ตอนที่65 เสวี่ยเอ๋อร์
ตอนที่65 เสวี่ยเอ๋อร์
“ข้าคิดว่าพี่ชายของเจ้าจะต้องมีความสุขอย่างมากในระหว่างออกแบบที่แห่งนี้”
หลี่หวงคลี่ยิ้มบางให้
คนที่สามารถออกแบบและรังสรรค์สถานที่งดงามปานนี้ได้ย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“พี่ใหญ่ไม่เคยแยแสกับชื่อเสียงของเกียรติยศใดบนผืนพิภพแห่งนี้ หากมิใช่เพราะข้า...”
หลิงเฟิงพลันชะงักหยุดไปชั่วจังหวะ ก่อนจะหันมามองหลี่หวงอีกครั้ง นัยน์ตาดวงนั้นสาดสะท้อนแววอันแสนอบอุ่นวูบหนึ่ง ก่อนจะแปรเปลี่ยนกลายเป็นความหม่นหมองในชั่วพริบตา
“หากมิได้เกิดเรื่องพรรค์นั้น...ข้ามั่นใจอย่างยิ่งว่า ตอนนี้พี่ใหญ่ของข้าจะกำลังมีความสุขมากกว่าผู้ใด และกลายมาเป็นนักกวีชื่อก้องพิภพ!”
หลี่หวงรู้สึกสับสนงุนงงไม่น้อย สิ่งแรกที่นางสังเกตเห็นคือความเจ็บปวดที่ซ่อนเร้นอยู่ในแววตาของหลิงเฟิง ทว่านางกลับไม่เข้าใจเลยว่า คนที่คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด ด้วยฐานะอันเพียบพร้อม ใช้มีชีวิตอย่างสุขสบายปานนี้เฉกเช่นองค์ชายสิบ คนอย่างเขาไปเอาความทุกข์โศกขนาดนี้มาจากไหน?
แล้วไฉนทุกครั้งที่พูดเกี่ยวกับเรื่องพี่สะใภ้ เขามักจะแสดงท่าทีเช่นนี้ออกมา?
หลี่หวงไม่เข้าใจอะไรเลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม ข้อสงสัยเหล่านี้กลับหาใช่สิ่งที่นางสามารถเอ่ยถามออกไปได้ และดูจะเป็นข้อห้ามที่ไม่อนุญาตให้ผู้ใดกล่าวถึงเด็ดขาด
“เสี่ยวเฟิง ไฉนจ้องนางแบบนั้น ไม่อายบ้างรึอย่างไร?”
ทันทีทันใดพลันปรากฏสุ้มเสียงหนึ่งดังขึ้นจากเบื้องหลัง
หลี่หวงถึงกับสั่นสะท้านไปทั่วร่าง นางไม่สามารถสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของอีกฝ่ายจากด้านหลังได้เลยสักนิด! เขาโผล่มาตั้งแต่ตอนไหน?
ผู้ชายคนนี้แข็งแกร่งเกินไป!
แต่นี่มัน...เสียงขององค์รัชทายาทมิใช่เหรอ?
“พี่ใหญ่ ท่านหัวเราะเยาะข้าอีกแล้ว!”
สีหน้าการแสดงออกของหลิงเฟิงแปรเปลี่ยนกลายเป็นร่าเริงอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนสีโดยพลันชนิดที่ว่าหลี่หวงจะตะลึง
ความสามารถในการเก็บซ่อนความรู้สึกของหลิงเฟิงช่างยอดเยี่ยมเกินไป นางไม่เคยพบเจอใครที่เก็บซ่อนความรู้สึกเก่งปานนี้มาก่อน!
เมื่อครู่ดูยังไงก็พึงทราบว่าหลิงเฟิงทั้งเศร้าและเจ็บปวดเพียงใด ทว่ายามนี้กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย...
หลี่หวงยังไม่กล้าหันหน้าไปมองเจ้าของเสียงดังกล่าวเช่นกัน คงต้องรอเรียกขานก่อนค่อยหันไปจะเหมาะสมกว่า
“เจ้าคงเป็นหมอตัวน้อยที่เสี่ยวเฟิงกล่าวถึงกระมัง? ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้ายังเด็กถึงขนาด...”
