บทที่ 70 ปรุงโอสถ2
ภายในห้องพักของหนิงเทียน มันยังคงทำเหมือนเช่นทุกๆวัน หินลมปราณระดับสูงนับสิบก้อนเรียงรายอยู่ที่ด้านหน้าของมัน แต่ครั้งนี้มันไม่ได้วิตกเหมือนครั้งก่อนๆอีกต่อไป
เนื่องจากภายในคฤหาสน์ซื่อจิ้งนั้น เพียงพอที่จะทำให้มันเติมเต็มดวงตะวันทั้ง8ในร่างก่อนที่งานประลองเลือกคู่ของตระกูลมู่จะเริ่มขึ้น
‘เมื่อข้าได้พลังกลับคืนมาสิ่งที่ต้องคิดเป็นเรื่องต่อไปคือพลังธาตุที่ต้องชักนำเข้าสู่ร่าง’ด้วยพื้นฐานทักษะวิชาที่มันได้ฝึกฝนมานั้น
ภายในร่างของมันสามารถใช้ออกได้ถึง3ธาตุแล้วเวลานี้คือไฟ น้ำแข็งและความมืด ไฟที่ใช้ในการจู่โจม น้ำแข็งที่ใช้ในการป้องกัน และความมืดที่ใช้ในการกลืนกิน
ข้าคงต้องเลือกระหว่างธาตุลมที่ส่งเสริมทักษะท่าร่างหรือธาตุน้ำที่ช่วยในการฟื้นฟูทักษะกายา’ หนิงเทียนค่อยๆครุ่นคิดอย่างช้าๆพร้อมกับปิดตาดูดซับพลังงานของหินลมปราณต่อไป
เช้าวันรุ่งขึ้น หนิงเทียนยังคงทำทุกอย่างเหมือนเช่นปกติ มันเดินออกมาจากห้องอย่างเชื่องช้าและคงมีเสี่ยวซวงที่เดินตามหลังอยู่ไม่ห่าง
ไม่นานนักมันเดินเข้าไปภายในห้องโถงใหญ่ตระกูลจิน ที่เวลานี้จินเจียงหยาและจินเหยาจางกำลังนั่งรอมันอยู่ก่อนแล้ว
“สหายน้อยเจ้ามาแล้ว”จินเจียงหยามองไปยังหนิงเทียนด้วยสายตาเป็นประกาย
“น้องชายหนิง ข้าต้องขอโทษแทนฮูหยินข้าด้วย เนื่องจากเวลานี้นางถือกลับศีลอยู่ที่วัดหว่านอันเหอในแดนเทวะ ไม่เช่นนั้นนางจะต้องออกมาขอบคุณน้ำใจของน้องชายด้วยตัวเองเป็นแน่” จินเจียงหยากล่าวออกด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก
หนิงเทียนพยักหน้าพร้อมกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม“ท่านจินอย่าได้คิดเรื่องเล็กน้อยเช่นนั้น ข้าเองก็มีเรื่องที่ต้องให้ท่านจินช่วยเช่นกัน”
“ขอแค่น้องชายกล่าวออกมาเท่านั้น”จินเจียงหยาตบปากรับคำในทันที
..
