ตอนที่66 หลิงชิงเฉิน
ตอนที่66 หลิงชิงเฉิน
เมื่อองค์รัชทายาทหลิงชิงเฉินเผยรอยยิ้มออกมา หลี่หวงก็ได้เชยชมรูปลักษณ์ใบหน้าขององค์รัชทายาทได้ชัดแจ้งยิ่งขึ้น
องค์รัชทายาทที่นั่งอยู่เบื้องหน้าตรงนี้ถือได้ว่ายังเป็นรุ่นเยาว์ในเมืองหลวงแห่งนี้ แต่ขณะเดียวกัน ในบรรดารุ่นเยาว์ทั้งหมด เขาคือผู้อาวุโสที่สุดเช่นกัน
ตอนนี้องค์รัชทายาทอายุเกือบจะสี่สิบปีแล้ว
แต่เนื่องจากระดับพลังบ่มเพาะขององค์รัชทายาทสูงมาก ส่งผลให้เขาสามารถชะลอความแก่ชราคงได้ชนิดครึ่งต่อขึ้น! หากมองเพียงผิวเผิน เขาดูอ่อนวัยราวกับเด็กหนุ่มอายุยี่สิบปีเท่านั้น
กล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า อายุขัยของผู้คนบนผืนพิภพแห่งนี้ค่อนข้างยืนยาวกว่ายุคสมัยที่หลี่หวงจากมามาก
สิ่งเดียวที่เป็นเครื่องพิสูจน์อายุคงเป็นสายตา
หาใช่ว่าสายตาสั้นหรือยาว แต่เพราะลึกลงไปในแววตาผู้คนมักจะทิ้งร่องรอยของประสบการณ์ชีวิตเอาไว้ ทุกภาพจำช่วงจังหวะชีวิตนี้กลับไม่มีคำว่าแก่ลงหรือเหี่ยวชรา แต่มันจะฝังลึกอยู่ในใจและสะท้อนผ่านแววตาเหล่านี้ตลอดกาล
กล่าวว่าจักรพรรดิคือผู้สืบเชื้อสายจากสวรรค์ ดังนั้นแล้วองค์รัชทายาทที่เป็นทายาทสายตรงของฝ่าบาท ย่อมมีสายเลือดที่ยอดเยี่ยม ไม่เพียงแค่พรสวรรค์ฝีมือ แต่ยังรวมไปถึงหน้าตา
ทรงคิ้วและดวงตาขององค์รัชทายาทมีความคล้ายคลึงกับหลิงเฟิงเล็กน้อย
และแน่นอน...ความโศกเศร้าที่เร้นแฝงของพี่น้องสองคนนี้ช่างเหมือนกันมาก
พินิจจากจุดนี้แล้ว หลี่หวงคาดเดาได้ในทันทีว่า ฝ่าบาทองค์ปัจจุบันน่าจะสร้างปัญหาและก่อความวุ่นวายให้กับบ้านเมืองมิใช่น้อย
ส่วนในด้านนิสัย องค์รัชทายาทกับหลิงเฟิงแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
หลิงเฟิงเปรียบเสมือนเด็กน้อยที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ เป็นคนมีชีวิตชีวาและซุกซน
ทางฝั่งองค์รัชทายาท...ดูสุขุมนุ่มลึกราวกับผู้สูงอายุ
เฝ้าสังเกตสองคนนี้ไปๆ มาๆ กลับทำให้หลี่หวงนึกถึงคนๆ หนึ่งขึ้นมาเฉยเลย
หลิงฉางเจวี่ย
อย่างไรก็ตาม ภายนอกของหลิงฉางเจวี่ยดูอ่อนโยนสุขุม ทว่าเนื้อในประดุจจิ้งจอกแสนเล่ห์กล!
“คนเราย่อมต้องมีจุดบกพร่อง หากไม่แล้วเกรงว่ามิใช่มนุษย์”
หลี่หวงเอ่ยคำหนึ่งเสียงเรียบ
จากนั้นก็นั่งลงในมุมหนึ่งของศาลาอย่างเป็นกันเอง
นางมิได้สาดงความเกรงกลัวหรือประหม่าต่อองค์รัชทายาทผู้นี้เลยแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้ามกลับดูสบายๆ
“ใช่แล้ว เจ้ากล่าวถูกต้อง”
แวบแรกองค์รัชทายาทก็นึกไม่พอใจกับคำพูดนี้ของหลี่หวงเช่นกัน แต่พอนึกขึ้นได้ว่ากลับเป็นตามจริง เขาก็ระเบิดหัวเราะออกมาอย่างชอบอกชอบใจ สาวน้อยนางนี้กำลังปลอบใจเขาอยู่กระมัง?