พอหลี่หวงได้ยินอีกฝ่ายกล่าวถึงตน ก็เป็นสัญญาณให้นางหันหน้าไปแนะนำตัวกลับองค์รัชทายาท แต่ทันทีที่องค์รัชทายาทเห็นใบหน้าของหลี่หวง เขาก็หยุดชะงักทุกสิ่งอย่างราวกับเวลาได้หยุดเดิน
ดวงตาของเขาเบิกกว้าง ม่านตาดำตีบแคบหดเล็กด้วยความตกใจสุดขีด บริเวณรอบดวงตาเริ่มเห่อร้อน พร้อมละอองความชื้นที่เริ่มก่อตัวกลายเป็นน้ำตารินไหลออกมา...
องค์รัชทายาทเอ่ยปากเรียกคนหนึ่งด้วยน้ำเสียงแสนโหยหาอาลัย
“เสวี่ยเอ๋อร์...”
ยังไม่ทันที่หลี่หวงจะได้ตั้งตัว องค์รัชทายาทก็พุ่งเข้ามายืนอยู่เบื้องหน้านางแล้ว เขาค่อยๆ ก้มตัวลงยกมือทั้งสองข้างจับไหล่ของนางอย่างบางเบาประณีต สีหน้าผิวพรรณที่ดูซีดเผือดของเขา ตอนนี้กลับเปล่งประกายสดใสขึ้นอีกครั้ง
“เสวี่ยเอ๋อร์...เจ้า...เจ้ากลับมาแล้ว! เจ้ากลับมาแล้ว!”
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ดูซูบผอมลงรึเปล่า? อยากทานอะไรเป็นพิเศษหรือไม่?”
พลังวังชาขององค์รัชทายาทเพิ่มพูนกลับมาขึ้นหลายส่วน ราวกับเขากลับมาเป็นคนปกติอีกครั้ง ทั่วทั้งใบหน้าเปรอะเปื้อนทั้งรอยยิ้มและน้ำตาแห่งความปีติ นึกอะไรไม่ออกนอกจากคำว่าความสุข!
“พี่ใหญ่...”
หลิงเฟิงที่เห็นท่าทีเช่นนั้นของพี่ใหญ่ ก็อุทานขึ้นมาเสียงหนึ่งพร้อมความสุดเศร้าเกินคนานับที่พรั่งพรูออกมา
พี่ชายคนนี้ของเขาป่วยเป็นโรคทางจิตจริงๆ
ในตอนนี้พอเห็นหลี่หวงอยู่เบื้องหน้า ท่าทีของคนป่วยติดเตียงนับหลายปีหายไปไหนหมด?
แม้พี่เก้าเองก็เคยกล่าวเช่นกันว่า จวิ๋นหลี่หวงจะต้องมีหนทางรักษา ทว่าหลิงเฟิงก็ยังเคลือบแคลงอยู่ภายในใจ
หลี่หวงเร่งหันควับไปทางหลิงเฟิง แววตาเปี่ยมล้นไปด้วยคำถามมากมาย
เสวี่ยเอ๋อร์? ใครคือเสวี่ยเอ๋อร์ที่องค์รัชทายาทพูดถึง?
คนที่สามารถกระตุ้นปรารถนาจากเบื้องลึกสุดของจิตใจคนได้ จนสามารถหลอกร่างกายให้กลับมาปกติดังเดิมได้ เห็นได้ชัดยิ่งว่า บุคคลนั้นจะต้องสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อชีวิตของเขา!
หลิงเฟิงพยามยามจะฉุดร่างของพี่ใหญ่ออกมา แต่เมื่อนึกถึงคำสั่งครั้งสุดท้ายที่เจอพี่เก้าโดยบอกว่า ‘ปล่อยให้พี่ใหญ่มองเห็นความจริง’ คิดได้ดังนั้นเขาจึงนิ่งไป
หลิงเฟิงขยิบตาส่งสัญญาณให้หลี่หวงอดทนไปต่ออีกสักเล็กน้อย
องค์รัชทายาทในขณะนี้กำลังตื่นอกตื่นเต้นราวกับค้นพบอีกครึ่งชีวิตที่หายสาบสูญขนาดนี้ อย่างว่าแต่นางจะขัดขืนเลย ต่อให้เป็นหลิงเฟิงก็คงถูกอีกฝ่ายผลักกระเด็นไปเช่นกัน หลี่หวงเข้าใจสถานการณ์จองตัวเองในทันที และยืนนิ่งอดทนรอเวลาล่วงเลยผ่าน
แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า รอยยิ้มขององค์รัชทายาทในตอนนี้ช่างสดใสและสวยงามยิ่งกว่าสิ่งใด มันเปี่ยมล้นไปด้วยความหวังและชีวิตชีวา ไม่เหมือนคนป่วยติดเตียงเลยแม้สักนิด
แต่หลังจากที่มองอยู่นาน ภาพเงาทับซ้อนของ ‘เสวี่ยเอ๋อร์’ ก็ค่อยๆ เลือนรางออกไปจากใบหน้าของหลี่หวง
ปฏิกิริยาตื่นเต้นดีใจก่อนหน้าของเขาค่อยๆ ลดลง
“ไม่...เจ้าไม่ใช่เสวี่ยเอ๋อร์...”