ผ่านไปสักพัก จินเหล่าต้าวิ่งเข้ามาในห้อง ด้วยท่าทีเหนื่อยล้าบนใบหน้า มันหอบหายใจเข้าลึกพร้อมกล่าวออก “ทุกอย่างพร้อมแล้ว”
จินเหล่าต้านั้นใช้เวลาทั้งคืนในการตามหาแกนอสูรขั้น3และแกนอสูรขั้น2 แม้ตระกูลจินจะมีความมั่งคั่งเป็นอย่างมากแต่พวกมันก็ไม่ได้มีแกนอสูรมากมายขนาดนั้นเก็บไว้ภายในคลังสมบัติ
หนิงเทียนมองไปยังจินเหล่าต้าพร้อมกล่าวออก “นำของที่ข้าสั่งมาหรือไม่”
“พี่ชายหนิง ท่านต้องการสิ่งใด มันต้องได้สิ่งนั้นแน่นอน ข้านั้นตามหามันยากยิ่งกว่าแกนแท้อสูรอัคคีนับร้อยชิ้นเสียอีก”จากนั้นจินเหล่าต้าวางกระสอบขนาดเท่าตัวคนที่ภายในอัดแน่นไปด้วยหิมะสามฤดูลงกับพื้น
“พี่ชายหนิงท่านจะเริ่มมันเลยหรือไม่?”จินเหล่าต้ามองไปด้วยสายตาเป็นประกาย ถ้าการปรุงโอสถครั้งนี้ผ่านไปด้วยดี มารดาของมันจะมีอายุที่ยืนยาวมากขึ้นนี้เป็นเรื่องที่น่ายินดีกว่าสิ่งใดในโลกนี้แล้ว
“ข้าต้องการรอคนผู้หนึ่ง” ยังไม่ทันสิ้นเสียงของหนิงเทียนดีนัก
จู่ๆเสียงกระทบกันของห่วงคล้องประตูใหญ่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่ขาดช่วง
“มีแขกมาเยือน!!??”จินเจียงหยารีบกล่าวออกแก่คนรับใช้ที่ยืนอยู่หน้าประตู “รีบไปดู ผู้ใดมาเยือนตระกูลจิน”
เพียงไม่นาน คนรับใช้รีบวิ่งเข้ามาพร้อมกล่าวรายงาน “นายท่าน ผู้ที่มาเป็นขอทาน มันอ้างว่าเป็นสหายเก่าของนายผู้เฒ่า นามว่า *จั่วเหลา ขอรับ”
*จั่วเหลา ผู้เฒ่าแซ่จั่ว
จินเหยาจางกล่าวออกด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ“หืมม์ จั่วเหลา หรือว่าจะเป็นพยัคฆ์แดง จั่วจิงหนาน เร็ว!!รีบไปเชิญเข้ามา”
“ท่านพ่อพยัคฆ์แดงหรือว่าจะเป็นอดีตผู้นำกลุ่มสามอสูร จั่วจิงหนานที่เข่นฆ่าผู้คนราวผักปลา?”จินเจียงหยารีบกล่าวถามบิดาของมัน
“ถูกต้อง ฉายาพยัคฆ์แดงของมันนั้นได้มาจากร่างกายที่ชุ่มไปด้วยโลหิต แต่เจ้าไม่ต้องห่วงทั้งมันและพ่อต่างนับถือกันจนเรียกพี่เรียกน้องกันได้อย่างสนิทปาก”
“ท่านปู่หรือว่าท่านจะเป็น1ใน3อสูรที่ว่านั้น”จินเหล่าต้ารีบกล่าวถามด้วยความสงสัย
“ฮ่าๆๆ เจ้าคาดได้ดูต้อง ฉายาอินทรีขาวของปู่ก็มาจากตอนที่ยังอยู่ในกลุ่มสามอสูร”จินเหยาจางกล่าวด้วยสีหน้าแย้มยิ้มเมื่อหวนคิดถึงอดีต
ไม่นานนักชายชราที่มีลักษณะคล้ายขอทานได้เดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า มันเป็นชายชราคนเดียวกับที่หนิงเทียนและจินเหล่าต้าได้พบในสมาคมการค้าจ้าวสมุทร