“เดิมทีข้าคิดว่าเสี่ยวเฟิงคงคิดเล่นสนุกเท่านั้น หลายปีมานี้เขาพาหมอลือชื่อมารักษากับข้านับครั้งไม่ถ้วน พอได้ยินว่าคราวนี้เป็นเด็ก ก็พลางคิดว่า คงหยอกเล่นแล้ว”
องค์รัชทายาทมองหลี่หวนตั้งแต่หัวจรดเท้า ดวงตาคู่นั้นเผยแววสะท้อนใจ หาใช่ความเศร้าโศกแต่เป็นความประหลาดใจอย่างบอกไม่ถูก
“แต่พอมาเจอตัวจรง กลับทำให้ข้าตกใจจริงๆ”
หลี่หวงเฝ้าสังเกตท่าทางการแสดงออกขององค์รัชทายาท แม้เขาจะไม่ใช่คนอารมณ์ขัน แต่กลับชื่นชอบหัวเราะ
แม้นั่นจะเป็นเพียงรอยยิ้มสีจาง แต่หลี่หวงพึงทราบว่านั่นกลั่นออกมาจากส่วนลึกในใจ
“องค์รัชทายาท ได้โปรดชี้แจงให้ทราบทีว่า...เมื่อครู่ท่านเรียกขานนามผู้ใด?”
จู่ๆ หลี่หวงก็เอ่ยถามประโยคนี้ขึ้นมาพร้อมส่งยิ้มให้ไป
สีหน้าขององค์รัชทยาทฉายแววตะลึงหนึ่งส่วน แต่ก็ยังยิ้มตอบไปว่า
“เจ้าเรียกข้าว่าชิงเฉิงเถอะ หากเจ้าไม่รังเกียจล่ะนะ ฮ่าฮ่า...”
เห็นปฏิกิริยาอีกฝ่ายตอบมาแบบนั้น หลี่หวงพลันประหลาดใจ มิยักรู้เลยว่าองค์รัชทายาทผู้นี้ก็เป็นคนตลกอยู่บ้าง?
แต่มุกฝืดไปหน่อย
ในทันทีทันใด สุ้มเสียงขององค์รัชทายาทก็ดังขึ้นอีกครั้งในหูของหลี่หวง
“เสวี่ยเอ๋รอ์ ภรรยาของข้าเอง แล้วข้า...ก็รักนางยิ่งกว่าสิ่งใด”
วาจาประโยคนี้หลิงชิงเฉินเรียนกล่าวออกมาอย่างเงียบง่ายนัก ทว่าหลี่หวงที่เฝ้าสังเกตอยู่ตลอด สามารถบอกได้ทันทีว่า สิ่งที่อีกฝ่ายรู้สึกกลับแตกต่างออกไป
“ข้าเข้าใจแล้ว”
หลี่หวงพยักหน้าตอบ มิน่าไฉนถึงป่วยจนโทรมขนาดนี้
“และเจ้า...ก็ดูเหมือนนางมาก”
สายตาอันอบอุ่นของหลิงชิงเฉิงจับจ้องไปยังใบหน้าของหลี่หวง ปราศจากราคะอารมณ์ เพียงว่าเห็นแล้วก็นึกถึงอะไรบางอย่าง
“แค่หน้าตาคล้ายคลึงกันเท่านั้น”
หลิงชิงเฉินละสายตาออกมาพลางถอนหายใจ
“ทุกคนต่างบอกว่าข้าป่วย แต่ข้ากลับรู้ตนเองดีว่ามิได้ป่วย”
หลิงชิงเฉินเหลือบสายตามองไปยังมือของตัวเอง
“แต่ข้าไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี”
“เมื่อก่อนข้ามักจะพาเสวี่ยเอ๋อร์ออกไปเดินเที่ยวในเมืองหลวง ซื้อของที่นางต้องตาถูกใจ และหาของอร่อยกินกัน ทว่าตอนนี้เสวี่ยเอ๋อร์กลับจากไปแล้ว ข้าไม่รู้จะอยู่ต่อไปเพื่ออะไร…”
หลิงชิงเฉินคลี่ยิ้มอย่างชมขื่น พลางส่ายหัว
“อยู่ไปก็มีแต่จะทำให้เสี่ยวเจวี่ยกับเสี่ยวเฟิงคิดมากเปล่าๆ ...”
