภาพแน่นอนแล้ว!

“ชีพจรของท่านเต้นผิดปกติ!”

หลี่หวงกล่าว

“!!”

หลิงชิงเฉินตกใจอย่างมาก เพราะนางเป็นคนแรกที่บอกว่า ตัวเขามีชีพจรเต้นผิดปกติ

“ท่านรออยู่ที่นี่ก่อน!”

หลี่หวงทิ้งท้ายเพียงแค่ประโยคเดียว และรีบวิ่งออกไปทันที

ภายในเรือนรับแขกของตำหนักองค์รัชทายาท ก่อนหน้านี้หลี่หวงไล่ให้หลิงเฟิงไปนั่งดื่มชม พลางแทะเมล็ดแตงโมรอไปก่อน พอเวลานี้เห็นนางรีบวิ่งแจ่นเข้ามา เขาก็สะดุ้งโหย่งลุกขึ้นพรวดในทันใด

“ได้ผลหรือไม่? จะกลับแล้วรึยัง?”

หลิงเฟิงยืนขึ้นปักเศษซากเมล็ดแตงโมบนเสื้อผ้า และเตรียมจะพาหลี่หวงกลับออกไป

แต่หลี่หวงกลับคว้าแขนของหลิงเฟิงดังหมับ สีหน้าร้อนใจอย่างมาก เห็นดังนั้นก็ทำให้เขารู้สึกแปลกใจไม่น้อย

“มีอะไรรึเปล่า?”

ในความคิดของหลิงเฟิง หลี่หวงไม่น่าจะสามารถรักษาได้เพียงลำพัง แต่ที่รีบร้อนเช่นนี้หรือจะค้นพบเบาะแสอะไรบ้างแล้ว?

“เจ้ารีบไปเรียกซูจิ่งเยว่มาที่นี่โดยเร็ว! ร่างกายของชิงเฉินมีปัญหาจริงๆ!”

หลี่หวงกล่าวน้ำเสียงจริงจัง

“!!”

ดวงตาคู่นั้นของหลิงเฟิงแปรเปลี่ยนกลายเป็นมีดคมกริบในชั่วพริบตา ดูจริงจังขึ้นมาทันใด รีบพยักหน้าให้หลี่หวงและปราดพุ่งออกไปด้วยความเร็วงสูงสุด พร้อมทิ้งท้ายแค่ว่า

“หลังจากกลับมาอธิบายให้ข้าฟังด้วย!”

หายไปพร้อมเสียงประตูตำหนักบานใหญ่ปิดดังปัง!

สมแล้วที่ติดหนึ่งในสิบแห่งทำเนียบเยาวชนเมืองหลวง ขนาดนี้หลี่หวงเองก็ยังไม่ทันสังเกตว่าหลิงเฟิงหายลับออกไปตั้งแต่ตอนไหน

แต่...ปฏิกิริยากระโตกกระตากของเจ้าหนุ่มคนนี้ทำให้หลี่หวงรู้สึกขบขันเสียจริง

นี่กระมัง ธรรมชาติของเจ้าหนุ่มคนนี้!

หลี่หวงอยากจะหัวเราะสักหนึ่งเสียง ทว่าเวลานี้กลับขำไม่ออก

ชีพจรของหลิงชิงเฉินยากมากที่จะสังเกตพบความผิดปกติ แต่ถึงแบบนั้นนางก็ยังพอตรวจจับค้นพบอะไรบางอย่างได้ ทว่าไม่สามารถบอกได้เช่นกันว่า มันคืออะไรกันแน่

ก็ไม่แปลกที่หลี่หวงจะไม่รู้เรื่องอะไรลึกซึ้งปานนั้น นางมาจากยุคสมัยปัจจุบัน และตอนศึกษาในระดับปริญญาตรี โทและเอก รายวิชาสาขาหลักโดยส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นเกี่ยวกับการวิจัยพิษวิทยา ส่วนวิชาแพทย์เบื้องต้นกับวิชาแพทย์แผนจีน กลับเป็นวิชาเลือกเท่านั้น

ส่วนที่ว่าทำไมนางถึงสังเกตเห็นความผิดปกติที่ยากจะค้นพบได้ ต้องยกความดีความชอบให้กับประสาทสัมผัสระดับวิทยาศาสตร์ชั้นแนวหน้าของโลกอย่างหลี่หวง

หลังจากนั้นไม่นาน หลิงเฟิงกับซูจิ่งเยว่ก็เดินทางมาถึงตำหนักองค์รัชทายาท รีบตรงปรี่มาหาหลี่หวงทันที

“เจ้าหัวไชเท้า! เจ้าบอกว่าร่างกายขององค์รัชทายาทผิดปกติงั้นรึ?”