ด้านข้างของมันปรากฎเด็กชายอายุไม่น่าจะเกิน5ปี เดินตามมาด้วยสียิ้มแย้ม
“หืมม์ตาแก่นั้นมีฉายาที่เกรี้ยวกราดเช่นนี้แตกต่างจากภายนอกน่าดู?”หนิงเทียนมองไปยังชายชราด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก
จากนั้นมันเปลี่ยนสายตาไปมองที่เด็กหนุ่มที่มากับมัน “เด็กคนนี้สินะที่ป่วยเป็นโรคเลือดผสมปราณ”
“พี่จิงหนาน ไม่เจอกันนาน ท่านนั้นเปลี่ยนไปจากก่อนมากจนข้าเกือบจะจำ พยัคฆ์แดงไม่ได้เลยจริงๆ”จินเหยาจางกล่าวออกพร้อมรอยยิ้ม
“น้องเหยาจาง ข้านั้นละทิ้งชื่อแซ่นั้นไปหมดแล้ว ตอนนี้ข้าเป็นเพียงขอทานธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นและที่มาเยือนตระกูลจินในวันนี้เพียงเพราะมาตามคำบอกของสหายตัวน้อยที่ยืนๆข้างเจ้าเท่านั้น”จั่วจิงหนานกล่าวออกด้วยสีหน้าเป็นปกติในขณะที่มือของมันยังจูงมือเด็กชายตัวน้อยอยู่ตลอด
“ข้าจะไม่ถามอะไรเพราะท่านเองคงมีเหตุผลของท่าน แต่ถ้าพี่จิงหนานต้องการความช่วยเหลือจากน้องชายคนนี้ละก็ขอให้ท่านได้เอ่ยออกมา
ข้าพร้อมที่จะช่วยเหลือทุกเมื่อ” จินเหยาจางกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น บุคคลที่ทำให้จินเหยาจางยอมรับนั้นมีน้อยเสียยิ่งน้อยซะอีก
หนิงเทียนจับจ้องไปยังจั่วจิงหนานราวกับว่ากำลังมองลึกให้ถึงก้นบึ้งของจิตใจก่อนจะกล่าวออก “ข้าสามารถปรุงมันออกมาได้ แต่โอสถเลือดกระเรียนมันเป็นถึงโอสถระดับปฐพี แน่นอนว่าเจ้าต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนให้กับข้า”
จินเจียงหยาได้ยินดังนี้ มันจึงรีบกล่าวออกเป็นคนแรก “แน่นอน พวกเราต้องตอบแทน น้องชายเจ้าต้องการสิ่งใดขอเพียงแค่บอกมา”
หนิงเทียนพยักช้าๆให้แก่จินเจียงเหยาพร้อมกับหันหน้าไปยังทิศทางของจั่วจิงหนานและกล่าวออกด้วยน้ำเสียงปกติ “แล้วเจ้า?”
เมื่อมันได้ยินถึงโอสถเลือดกระเรียนภายในใจของจั่วจิงหนานตื่นเต้นจนแทบคลั่ง มันเริ่มพินิจถึงองค์ประกอบโดยรอบก่อนจะกล่าวออก “สหายตัวน้อย ถ้าเจ้าสามารถปรุงมันได้จริงๆ ข้าจะขอซื้อมันด้วยราคา15หยกนิล”
“ฮาฮาๆ ไม่เลวเป็นขอทานที่ร่ำรวยจริงๆแต่สำหรับข้าหยกนิลนั้นไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจ”หนิงเทียนหัวเราะก่อนจะกล่าวปฎิเสธ
จั่วจิงหนานหรี่ตาแคบพร้อมกล่าวอย่างระวังตัว “เจ้าต้องการสิ่งใดแลกเปลี่ยนกับโอสถเลือดกระเรียน?”