ในที่สุดเขาก็ได้สติกลับมา
เสวี่ยเอ๋อร์ของเขาหาใช่สตรีผู้เย็นชาปานนี้
หลี่หวงเห็นร่างสูงใหญ่ขององค์ชายทรุดตัวลงต่อหน้าต่อตา ด้วยความตกใจนางรีบพุ่งเข้าไปผยุงตัวของเขาไว้โดยทันที
จากนั้นก็ค่อยๆ ประคองร่างของอีกฝ่ายนั่งลงบนเก้าอี้ศาลา
เบามาก...
ตัวขององค์รัชทายาทเบามากจริงๆ ...
เสี้ยวอึดใจที่หลี่หวงพุ่งตัวไปพยุงองค์รัชทายาท สิ่งที่สัมผัสโดนและรู้สึกเป็นอย่างแรกเลยก็คือกระดูก
นี่มันหนังหุ้มกระดูกล้วนๆ!
เมื่อครู่อีกฝ่ายไปเอากำลังวังชามาจากไหน?
ไฉนเพียงชั่วอึดใจถึงเปลี่ยนคนๆ หนึ่งได้ขนาดนี้?
ร่างสูงใหญ่กลับเป็นเพียงภาพลวงตา ทว่าในความเป็นจริงภายในร่างกายขององค์รัชทายาทซูบผอมจนเห็นเป็นโครงกระดูกแล้ว
โดยสรุปร่างกายของเขาย่ำแย่เป็นอย่างยิ่ง!
“องค์รัชทายาท...”
หลี่หวงพยายามเอ่ยเรียกคืนสติขององค์รัชทายาทกลับมาอย่างแผ่วเบา
“เสวี่ยเอ๋อร์...เจ้าอยู่ไหน? เจ้าหายไปแล้ว....”
สิ่งเดียวที่ได้ยิน มีเพียงเสียงพึมพำอันสุดแสนจะโหยหาของตัวเขาเอง ร่างกายดูไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะนั่งยังแทบทรงตัวไม่ไหว
ท้ายที่สุดนี้ทุกอย่างจบลงพร้อมกับความเงียบ องค์รัชทายาทเอาแต่นั่งเหม่อลอยทั้งที่น้ำตายังคงไหลรินอยู่
ช่างเป็นภาพฉากที่น่าหดหู่และเดียวดายสุดพรรณนาถึง
นี่หรือคือความรัก? หลี่หวงขมวดคิ้วเล็กน้อย
สามารถเปลี่ยนจากคนๆ หนึ่งกลายเป็นอีกคนได้ในชั่วพริบตา ยามคู่ชีวิตตายไปกลับเต็มใจที่จะตายตาม?
ตอนนี้หลี่หวงดูจะไม่ค่อยสงสัยกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตเท่าไหร่แล้ว คล้ายว่านางจะเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง
แม้นางจะไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูด แต่ก็เข้าใจอยู่ในเบื้องลึก ซึ่งมาพร้อมกับความรู้สึกจุกอย่างบอกไม่ถูก
จุกกลางอกเพราะความเศร้า
“นาง...นางยังอยู่”
หลี่หวงเอ่ยแทรกขึ้นมาทำลายความเงียบงันทั้งหมดในเวลานี้ลง แม้แต่ตัวเองก็ยังรู้สึกเหลือเชื่อเช่นกัน ที่จู่ๆ ก็พูดออกมา
แต่จะอย่างไร มีมากมายหลากหลายความรู้สึกเหลือเกินที่ถาโถมเข้าในจิตใจยามนี้ จนทำให้หลี่หวงต้องการปลอบประโลมชายคนนี้จากความโดดเดี่ยวอันไร้สิ้นสุด
“เจ้า...โกหกข้า..เสวี่ยเอ๋อร์...นาง...นางจากไปแล้ว... ข้า...ข้าเห็นมันกับตา...ไม่ ไม่ ไม่...”