ซูจิ่งเยว่ไม่แปลกใจเลยที่เห็นหลี่หวง แต่รู้สึกเหลือเชื่ออย่างมากที่บอกว่า ร่างกายขององค์รัชทยาทมีปัญหา

เขาเคยตรวจชีพจรขององค์รัชทายาทก็หลายครั้งแล้ว แต่ทุกครั้งล้วนเป็นปกติดีและไม่น่าจะส่อแววถึงปัญหาใด

“ไม่หรอก เจ้าลองจับชีพจรอีกที ครั้งนี้รู้เรื่องแน่นอน!”

หลี่หวงตรงเข้ามาจับมือซูจิ่งเยว่ไว้แน่นและลากมายังศาลาหินอ่อนด้านนอกโดยไว

แต่ชั่วอึดใจ พอเห็นว่าหลิงเฟิงกำลังจะเดินตามมา หลี่หวงกลับยกนิ้วชี้หน้าสั่งการไปคำหนึ่ง

“เจ้าอยู่นี่ห้ามตามมา!”

“อันใดกัน?!”

หลิงเฟิงเบิกตาโตเอ่ยถามออกไปอย่างไม่สบอารมณ์โดยไม่รู้ตัว

“แล้วข้าจะมาอธิบายต้นตอของอาการป่วยในภายหลัง แต่ยังมิใช่ตอนนี้!”

หลี่หวงกำชับเสียงขึงขัง

หลิงเฟิงที่ทำอะไรอื่นไม่ได้ ก็คอตกพลันรู้สึกหดหู่ใจไม่น้อย

ซูจิ่งเยว่เองก็พอจะรู้เจตนาความตั้งใจของหลี่หวงอยู่บ้าง จึงเอ่ยเสริมขึ้นปลอบใจว่า

“เจ้าหนูรออยู่ตรงนี้แหละ ถ้ามีอะไรจะรีบแจ้งให้ทราบทันที!”

เจอซูจิ่งเยว่ตาเฒ่าคู่กัดของเขากล่าวย้ำอีกระลอกใส่ หลิงเฟิงก็พูดไม่ออกและเดินกลับไปนั่งรอด้านในเรือนรับรองอย่างเงียบๆ

“เจ้าหัวไชเท้า บอกข้าทีเถอะ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ถึงเรียกข้ามาที่นี่?”

ขณะที่ทั้งคู่กำลังเดินไปยังศาลากลางด้านนอก ซูจิ่งเยว่ก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย

“ลงมือทำให้มาก ส่วนปากน่ะพูดให้น้อยหน่อยเถอะ”

หลี่หวงเหลือบหางตามองซูจิ่งเยว่แวบหนึ่ง

“อีกประเดี๋ยว เจ้าจะพึงทราบเองว่า ชีพจรขององค์รัชทายาทมีปัญหาตรงไหน แต่หากทราบเมื่อใดว่า องค์รัชทยาทป่วยเป็นโรคนี้ได้อย่างไร จงอย่าซักถาม เพียงชี้แจงต้นเหตุให้คลายสงสัยและวิธีรักษาเป็นพอ”

คล้ายว่าหลี่หวงจะทราบถึงอะไรบางอย่าง นางจึงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย จึงกล่าวดักซูจิ่งเยว่ไว้ล่วงหน้าก่อน

“ข้ารู้น่า”

ซูจิ่งเยว่มองออกทันทีว่าหลี่หวงจริงจังขนาดไหนกับเรื่องนี้ จึงทำได้เพียงพยักหน้ารับคำและไม่กล้าซักไซ้ถามอะไรให้มากความต่อ

หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งสองก็มาถึงศาลาหินอ่อน ส่วนองค์รัชทายาทหลิงชิงเฉิงก็กำลังนั่งแข็งค้างด้วยความสับสน ราวกับยังเกิดอาการงุนงงที่จู่ๆ หลี่หวงก็จากออกไปอย่างกะทันหัน

“ซูจิ่งเยว่?”