หนิงเทียนยิ้มและกล่าว“ข้านั้นไม่ใช่คนใจดำอันใดที่จะเห็นเด็กน้อยใกล้ตายแล้วไม่ช่วย”
ได้ยินเช่นนั้นหัวใจของมันเต้นระส่ำอย่างบ้าคลั่ง มันพยามเก็บความรู้สึกด้วยอย่างยากลำบาก มันไม่ต้องการที่จะแสดงออกทางสีหน้าให้ผู้อื่นเห็นก่อนจะกล่าวออก
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเป็นเด็กคนนี้?” โรคเลือดผสมปราณนั้นมันไม่ใช่โรคที่เพียงแต่มองแล้วจะบอกได้ว่าผู้ใดป่วยเป็นอย่างน้อยที่สุดมันต้องใช้สัมผัสในการตรวจหา
แต่สำหรับหนิงเทียนแล้วมันอาศัยกลิ่นไอของสมุนไพรที่ติดตัวเด็กน้อยผู้นี้เท่านั้น
“ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด ข้านั้นเป็นแพทย์ ถ้าไม่รู้อาการของผู้ป่วยนั้นถึงเรียกว่าเรื่องแปลก”หนิงเทียนกล่าวด้วยสีหน้าสบายๆ มันยังคงกล่าวต่อ
“ตระกูลจินกับตัวข้านั้นนับว่ามีบุญคุณกันอยู่บ้าง ข้าจึงต้องการให้ ตระกูลจินทำงานให้ข้าสองเรื่อง
ในเรื่องแรกข้าต้องการให้ตระกูลจินเป็นผู้ออกหน้าในการกว้านซื้อทาสทั้งหมดมาให้ข้า พวกเจ้าไม่ต้องห่วง ค่าใช้จ่ายทั้งหมดข้าจะเป็นผู้ออกเอง ส่วนเรื่องที่สองข้าจะบอกแก่เจ้าเมื่อทำงานเรื่องแรกสำเร็จ”
กล่าวจบตรงนี้หนิงเทียนเปลี่ยนสายตามองไปยังจั่วจิงหนาน “เจ้าชื่อ จั่วจิงหนานสินะ ข้ากับเจ้าไม่เคยมีบุญคุณความแค้นใดต่อกัน การที่จะให้เจ้าทำงานสักเรื่องสองเรื่องเห็นทีจะไม่พอ
แต่ว่าข้ากำลังจะสร้างตระกูลขึ้นมา และ แน่นอนข้าต้องสร้างกองกำลังของตัวเอง ถ้าเจ้ายินยอมที่จะเป็นผู้ฝึกสอนทหารของตระกูลซือหม่าแล้วละก็นับว่าโอสถเลือดกระเรียนนั้นเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ
ข้ายังจะมอบเงินเดือนให้แก่เจ้า และถ้าเจ้ายินยอมเป็นคนของตระกูลซือหม่า ทั้งเจ้าและเด็กคนนี่ไม่จำเป็นตัวกลัวหรือซ่อนตัวจากศัตรูของอีกต่อไป ข้านั้นมีพลังมากพอที่จะปกป้องทุกคนในตระกูลของข้าได้”
แม้หนิงเทียนจะกล่าวออกด้วยน้ำเสียงอันเป็นปกติแต่สำหรับผู้ที่ได้ฟังนั้น มันกลับสร้างความเชื่อถือในตัวหนิงเทียนได้อย่างประหลาดใจ
เมื่อหนิงเทียนกล่าวจบ เสียงของจินเหล่าต้าตอบกลับโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด “ตกลง ข้าตกลง”
“ต่อไปตาเจ้าแล้ว”หนิงเทียนกล่าวออกอีกครั้ง
“ระยะเวลา? ข้าต้องเป็นครูฝึกให้ทหารของเจ้านานเพียงใด” จั่วจิงหนานกล่าวถามอย่างระวังตัว
