ตอนที่67 นี่มันไม่ถูกต้อง
ตอนที่67 นี่มันไม่ถูกต้อง
องค์รัชทายาทไม่ทราบเลยเพราะเหตุใด ทั้งที่สาวน้อยนางนี้อายุยังเด็กมาก ทว่ากลับเข้ากับเขาได้ดีอย่างคาดไม่ถึง
อายุของเขาก็เกือบจะสี่สิบแล้ว มีคุณสมบัติเพียงพอสำหรับเป็นพ่อของนางด้วยซ้ำไป
ทว่า...เรื่องมิตรสหายกลับไม่เกี่ยวข้องกับอายุ
และองค์รัชทายาทเชื่อมั่นว่า คนที่สามารถทำให้ตนเปิดใจได้ขนาดนี้ คงไม่มาหลอกกันแน่นอน
“เสวี่ยเอ๋อร์...ตัวตนของนางหาใช่ธรรมดาทั่วไปไม่ เมื่อสามปีก่อน...ตระกูลของนางบุกมายังวังหลวง”
ทว่าเพียงได้ฟังหลิงชิงเฉินเอ่ยวาจาเปิดฉาก หลี่หวงก็ตะลึงแล้ว
สถานะเดิมของพระชายาขององค์รัชทายาทสูงส่งขนาดไหนเชียว? ตระกูลของนางถึงสามารถเข้าออกวังหลวงได้ตามต้องการ?
แต่เดี๋ยวก่อน...เรื่องพวกนี้กลับไม่มีบันทึกในเอกสารข้อมูลที่จวิ๋นหลี่จิวนำมาให้เลยมิใช่รึ? นี่แสดงให้เห็นแล้วว่า ระดับชั้นความแกร่งกล้าของตระกูลนางจะต้องไม่ธรรมดาจริงๆ เพราะควรทราบ ก่อนบุกเข้ามาถึงวังหลวงได้จำต้องฝ่าจวนที่ตั้งของทั้งสี่ตระกูลใหญ่มาให้ได้ก่อน แล้วตระกูลนางหลบเลี่ยงสายตาของทั้งสี่ตระกูลบุกเข้ามาถึงภายในนี้ได้อย่างไร?
หากไม่มีบันทึกในข้อมูลก็แสดงว่าทางตระกูลจวิ๋นเองย่อมไม่ทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และอีกสามตระกูลก็เช่นกัน
เก่งจนถึงขนาดทำให้สี่ตระกูลใหญ่ไม่ทันไหวตัวด้วยซ้ำ!
นี่ยิ่งทำให้หลี่หวงประหลาดใจเข้าไปใหญ่
ใครกันที่ไม่เกรงกลัวพลังอำนาจของวังหลวงและบุ่มบ่ามบุกเข้าแบบนี้ได้?
“อย่างที่เจ้ากำลังคิดเห็นอยู่ในขณะนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวมีคนรู้น้อยมาก เท่าที่ทราบกลับมีเพียงเสด็จพ่อกับข้าเท่านั้น ส่วนนางกำนัลและขันทีล้วนถูกสังหารสิ้นแล้ว แต่จะอย่างไร ข้าเองก็มิทราบว่า เสี่ยวเจวี่ยรู้ด้วยหรือไม่ เพราะตอนนั้นรู้สึกว่าเจ้าน้องคนนี้จะไม่อยู่”
หลิงชิงเฉินกล่าวอธิบาย
“อืม แม้แต่ฝ่าบาทยังต้องลำบากมิใช่น้อยในเหตุการณ์ครั้นนั้น?”
หลี่หวงยกมือขึ้นพลางครุ่นคิด
“สถานะศักดิ์ของเสวี่ยเอ๋อร์ในตระกูลของนางค่อนข้างพิเศษ ด้วยเหตุผลบางประการที่มิอาจล่วงรู้ ทางตระกูลของนางจึงบุกมาหาพวกเรา เพื่อขอตัวเสวี่ยเอ๋อร์กลับไป”
“ทีแรกข้ากับเสด็จพ่อไม่เห็นด้วย แต่...คนพวกนั้นขู่ว่าจะฆ่าล้างบางทุกคนภายในเมืองหลวงหากปฏิเสธ ท้ายที่สุดนี้เสด็จพ่อจึงจำใจอ่อนข้อ และเสวี่ยเอ๋อร์เองก็เห็นผู้คนถูกเข่นฆ่ามิได้เช่นกัน”
“มีเพียงข้าที่ปฏิเสธหัวชนฝา ทั้งเสด็จพ่อกับเสวี่ยเอ๋อร์จึงตัดสินใจขังข้าอยู่ในพระราชวัง ทำได้เพียงเฝ้ามองเสวี่ยเอ๋อร์ถูกนำตัวออกไปผ่านหน้าต่าง...”