หลี่หวงจับจ้องหลิงชิงเฉินตาไม่กะพริบเป็นเวลานาน ก่อนเอ่ยคำกล่าวขึ้นอย่างแช่มช้าว่า
“องค์ชายสิบน่ะ เขาเป็นห่วงท่านมากจริงๆ”
แม้ว่าหลี่หวงจะไม่ทราบถึงจุดประสงค์ที่หลิงเฟิงช่วยและทำดีกับนางเสมอมา แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นได้อย่างชัดแจ้งก็คือ ความจริงใจและความเป็นห่วงของเขาที่มีต่อพี่ชายคนโต นี่หาใช่เรื่องเท็จหรือหลอกลวงแน่นอน
จะมีชั่วอึดใจหนึ่งที่มนุษย์จะไม่สามารถปกปิดความรู้สึกที่แท้จริงได้ และหลี่หวงก็มองออกได้ทันทีว่า หลิงเฟิงคนนี้มีความปรารถนาดีหรือไม่ดีต่อพี่ชายตัวเอง
“เสี่ยวเฟิงมิได้กล่าวถึงเรื่องหน้าตาของเจ้าเลย มิฉะนั้นข้าคงไม่แปลกใจปานนี้”
ขณะเอ่ยกล่าวหลิงชิงเฉินพลางรินน้ำให้หลี่หวง
หลี่หวงพยักหน้าตอบ ปรากฏว่าหลิงเฟิงมิได้อธิบายอะไรกับพี่ชายตัวเองมากนัก
บนผืนพิภพแห่งนี้ มีผู้คนที่ใบหน้าเหมือนกันทว่ากลับไม่ข้องเกี่ยวกับทางสายเลือดจริงๆ นี่ช่างน่าประหลาด
ในจุดนี้เองหลี่หวงก็คิดไม่ถึงเช่นกัน ที่จู่ๆ ใบหน้าของตัวเองจะดันไปคล้ายกับพระชายาขององค์รัชทายาทที่ล่วงลับไปแล้ว
“เจ้าเป็นสาวน้อยที่วิเศษมาก”
หลิงชิงเฉินกล่าวต่อว่า
“ยังเป็นเด็กแท้ๆ แต่กลับรู้อะไรมากมาย”
“ประสบการณ์ชีวิตกลับไม่แบ่งแยกอายุ”
หลี่หวงทิ้งทวนเป็นนัยหนึ่งตอบกลับไป
เมื่อเห็นสีหน้าดูสงสัยที่ปรากฏขึ้นต่อหน้า หลี่หวงจึงยกตัวอย่างขยายความต่อว่า
“บางคน ตลอดชั่วชีวิตกลับไม่เคยลิ้มรสชาติเปรี้ยว หวาน ขม หรือกระทั่งเผ็ดร้อนจวบจนวันตาย ทว่าก็ยังมีหลายคนเช่นกัน ที่ยังใช้ชีวิตไม่ถึงครึ่งทาง แต่กลับตายเกิดนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว”
หลิงชิงเฉินพยักหน้าเข้าใจได้ในทันที
“แต่เจ้าเองช่างยอดเยี่ยมเช่นกัน สภาพจิตใจและการควบคุมอารมณ์ของเจ้าเปรียบเสมือนวัยวุฒิ เส้นทางต่อจากนี้ในอนาคตจักต้องราบรื่นและสดใส”
พูดจบหลิงชิงเฉินก็ส่งถ้วนชายให้ หลี่หวงรับมันไปและยกขึ้นมาริมจิบสักคำสองคำให้ชุ่มคอ
“อันที่จริงแล้ว....”
หลี่หวงวางถ้วยชาในมือลงอย่างใจเย็น เหลือบหางตาเฝ้าสังเกตองค์รัชทายาทอยู่เป็นเวลานาน ก่อนเอ่ยขึ้นว่า
“พระชายาเสวี่ยเอ๋อร์ที่ท่านกล่าวถึงยังไม่ตายใช่หรือไม่?”
หลี่หวงกล่าวประโยคนี้ออกมา ภายในใจเต็มไปด้วยความสงสัย แม้นางจะมั่นใจในระดับหนึ่งถึงกล้าถามออกไปได้ แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่ค่อยแน่ใจอยู่หลายส่วนเช่นกัน
ซึ่งมันก็แน่นอน การคาดเดาประกอบด้วยความมั่นใจและไม่มั่นใจอย่างละส่วน
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ทั่วทั้งร่างของหลิงชิงเฉินถึงกับสั่นสะท้าน หันควับจับจ้องไปที่หลี่หวงด้วยความประหลาดใจยิ่ง
เขายอมรับเลยว่า เรื่องนี้ตนไม่เคยนำไปเปิดเผยที่ไหน แต่ไฉนสาวน้อยนางนี้ถึงคาดเดาได้แม่นยำเพียงนี้?
นัยน์ตาคู่สวยสีม่วงนี้..ยิ่งจับจ้องเท่าไหร่ก็ยิ่งรู่สึกลึกล้ำมากขึ้นเท่านั้น!