หนิงเทียนยกยิ้มและกล่าวออก“1ปีก็เพียงพอแล้ว”
มันครุ่นคิดอยู่ไม่นานนัก ก่อนจะตอบรับหนักแน่น“ตกลง ถ้าเจ้าสามารถช่วยบุตรชายข้าได้ ข้าจะยอมเป็นข้ารับใช้ของเจ้าหนึ่งปี ไม่มีบิดพลิ้ว”
หนิงเทียนพยักหน้าพร้อมกล่าวออก “ดีเมื่อพวกเจ้าตกลง ข้าจะเริ่มปรุงยา จำเอาไว้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอย่าได้ส่งเสียงรบกวนข้าเด็ดขาด” หนิงเทียนกล่าวออกพร้อมสะบัดมือ
ปรากฎเตาโอสถสีเขียวอ่อนประดับประดาไปด้วยลวดลายอสรพิษนับสิบตัว ถ้าเพียงมองในครั้งแรกนั้น มันดูคล้ายกับว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่กำลังเลื้อยคลานอยู่รอบเตาโอสถ
จากนั้นหนิงเทียนหยิบแกนของสัตว์อสูรธาตุไฟนับร้อยชิ้นโปรยลงไปเตาปรุงยา ก่อนที่เปลวไฟสีแดงฉาน จะโหมกระหน่ำขึ้นมา หนิงเทียนใช้มือขวา วาดลงอย่างอ่อนช้อยและมือซ้ายสะบัดขึ้นลงอย่าแข็งกร้าว
มันบังคับให้เปลวไฟที่โหมกระหน่ำถูกจำกัดบริเวณให้อยู่ภายในเตาปรุงยาเท่านั้น
ในขั้นตอนนี้ จินเจียงหยามองไปด้วยปากที่อ้ากว้าง ในคร่าแรกที่มันเห็นหนิงเทียนโยนแกนอสูรนับน้อยชิ้นลงไปในเตาปรุงยานั้น หัวใจของมันแทบหล่นลงไปอยู่กับพื้นเบื้องล่าง
เพียงเพราะถ้าหนิงเทียนไม่สามารถควบคุมเปลวไฟได้แล้วละก็ มันจะระเบิดออกให้ตระกูลจินกลายเป็นทะเลเพลิงในทันที
หนิงเทียนใช้เวลาอยู่ราวๆ2เค่อในการปรับสมดุลเปลวไฟที่เกิดจากแกนของอสูรต่างชนิดกันให้ผสานผสานเข้ากันจนลงตัว จากนั้นมันจึงกล่าวออก
“เสี่ยวซวง ใส่หิมะสามฤดูลงไป” เมื่อใส่หิมะสามฤดูลงไปนั้นมันช่วยเจือจางความร้อนของไฟในเตาโอสถลงเล็กน้อยจากนั้นหนิงเทียน นำ หลินจือดำ เห็ดโลกันต์ ขนนกกระเรียน และใบละลายแดด โยนลงไปพร้อมกัน
จากมุมมองของคนภายนอกนั้นดูคล้ายว่าหนิงเทียนจะโยนวัตถุดิบลงอย่างมั่วๆ
เวลานี้อุณหภูมิภายในเตาปรุงโอสถนั้นทวีมากขึ้น มันร้อนแรงเกินกว่าการจุดไฟด้วยลมปราณของผู้ฝึกตัวในแดนวีรชนด้วยซ้ำ ถ้าเปลวเพลิงนั้นทะลักออกจากการควบคุมของหนิงเทียนแล้วละก็ ไม่พ้นว่าหมู่ตึกตระกูลจิน คงหายกลายเป็นขี้เถา
ทั้ง4มองไปยังภาพข้างหน้าด้วยสายตาที่เหลือเชื่อ "นั้นๆ เขาใช้หิมะสามฤดูแทนน้ำทิพย์เพื่อเจือจางความเป็นพิษของสมุนไพรลง
ไม่น่าเชื่อ!!สมุนไพรระดับโลกที่5 สามารถเจือจางวัตถุดิบพิษระดับโลกที่9ได้" จินเจียงหยาเรียกสติกลับมาพร้อมกล่าวด้วยความประหลาดใจ