องรัชทายาทเงยหน้าขึ้นมองหลี่หวงด้วยสีหน้าซีดเผือด เอาแต่ส่ายหัวไปมาราวกับคนเสียสติ
หลี่หวงยื่นมือเล็กๆ ออกมา และชี้ไปที่หัวใจกลางอกซ้ายขององค์รัชทายาท
นางกล่าวว่า
“นางอยู่ที่นี่ไง”
เพราะบนโลกแห่งความเป็นจริงช่างเจ็บปวดและโหดร้าย ดังนั้นคนที่เจ้ารักจึงอยู่ที่นี่แทน
องค์รัชทายาทจ้องมองหลี่หวงด้วยความงุนงง แต่มือทั้งสองข้างกลับยกขึ้นกุมหน้าอกของตัวเองแน่นโดยไม่ตั้งใจ เพื่อต้องการสัมผัสถึงหัวใจดวงนี้ เขากล่าวขึ้นอย่างไม่ค่อยแน่ใจนักว่า
“มันยังเต้นอยู่...เสวี่ยเอ๋อร์...นาง!...นางอยู่ที่นี่จริงๆ รึ?!”
หลี่หวงพยักหน้ายิ้มตอบไปว่า
“อยู่ที่นี่แหละ และอยู่กับท่านตลอดไป”
องค์รัชทายาทกดสายตามองลงบนอกข้างซ้ายที่สองมือกลัดกุมไว้แน่น คล้ายว่ากำลังครุ่นคิดถึงอะไรสักอย่าง
และในที่สุดก็คิดออกมา เขาพยักหน้าอย่างแรงกล่าวทั้งรอยยิ้มที่แปดเปื้อนน้ำตาว่า
“ใช่แล้ว เสวี่ยเอ๋อร์ยังคงอยู่ที่นี่...อยู่ที่นี่เสมอ...แล้วจะอยู่ที่นี่ตลอดไป!”
หลี่หวงรู้สึกราวกับว่า ตนเองกำลังป้อนน้ำแกงอุ่นในชามให้แก่อีกฝ่ายอยู่
เติมเต็มความอบอุ่นเพื่อชโลมสู่จิตใจที่แสนเปล่าเปลี่ยวทีละเล็กละน้อย...
คนอย่างนางคือผู้ที่เคยก้าวข้ามผ่านความมืดมิดที่แท้จริงมาก่อน จิตใจดวงน้อยดวงนี้ถูกย้อมกลายเป็นสีเทาหม่นดำ มิใช่ดำสนิทแต่ก็หาใช่สีเทาที่ยังลงเหลือสีขาวเช่นกัน ดังนั้นนางปราศจากความเห็นใจต่อผู้ใด
แต่วันนี้กลับเป็นครั้งแรกในชีวิต เกรงว่าฟ้าถล่มดินทลายไปโดยสิ้นแล้ว ที่จู่ๆ หลี่หวงก็เข้ามาปลอบใจคนๆ หนึ่ง
ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด แต่สัญชาตญาณดิบกลับบอกนางว่า ลองปลอบใจเขาสักคราไม่เสียหาย
ตอนนี้องค์รัชทายาทกลับมาดูอ่อนโยนลงอีกครั้ง เขายกแขนเสื้อปาดน้ำตาบนใบหน้าและเงยมองหลี่หวงด้วยรอยยิ้ม
แม้ว่านัยน์ตาคู่นั้นยังระส่ำระส่ายรวนเรอยู่บ้าง แต่ครั้งนี้องค์รัชทายาทกลับมองไม่ผิดคนอีกต่อไป
ใช่แล้ว เพราะเสวี่ยเอ๋อร์อยู่ในใจเขาตลอดมา...
และไม่เคยจากไปไหน
หลี่หวงเฝ้ามององค์รัชทายาทที่สีหน้าค่อยๆ แปรผันดูสงบอารมณ์ลง แม้ว่าทั้งหมดนี้จะใช้เวลาค่อนข้างนาน แต่หลี่หวงกลับมีความสุขเช่นกันที่ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี
“ร้องไห้ต่อหน้าเจ้าที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก ต้องทำให้เจ้าหัวเราะเยาะข้าเสียแล้ว ขออภัยที่เสียมารยาทตั้งนาน”
องค์รัชทายาทคลี่ยิ้มด้วยความเขินอาย
ชั่วขณะอึดใจหนึ่ง หลี่หวงรู้สึกว่า ไฉนใบหน้าขององค์รัชทายาทผู้นี้ดูคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด...
***************
///ระหว่างแปลคือน้ำตาซึมง่ะ งืออT^T