หลิงชิงเฉินค่อยๆ สงยสติอารมณ์ลงและยังไม่ได้ตอบคำถามของหลี่หวงทันที
พอเห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่าย ความมั่นใจของหลี่หวงเพิ่มขึ้นเป็นแปดถึงเก้าส่วนในทันใด
นางยังคงนั่งจิบชาอย่างไม่รีบร้อน เฝ้ารอคำตอบของหลิงชิงเฉินอย่างเงียบๆ
หลี่หวงมั่นใจว่า เขาจะต้องพูดออกมา
ดังนั้นนางจึงไม่จำเป็นต้องไปเร่งอะไร
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม....
หลี่หวงดื่มชาแก้วแล้วแก้วเล่าจนเริ่มอิ่มท้อง ในที่สุดหลิงชิงเฉินก็หมดความอดทนแล้วเช่นกัน จึงเอ่ยขึ้นคำหนึ่งว่า
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
หลี่หวงไม่มีเจตนาปิดบังใดๆ เพียงตอบไปว่า
“อันที่จริงข้าใช้สัญชาตญาณล้วนๆ ...”
หลี่หวงลอบเม้มปากไม่ทราบเช่นกันว่าตนควรจะอธิบายอย่างไรดี พอคิดไปสักพักค่อยเอ่ยต่อว่า
“แม้ข้าจะไม่เข้าใจเรื่องความรัก แต่อาศัยพฤติกรรมและปฏิกิริยาก่อนหน้าของท่าน ไม่ว่าจะมองอย่างไรกลับดูไม่เหมือน คู่รักที่ถูกความเป็นความตายพรากจาก แต่เหมือนกับ...ชายผู้สิ้นหวังที่รอคอยความหวังอันไม่เคยมีจริง”
หลี่หวงกล่าว
นางไม่เคยมีประสบการณ์ด้านความรักมาก่อน แต่อาศัยสิ่งที่เรียกว่า ‘คุณลักษณะของนักวิทยาศาสตร์’ ได้แก่ ช่างสังเกต ช่างสงสัย ตั้งสมมุติฐาน และคิดวิเคราะห์อย่างมีระบบ สิ่งเหล่านี้ได้หล่อหลอมจนกลายมาเป็นสัญชาตญาณติดตัวหลี่หวงไปแล้ว
การถูกความเป็นความตายพลัดพรากจากกัน ปฏิกิริยาการแสดงออกของอีกฝ่ายควรจะแสดงออกมาในอีกรูปแบบหนึ่ง
กล่าวโดยง่าย หากเรื่องที่เกี่ยวเนื่องถึงความเป็นความตายจริง ผลลัพธ์ที่ควรจะเกิดขึ้นมีเพียงสองรูปแบบ หนึ่งปล่อยวางในระดับหนึ่งและกลับมาใช้ชีวิตดั่งคนปกติ หรือสองทำใจไม่ได้และฆ่าตัวตายตาม
คนในยุคสมัยนี้ไม่มีนักจิตวิทยาที่คอยรักษา โดยส่วนมากน่าจะเลือกวิธีที่สอง และหากเป็นเช่นนั้นปานนี้นางคงไม่มีทางได้เห็นหน้าองค์รัชทายาทแล้ว
โดยสรุปทั้งมวล ทฤษฎีเหล่านี้จะมีโอกาสเกิดขึ้นได้ จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขสองประการ อย่างที่หนึ่ง ทั้งสองจะต้องอยู่ในความสัมผัสที่ดี และสองคนใดคนหนึ่งจะต้องตายจากไปแล้วจริงๆ
แต่ในกรณีขององค์รัชทายาทคือ ไม่อยากตายแต่ก็ไม่อยากอยู่แล้วเช่นกัน ซึ่งค่อนข้างขัดกับสมมุติฐานของนาง
หลิงชิงเฉินหัวเราะเสียงขื่นพลางถอนหายใจกล่าวว่า
“เจ้านี่ฉลาดเสียจริง หากรู้จักสิ่งที่เรียกว่าความรักและตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับข้า บางที...เจ้าอาจจะยิ่งแย่กว่าข้าเป็นแน่”
“ภรรยาของข้า...นางยังไม่ตายจริงๆ”
หลิงชิงเฉินยอมใจสาวน้อยคนนี้แล้ว ถึงได้ยอมคายความจริงออกมาให้ฟัง
“ท่านบอกข้ามาเถิด หากไม่รังเกียจล่ะนะ”
หลิงชิงเฉินชะงักไปชั่วขณะ สาวน้อยนางนี้กำลังล้อเลียนตนอยู่รึเปล่า?
อย่างไรก็ตาม หากมีใครสักคนเข้ามาและเต็มใจรับฟัง หลิงชิงเฉินเองก็ยินดีที่จะแบ่งปันเช่นกัน
แต่ที่สำคัญที่สุดคือ เขาจะมั่นใจได้อย่างไรว่า หลี่หวงจะไม่นำเรื่องนี้ไปบอกใคร?