ท่าทางการแสดงออกของหลิงชิงเฉินดูเจ็บปวดเล็กน้อย พอต้องนึกถึงภาพฉากในวันนั้น ก็พลันรู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่งใจกลางหัวใจดวงนี้
“ข้าทำอะไรไม่ได้ แม้แต่เสด็จพ่อยังไม่กล้าขัดขืนคนพวกนั้น ....ทั้งๆ ที่พวกมันบุกกันมาเพียงสิบคนเท่านั้น! แต่พวกเราและกองกำลังทั้งวังหลวงกลับทำอะไรไม่ได้เลย!! นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าได้รู้สึกว่า ตนเองช่างอ่อนแอยิ่งนัก”
“หลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดผ่านไป เสด็จพ่อได้แต่เข้ามาปลอบข้าว่าและขอให้ลืมเสวี่ยเอ๋อร์ไปซะ นางไม่ใช่ของข้าอีกต่อไปแล้ว”
“แต่ข้าทำไม่ได้...”
เมื่อหลี่หวงเห็นท่าทางของหลิงชิงเฉินในขณะนี้ นางเองก็รู้สึกเวทนากับโชคชะตาอันบัดซบของอีกฝ่ายเช่นกัน
“นับแต่นั้นเป็นต้นมา ข้าก็ถอนตัวออกจากราชสำนักไม่ข้องเกี่ยวกับการเมืองการปกครองอีกต่อไป เอาแต่ฝึกปรือตั้งแต่เช้ายันค่ำ คิดเพียงว่าสักวันหนึ่งข้าจะต้องบุกไปช่วยเสวี่ยเอ๋อร์กลับมาให้จงได้!”
“แต่แล้ว...”
“สร้อยหยกแห่งชีวิตที่เสวี่ยเอ๋อร์ทิ้งไว้ให้ก่อนลาจากก็ได้แตกสลายไป...”
หลี่หวงเลิกคิ้วขึ้นมาด้วยความสงสัย สร้อยหยกแห่งชีวิตคืออะไร?
หรือจะหมายถึงเครื่องรางชนิดนี้ที่ใช้บันทึกพลังชีวิตของใครสักคนหนึ่ง แต่เมื่อแตกดับก็เป็นสัญญาณว่าอีกฝ่ายได้เสียชีวิตลงไปแล้ว?
สิ่งเหล่านี้เรียกว่า การคัดลอกวิญญาณ
แต่การคัดลอกวิญญาณเช่นนี้ก็ยังมีจุดบอดอยู่บางประการ หากเสาะหาพลังชีวิตจากสิ่งมีชีวิตสักอย่างที่มีคลื่นวิญญาณใกล้เคียงกัน ก็จะสามารถนำมาทดแทนเพื่อใช้หลอกผู้ครอบครองเครื่องรางได้
และการที่เครื่องรางที่แตกสลายไป มันมิได้บ่งบอกถึง สภาพกายเนื้อ ลักษณะ อายุ หรือหน่วยความทรงจำอะไรได้เลย
นอกจากนี้แล้ว เครื่องรางที่บันทึกพลังชีวิตแตก มันยังสื่อได้อีกนัยหนึ่งได้ถึง การกลับชาติมาเกิดใหม่
เพียงว่าช่องว่างระหว่างเวลาการกลับชาติมาเกิดใหม่จะค่อนข้างยาวนานมาก
“เจ้าเองก็คงทราบ การที่สร้อยหยกแห่งชีวิตแตกไปมันหมายถึงอะไร?”
หลิงชิงเฉินกล่าวขึ้นอย่างอ่อนแรง
หลี่หวงพยักหน้าตอบ
“ข้าทราบ”
แต่นางยังกล่าวเสริมไปอีกประโยคหนึ่งว่า
“แต่ก็ไม่เสมอไปเช่นกัน”
“ลงทุนเดินทางมาจับตัวถึงที่นี่ คงไม่นำไปประหารทิ้งให้เสียเปล่ากระมัง?”