แวบแรกที่เห็นใบหน้าแก่ชราของซูจิ่งเยว่ หลิงชิงเฉินพลันอุทานขึ้นทันใด ปรากฏว่านางรีบวิ่งออกไปเรียกซูจิ่งเยว่งั้นรึ?

“ส่งมือมา!”

ทั้งสองนั่งลงตรงหน้าหลิงชิงเฉินแทบจะพร้อมกัน และเอ่ยปากขอมืออีกฝ่ายอย่างพร้อมเพรียง

หลิงชิงเฉินเองก็ว่าง่ายเชื่อฟังโดยดี แต่ครั้งนี้กลับไม่ใช่การจับชีพจรบริเวณข้อมือ แต่เป็นเส้นเลือดใหญ่บริเวณข้อพับแขนแทน มือข้างซ้ายให้หลี่หวงจับพินิจตรวจสอบ ส่วนมือข้างขวาให้ซูจิ่งเยว่วินิจฉัย

ขณะที่ทั้งสองกำลังจับเส้นเลือดใหญ่บริเวณข้อพับ จู่ๆ หลี่หวงก็โน้มตัวไปกระซิบข้างอยู่ของซูจิ่งเยว่ ผ่านไปอีกสักพัก ก็เป็นซูจิ่งเยว่ที่โน้มตัวไปกระซิบข้างหูของหลี่หวงแทน เป็นเช่นนี้สลับกันไปมาหลายรอบ สีหน้าของพวกเขาดูเคร่งเครียดขึ้นมาทันควัน คู่คิ้วแทบขมวดติดกันเป็นปม

“เกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย?!”

หลิงชิงเฉินหันซ้ายแลขวาเฝ้ามองทั้งคู่กระซิบกระซาบกันจนมึนไปหมด พอเห็นทั้งสองเอาแต่เงียบใส่ตัวเองก็ยิ่งอดวิตกกังวลเป็นไม่ได้จนต้องตะโกนโวยวายออกมาเช่นนี้

นี่มันเรื่องตลกอันใด? กำลังทดสอบจิตใจผู้ป่วยกระมัง?

ซูจิ่งเยว่รู้สาเหตุที่หลี่หวงเรียกเขามาที่นี่ได้ทันที และสิ่งนี้ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ชั้นเยี่ยมว่า ความสามารถในการสังเกตของหลี่หวงค่อนข้างดีมาก สำหรับอาการป่วยนี้ นอกจากซูจิ่งเยว่แล้ว คงไม่มีใครสามารถตรวจพบได้

ก่อนหน้านี้กระบวนการรักษาองค์รัชทายาทมันไม่ตรงจุดเลยจริงๆ

โดยผิวเผิน อาศัยแค่การจับชีพจรกลับเป็นเรื่องยากยิ่งที่จะตรวจพบ จำเป็นต้องเฝ้าสังเกตระบบหมุนเวียนเลือดภายในร่างกายแทน

“เจ้าได้คำตอบรึยัง?”

ในที่สุดหลี่หวงก็เอ่ยเสียงเรียกซูจิ่งเยว่

“สาเหตุมาจากจิตวิญญาณ”

ซูจิ่งเยว่กล่าวขึ้นพร้อมเงยหน้าขึ้นมองหลี่หวง ตัดสลับกับองค์รัชทายาท

แต่ทั้งสองถึงกับตกตะลึง

จิตวิยญญาณ!

“ไม่น่าแปลกเลย ไฉนข้าถึงไม่เคยตรวจพบถึงสิ่งนี้เลย! ปรากฏว่าต้นเหตุมาจากจิตวิญญาณ!”

ซูจิ่งเยว่เคยวินิจฉัยไปแล้วรอบหนึ่งว่า สาเหตุน่าจะเกิดจากจิตวิญญาณ แต่พอให้โอสถจิตสงบลงไปกลับไม่ช่วยเลยแม้แต่น้อย ข้อหัวดังกล่าวจึงถูกปัดตกไปและไม่เคยนำมาไตร่ตรองอีกเลย แต่พอหลี่หวงบอกให้ลองตรวจจากเส้นเลือดใหญ่ดู เขาก็ถึงกับรู้แจ้ง

“จิตวิญญาณ....”