จั่วจิงหนานเองก็ไม่แพ้กันดวงตาของมันค้างกว้าง มันนั้นติดอยู่ในขั้นตอนการเจืองจางพิษมานับสิบๆครั้ง
ถึงขนาดที่มันต้องเดินทางไปสมาคมการค้าจ้าวสมุทรเพื่อหาน้ำทิพย์มาเจื่อจางพิษ แต่ภาพตรงหน้าที่มันเห็นในเหนือภูมิความรู้ของมันไปมากเกินบรรยายออกได้
เวลาผ่านไปอีก1เค่อ หนิงเทียนปาดเหงื่อเม็ดใหญ่ที่เกาะอยู่บนหน้าผากมันด้วยใบหน้าอ่อนล้า
“มาถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว” จินเจียงหยาอุทานออกมาทันที
ในขั้นสุดท้ายของการปรุงโอสถคือการควบรวมก่อร่าง ผู้ปรุงโอสถจะต้องใช้ลมปราณในการปั่นแต่งรูปร่างไม่ให้เม็ดยาสูญเสียสรรพคุณและความเข้มข้นของมัน
สำหรับโอสถนั้น ความเข้มข้นของมันจะมีมากกี่ส่วน ขึ้นอยู่กับขั้นตอนการควบแน่นก่อร่าง
ในยามปกตินั้นหนิงเทียนสามารถหลับตาควบแน่นมันได้อย่างง่ายดาย แต่ในยามที่ปราศจากลมปราณแล้ว มันจึงเหลือเพียงวิธีเดียวคือการใช้สองมือของมันสรรสร้างออกมาและที่สำคัญ
ความเข้มข้นที่ได้นั้นต้องมีมากกว่า7ใน10ส่วนขึ้นไป โอสถเลือดกระเรียนจึงจะสามารถแยกเส้นเลือดและเส้นปราณออกจากกันได้
หนิงเทียนสูดหายใจเข้าลึก ไม่บ่อยครั้งนักที่หนิงเทียนจะแสดงสีหน้าเคร่งเครียดออกมา จากนั้นมันใช้สองมือของมันที่ปราศจากการปกป้องด้วยลมปราณควบแน่นโอสถที่กำลังร้อนระอุ
หนิงเทียนกัดฟันแน่น มันทนความเจ็บปวดจากความร้อนที่เม็ดยาส่งผ่านไปยังมือของมันด้วยความยากลำบาก
เมื่อภาพเช่นนี้ปรากฏต่อสายตา มันสร้างความซาบซึ้งตื้นตันแก่บุคคลทั้งสามของตระกูลจินและจั่วจิงหนาน อย่างมาก พวกมันนับว่ารู้จักกันได้เพียง2-3วันเท่านั้น จะกล่าวว่ารู้จักเพียงผิวเผินก็ไม่ผิดอันใดนัก
ส่วนของจั่วจิงหนานมันไม่อาจจะใช้คำว่ารู้จักได้ด้วยซ้ำไป
เวลาผ่านไปไม่นานสมุนไพรที่เดิมเป็นเพียงของเหลวไร้รูปร่างกลับควบแน่นกลายเป็นเม็ดยาสีแดงโลหิต หนิงเทียนระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“โชคดีจริงๆ มันมีความเข้มข้น8ใน10ส่วน แต่น่าเสียดายในขั้นตอนสุดท้ายข้าทำมันพลาดไป1เม็ด” หนิงเทียนกล่าวออกพร้อมคลายมือ เผยให้เห็น โอสถปฐพีเลือดกระเรียน สองเม็ดบนฝ่ามือของมัน
“โชคดี? เจ้าเด็กนี้บอกว่าโชคดี” จินเหยาจางอุทานออกพร้อมทั้งถอยหลังล้มลงไปนั่งกับพำนักเก้าอี้ ด้วยดวงตาที่เลื่อนลอยไร้สติ
จั่วจิงหนานกล่าวออกอย่างไม่เต็มเสียงนัก “เจ้า....เจ้าอายุเท่าใดกันแน่?”….