หลิงชิงเฉินพยักหน้า
“ใช่ ข้าเองก็ไม่เชื่อหรอกว่า พวกมันจะจับเสวี่ยเอ๋อร์เพียงเพื่อนำไปประหารชีวิต แต่การที่หยกแห่งชีวิตของนางแตกออกก็ยังมีอีกความหมายหนึ่ง...คือนางเต็มใจทำลายพันธะเสียเอง ต่อให้นางยังมีชีวิตอยู่ แต่นาง...นางกลับหาใช่เสวี่ยเอ๋อร์ที่ข้ารู้จักอีกต่อไป”
“นับแต่นั้นเป็นต้นมา เสด็จพ่อจึงประกาศให้ทั่วจักรวรรดิรู้ว่า พระชายาองค์รัชทายาทได้สิ้นพระชนม์ลงแล้ว นับแต่นั้นข้าก็ไม่เหลือไฟที่จะฝึกปรืออันใดอีกต่อไป ปล่อยให้ร่างกายและสังขารอ่อนแอลงตามกาลเวลา”
หลี่หวงที่ได้ฟังมาถึงจุดนี้พลันขมวดคิ้วขึ้นทันควัน ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างไม่ถูกต้อง!?
“เดี๋ยวก่อน!”
จวิ๋นหลี่หวงเร่งยกมือขัดระหว่างที่องค์รัชทายาทกำลังกล่าวต่อ นางเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายกล่าวน้ำเสียงจริงจังขึ้นว่า
“นี่ท่านหมายความว่าอย่างไรกัน? ที่หมดอาลัยตายอยากปานนี้มิใช่เพราะหลงคิดว่าพระชายาตายแล้วหรอกรึ?”
แม้ว่าหลิงชิงเฉินจะสงสัยว่า ไฉนจู่ๆ หลี่หวงถึงเอ่ยถามตนเช่นนี้ แต่เขาก็ยังพยักหน้าตอบอย่างว่าง่าย
“เพราะเสี่ยวเจวี่ยเคยบอกกลับข้าว่า ตราบใดที่ผืนพิภพนี้ยังมีวันข้างหน้า โอกาสยังมีอยู่เสมอ ข้าไม่สิ้นคิดชนิดที่ว่ายอมสละชีวิตตัวเองเพื่อขอโอกาสได้เจอเสวี่ยเอ๋อร์เป็นครั้งสุดท้ายแน่นอน”
ไม่! นี่มันผิด! ตรรกะผิดเพี้ยนไปหมด!
หลี่หวงขมวดคิ้วแน่นเป็นปม สวนขึ้นคำหนึ่งว่า
“ใช่! นั่นแหละคือความคิดที่ถูกต้อง! แล้วไฉนถึงปล่อยตัวเองแบบนี้? ท่านเป็นอะไรของท่าน?!”
หลิงชิงเฉินขมวดคิ้วเช่นกันเหมือนว่าจะไม่เข้าใจ เอ่ยถามกลับไปคำหนึ่งว่า
“เจ้านั่นแหละเป็นอะไรไป? ไฉนถึงขี้นเสียง?”
“ปรากฏว่าต้นตอมิได้อยู่ที่จิตใจ! ร่างกายของท่านมีปัญหาจริงๆ!!”
จู่ๆ หลี่หวงก็กล่าวตอบทันทีด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม!
ครั้งนี้จวิ๋นหลี่หวงมองไม่ผิดอย่างแน่นอน คนที่มีแนวความคิดบวกขนาดนี้ ไม่มีทางเป็นโรคทางจิตได้ ทว่าพอมองลึกลงไปในแววตาของอีกฝ่าย กลับไร้ซึ่งชีวิตชีวาราวกับไม่ต้องการจะมีชีวิตอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ท่าทางการแสดงออกของหลิงชิงเฉิงในตอนนี้กลับปฏิเสธความคิดนี้ของนางอย่างชัดเจน
มันแปลกเหรอ?
การที่นางเต็มใจทำลายพันธะทิ้งไป นี่ไม่ใช่ว่า...อีกฝ่ายลืมเขาไปแล้วหรอกรึ?
แต่ไม่มีทาง! เสวี่ยเอ๋อร์ไม่ใช่คนแบบนั้น! ทั้งที่รู้แบบนี้แล้วไฉนถึงยัง...
แปลกมากจริงๆ!
“ชิงเฉิน ท่านพอจะจำได้ไหมว่า เริ่มมีอาการเหล่านี้ตั้งแต่เมื่อใด?”
ด้วยความร้อนใจ หลี่หวงเผลอเรียกอีกฝ่ายด้วยชื่อจริงโดยไม่ตั้งใจ
แต่หลิงชิงเฉินเองก็ไม่ได้ถืออะไรเลย เขาไม่ได้เอ่อยตอบคำถามของหลี่หวงทันที แต่ปั้นหน้าครุ่นคิดอย่างหนัก พลางเอ่ยถามขึ้นมาคำหนึ่ง
“เจ้าเป็นหมอจริงๆ ใช่หรือไม่?”
ประโยคคำกล่าวนี้ของนางราวกับเป็นหมอจริงๆ เลยแหะ
เขาคิดตลกกับตนเองคำหนึ่งในใจ
“หากท่านคิดว่าข้าเป็น ข้าก็เป็นนั่นแหละ”
หลี่หวงกล่าวปัดอีกฝ่ายด้วยความรำคาญ
ช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน เช่นนี้หมอนี่ยังจะมาพูดติดตลกอยู่อีก?
ได้ยินแบบนั้น หลิงชิงเฉินก็เริ่มระดมความคิดทั้งหมด นึกย้อนไปถึงสมัยที่เขายังเกิดอาการเจ็บปวดดังกล่าวใหม่ๆ ก่อนเอ่ยเสียงเบาขึ้นว่า
“อืม...ข้าคิดว่าน่าจะเป็นช่วงที่สร้อยหยกแห่งชีวิตแตกใหม่ๆ ไม่รู้เหตุใด...ข้าดั่งรู้สึกใจวูบตกไปยังตาตุ่ม คิดถึงโหยหานางยิ่งกว่าอะไรดี นานวันเข้าก็เริ่มไม่อยากอาหาร จนน้ำหนักลดขนาดนี้...”
พอถึงมาถึงตรงนี้ สีหน้าของหลิงชิงเฉินก็แปรเปลี่ยนไปทันที ราวกับตระหนักได้ว่า มีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้องจริงๆ
“ข้าไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุผลส่วนตัวรึเปล่า หลังจากนั้นข้าก็ไม่รู้สึกมีความสนใจต่อสิ่งใดอีกเลย มันไม่กระตือรือร้นเหมือนเมื่อก่อน แต่น่าแปลก...มีบางครั้งบางคราที่เสี่ยวเจวี่ยกับเสี่ยวเฟิงกระตุ้นความสนใจของข้าได้เล็กน้อย ในหนึ่งวันข้ากลับจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าทำอะไรไปบ้าง เพราะเอาแต่นั่งเหม่อลาตลอด บางทีนั่งเหม่อเป็นวันก็ยังมี!”
“นี่ไม่ใช่โรคทางจิตแน่นอน”
หลี่หวงส่ายหัวในทันทีและเอ่ยสรุปโดยไว
โรคทางจิตอาจส่งผลให้ผู้ป่วยน้ำหนักลงมากก็จริง แต่เมื่อเป็นแล้ว ใช่ว่าจะมีใครสามารถกระตุ้นให้กลับมาร่าเริงได้เป็นระยะแบบนี้!
“โรคทางจิต? ซูจิ่งเยว่บอกเจ้าเช่นนั้นหรอกรึ?”
หลิงชิงเฉินทั้งโกรธทั้งตลกในเวลาเดียว
“ผู้ชายอกสามซอกอย่างข้าหรือจะป่วยด้วยไข้ใจ? ช่างน่าขัน...”
แต่ปฏิกิริยาภายในใจของหลิงชิงเฉินกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง เขาคิดกับตัวเองด้วยความอับอายว่า
บัดซบ! ตาแก่นั้นดันรู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นไข้ใจ? ปรากฏว่าอีกฝ่ายมองออกแต่แรกแล้ว! ช่างน่าขายหน้านัก! ไฉนข้าต้องป่วยเป็นโรคของสตรีเพศเช่นนี้!?
หลี่หวงย่อมไม่ทราบความคิดของอีกฝ่ายแน่นอน แต่ดูจากปฏิกิริยาที่เผยทั้งอารมณ์อับอาย อารมณ์โกรธ หรือแม้แต่ตลกขบขันออกมา นี่ยิ่งทำให้นางกังวลใจมากขึ้นไปอีก
เพราะคนที่เป็นโรคทางจิตจะไม่มีทางแสดงอารมณ์เหล่านี้ออกมาได้เลย ไม่มีวัน
ดังนั้นนี่ยิ่งพิสูจน์แล้วว่า องค์รัชทายาทมีปัญหาด้านร่างกายจริงๆ!
เดิมทีนางจะรีบช่วยให้องค์รัชทายาทหายป่วย เพื่อจะทำให้ฝ่าบาทพอใจและปล่อยท่านปู่ของนางที่โดนขังคุกใต้ดินออกมา แต่ตอนนี้....