หลี่หวงรำพึงขึ้นกับตัวเองเบาๆ และทันใดนั้นนางก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้

หลี่หวงเงยหน้าขึ้นมองหลิงชิงเฉินเพื่อจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่กลับเห็นว่า อีกฝ่ายกำลังนั่งเหม่อลอยโดยไม่ทันรู้ตัว ราวกับปิดกั้นตัวเองกับโลกภายนอกไปชั่วขณะหนี่ง

หลี่หวงเร่งส่งสายตาให้ซูจิ่งเยว่ดูทันที พออีกฝ่ายได้เห็นท่าทีเหม่อลอยแปลกๆ ของหลิงชิงเฉิง ทั้งสองก็ถึงบางอ้อ ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรอีกและลุกขึ้นจากออกไปอย่างเงียบๆ

ปล่อยให้หลิงชิงเฉินนั่งกินลมชมทิวทัศน์ใจกลางศาลาทะเลสาบไปก่อนนั่นแหละ

“เป็นยังไงบ้าง!?”

หลิงเฟิงรีบเร่งเอ่ยถามขึ้นทันทีอย่างร้อนใจพอเห็นทั้งคู่เดินกลับมา

“รู้เหตุผลแล้ว แต่ยังบอกไม่ได้ตอนนี้”

ซูจิ่งเยว่เอ่ยประโยคนี้ขึ้นแทนหลี่หวง และกล่าวต่อว่า

“องค์ชายสิบ หากเป็นไปได้ช่วงนี้ ท่านย้ายมาค้างแรมอยู่กับองค์รัชทยาทไปก่อน หากพบเห็นเหตุการณ์ประหลาดให้รีบมาแจ้งกับข้าไม่ก็หลี่หวง”

หลิงเฟิงเป็นเด็กหนุ่มรู้กาลเทศะ แม้จะไม่ค่อยกินเส้นกับซูจิ่งเยว่เท่าไหร่นัก แต่เมื่อใดที่อีกฝ่ายจริงจังแสดงว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยแล้ว จึงพยักหน้าตอบและกล่าวให้สัญญาไปว่า

“เช่นนั้นข้าจะนอนค้างตำหนักพี่ใหญ่สักสองสามวัน วางใจได้เลย!”

ซูจิ่งเยว่กับหลี่หวงพยักหน้าให้และเดินจากออกไปด้วยกันโดยไม่พูดไม่จาอีกต่อไป

มุ่งหน้าตรงกลับไปยังตำหนักส่วนตัวของซูจิ่งเยว่ภายในวังหลวง

แต่เนื่องจากซูจิ่งเยว่มีระดับชั้นพลังที่สูงส่งกว่าหลี่หวงอยู่มาก ดังนั้นเขาจึงรู้สึกรำคาญใจเล็กน้อยที่หลี่หวงเดินช้าจนตามไม่ทัน ในท้ายที่สุดนี้เขาจึงอุ้มร่างของนางขึ้นมาและเร่งเร้าพลังปราณทั่วร่างให้พลุ่งพล่าน ปราดพุ่งกลับเข้าตำหนักของตนเองด้วยความเร็วสูงสุด

ซูจิ่งเยว่กับหลี่หวงเพิ่งออกจากตำหนักองค์รัชทายาทได้ไม่นาน ทันใดนั้นหลิงฉางเจวี่ยก็ปรากฎตัวขึ้นต่อหน้าหลิงเฟิง

“พี่เก้า! มาสักที!”

หลิงเฟิงที่เห็นหลิงฉางเจวี่ยโผล่หัวมาสักที ก็พลันรู้สึกโล่งอก

“พี่สะใภ้เก้ากับตาเฒ่าจิ่งเยว่บอกว่า...”

หลิงฉางเจวี่ยยกมือขึ้นหยุดหลิงเฟิงมิให้พูดต่อ

“ข้าได้ยินบทสนทนาของพวกเจ้าหมดแล้ว เสี่ยวเฟิง สองสามวันนี้ก็ดูแลพี่ใหญ่ให้ดีล่ะ”

“มันแน่นอนอยู่แล้ว!”

หลิงเฟิงยกมือขึ้นตบหน้าอกอย่างมั่นใจ แต่ชั่วขณะหนึ่งเขาก็เอ่ยปากถามหลิงฉางเจวี่ยต่อด้วยความสงสัย

“พี่เก้า แต่เรื่องนี้จะให้พี่สะใภ้เก้ากับตาเฒ่าจิ่งเยว่จัดการเองมันก็...”

หลิงฉางเจวี่ยพยักหน้า

“นางจะไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด