ตอนที่แล้วตอนที่61 ท่านแม่
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่63 เย่ฉางและดอกไอริส

ตอนที่62 เผชิญหน้ากับจวิ๋นฉี


ตอนที่62 เผชิญหน้ากับจวิ๋นฉี

เรือนร่างบางกรอบป่านนี้ดูไม่ต่างจากเด็กอายุสิบขวบด้วยซ้ำ? แม้แต่จวิ๋นอี้ยังดูแก่กว่านางตั้งหลายปี

“ไม่เกี่ยวกระมัง...”

จวิ๋นโม่เทียนถึงกับพูดไม่ออก เมื่อเห็นร่างกายอันผอมแห้งและอ่อนแอของหลี่หวง ใจถึงพลันก่อเกิดคำถาม ที่ผ่านมานางใช้ชีวิตอย่างไรกันแน่?

แต่สภาพในตอนนั้นเองก็...อนิจจา...

นางยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจเรื่องพวกนี้จริงๆ!

“ลุงหก”

หลี่หวงเอ่ยเรียกและกล่าวสีหน้าจริงจังว่า

“องค์รัชทายาทไม่มีทางถูกโค้นล้มได้โดยง่าย และองค์ชายเก้าเองก็จะไม่แย่งชิงบัลลังก์จากพี่ชายของตนแน่นอน”

“ไฉนเจ้าถึงมั่นใจเช่นนี้?”

“เพราะข้าทราบจากองค์ชายสิบ”

จวิ๋นหลี่หวงกล่าว

“องค์ชายสิบ? หมายถึงองค์ชายหลิงเฟิง?”

จวิ๋นโม่เทียนเผยแววประหลาดใจขึ้นหลายส่วน ไฉนหลีหวงถึงไปรู้จักกับองค์ชายสิบผู้มีสถานะศักดิ์พิเศษปานนั้นได้?

หลี่หวงพยักหน้า แต่ก็ยังเลือกที่จะไม่เอ่ยอธิบายใดๆ

ฟังจากบทสนทนาระหว่างหลิงเฟิงกับองค์รัชทายาท หลี่หวงก็รู้แล้วว่า พี่น้องคู่นี้มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ในเมื่อองค์รัชทายาทยังยืนกรานที่จะขึ้นครองราชย์ต่อไป นางก็คาดเดาได้ทันทีเช่นกัน ทั้งองค์ชายเก้าและองค์ชายสิบจะไม่มีทางแก่งแย่งบัลลังก์จากพี่ชายคนสนิทแน่นอน

แต่ในใจหลี่หวงก็อดแปลกใจไม่ได้ กับแค่ตำแหน่งจักรพรรดิมันมีแรงดึงดูดต่อคนๆ นึงมากขนาดนั้นเชียวรึ?

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเรื่องภายในเชื้อพระวงศ์ แต่อย่างไรก็ดีการขึ้นครองราชย์โดยไม่เป็นธรรมย่อมส่งผลกระทบต่อครอบครัวอีกนับพันหมื่นทั่วทั้งจักรวรรดิ

สำหรับนางนั้น หากสักวันต้องขึ้นเป็นพระมเหสีจริง คงเป็นอะไรที่น่าเบื่อมาก ต้องคลุกตัวอยู่แต่ในวังหลวง

ชีวิตแบบนั้นกลับไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการเลย

“องค์ชายหลิงเฟิงมีศักดิ์สถานะพิเศษ ถูกแต่งตั้งเป็นอ๋องสุขสันต์ ไม่มีทางเข้าร่วมศึกแย่งชิงบัลลังก์อยู่แล้ว และเดิมทีข้าเองก็เคยได้ยินมาเช่นกันว่า อีกฝ่ายมีสายสัมพันธ์อันดีกับองค์ชายเก้า แต่ข้ากลับไม่คิดว่าทั้งสามคนนี้จะมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันปานนั้น?”

หลี่หวงส่ายหน้า

“แม้ข้าจะไม่เคยเห็นหน้าองค์รัชทายาทกับองค์ชายเก้ามาก่อน ทว่าข้ากลับมั่นใจนัก”

ดวงตาคู่นั้นของหลีหวงเปล่งประกาย ส่องสะท้อนแววหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘ความมั่นคง’

จวิ๋นโม่เทียนรู้ได้ทันทีว่า ยามนี้เขาไม่สามารถตั้งคำถามใดๆ เข้าหักล้างได้อีกต่อไป จึงยอมแพ้โดยจำนน

“หลี่หวง เจ้าโตขึ้นเยอะเลย”

เสียงถอนหายใจเฮือกยาวนี้ช่างเต็มไปด้วยความหม่องหมอน กับกาลเวลาที่เขาเคยทำผิดพลาดกับหลานสาวคนนี้เอาไว้

“เรื่องในตอนนั้น...”

“ข้ารู้หมดแล้ว และก็มิได้ใส่ใจอีกต่อไป”

หลี่หวงตระหนักดีว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยเล่าอันใด นางจึงกล่าวขัดจังหวะพร้อมโค้งศีรษะให้เล็กน้อย ก่อนเดินจากตำหนักของจวิ๋นโม่เทียนออกมา

“หลี่หวง...”

ภายในลานหน้าตำหนัก จวิ๋นโม่เทียนได้แต่เหม่อมองหลานสาวของตนเดินจากไกลออกไป

หลังจากที่หลี่หวงออกมาจากตำหนักของจวิ๋นโม่เทียน สีหน้าของนางก็เริ่มจริงจังขึ้นมาทันใด

นางไม่เคยลืมเลือน ตอนที่จวิ๋นโม่เทียนเอ่ยกล่าวอยู่ฉากหนึ่ง ทันทีที่พูด ‘ประโยคนั้น’ จบ ดวงตาคู่นั้นของเขาก็ฉายแววสังหารออกมาวูบหนึ่ง

เขาบอกว่า อยู่ให้ห่างจากเย่ฉาง!

ด้วยนิสัยของจวิ๋นโม่เทียน เขาไม่มีทางพูดเรื่องไร้สาระออกมาโดยไม่คิดไตร่ตรองแน่นอน น้ำเสียงวาจาที่เปล่งดังแม้นจะดูสงบนิ่งตามนิสัยสุขุมของเขา ทว่าแววตากลับไม่สามารถบดบังจิตสังหารได้เลย

เย่ฉาง! นางคนนี้ต้องมีปัญหาแน่นอน! ยิ่งไปกว่านั้น...หาใช่ปัญหาเล็กๆ ด้วย!

“เจ้า มานี่หน่อย”

จวิ๋นหลี่หวงกวักมือเรียกองครักษ์คนหนึ่งที่อยูระหว่างการเดินตรวจตรา

“คุณหนูใหญ่มีรับสั่งอันใดขอรับ?”

องครักษ์คนนั้นรีบตรงปรี่เข้ามาด้วยท่าทีแสนนอบน้อม

“อีกประเดี๋ยว ลุงใหญ่ของข้าจะรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของสี่ตระกูลใหญ่ ฝากบอกอีกฝ่ายทีว่า ข้าเองก็สนใจเป็นอย่างมาก!”

หลี่หวงกล่าว

“ขอรับ!”

องครักษ์รีบประสานมือรับสั่งและจากออกไป

หลี่หวงแหงนมองฝากฟ้าทิศทางที่ตั้งของวังหลวงอย่างเคว้งคว้าง พลันชะงักหยุดไปชั่วขณะ ก่อเกิดเป็นหนึ่งคำถามขึ้นภายในใจ ไฉนอีกสามตระกูลใหญ่ถึงต้องเล็งเป้ามาที่ตระกูลจวิ๋นด้วย?

ไฉนทุกฝักฝ่ายถึงต้องมุ่งเป้ามาที่พวกเรา?

“คุณหนูใหญ่ โปรดรอก่อน”

ขณะที่หลี่หวงกำลังตรงกลับเข้าตำหนักตนเองไป ทันใดนั้นกลับมีสุ้มเสียงดังจากด้านหลังเรียกหา

หลี่หวงมุ่นคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเหลียวมองกลับไปหาต้นเสียง ปรากฏว่าเป็นจวิ๋นฉีที่ยืนมองนางด้วยสายตาแปลกๆ

“มีอะไร?”

หลี่หวงเอ่ยถามอย่างเฉยเมย

“ท่านแม่ข้า...ท่านแม่ตายแล้วจริงๆ รึ?”

จวิ๋นฉีเอ่ยถามประโยคหนึ่งสีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง ที่นางมีทางทีแปลกประหลาดเช่นนี้ คงได้ฟังจวิ๋นอี้เล่ากล่าวเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเมืองหงเฟิงแล้วกระมัง

“เจ้าคิดว่าเสี่ยวอี้จะกล้าโกหกเจ้ารึ?”

หลี่หวงสวนตอบทันทีด้วยความคำถาม แววตาที่จับจ้องจวิ๋นฉีดูเฉียบคมขึ้นหลายส่วน ทั้งยังเร้นแฝงไปด้วยความเย็นชา

“ข้า...ข้าเพิ่งไปพบเสี่ยวอี้มา...”

ดวงตาคู่นั้นของน้องชาย จวิ๋นฉียังจดจำได้เป็นอย่างดีว่ามันเปล่งประกายและงดงามปานใด ทว่าตอนนี้น้องชายของเขากลับสูญเสียแสงสว่างไปตลอดกาล และตัวการของโศกนาฏกรรมทั้งหมดก็คือผู้เป็นแม่และน้องสาวแท้ๆ ของนาง!

นี่เป็นเรื่องที่ลำบากใจเกินกว่าที่จวิ๋นฉีจะรับไหว!

แม้ว่าอารมณ์ของจวิ๋นอี้ในปัจจุบันจะดูสงบนิ่งอย่างมากในขณะที่เล่า ทว่าจวิ๋นฉีก็ยังฟังออกถึงความขมขื่นที่ซ่อนแฝงอยู่ในทุกถ่อยคำของน้องชาย และความคาดหวังว่าจะเข้าใจอะไรได้บ้างที่มีต่อนาง

“ท่านแม่กับน้องสาวข้า...”

จวิ๋นฉีรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย นางเดินทางออกจากเมืองหงเฟิงตั้งแต่แปดขวบและมาอยู่ในจวนจวิ๋นในเมืองหลวงนับแต่นั่น นางไม่เคยได้รับความรักจากผู้เป็นบิดาหรือมารดามากมายนัก ในความทรงจำของนาง ผู่เป็นแม่เป็นคนใจดี และน้องสาวของนางเองก็ดีต่อนางเช่นกัน

แต่ทำไม...ตอนนี้ทุกคนกลับบอกว่าทั้งแม่และน้องสาวของนางเป็นคนเลว แถมยังถูกใส่ร้ายว่าคบชู้กับชายอื่นอีก?

“จวิ๋นรั่วยังไม่ตาย”

หลี่หวงเอ่ยเสียงเรียบต่อว่า

“นี่นับเป็นความเมตตาแล้วที่นางยังไม่ตาย เจ้าควรจะดีใจ”

“แต่ตามกฎของตระกูล แม่ท่านของข้าควรได้ละเว้นโทษตาย แต่ไฉนเจ้าถึงต้องฆ่าแม่ของข้าด้วย?!”

จวิ๋นฉีไม่สนใจฟังคำกล่าวของหลี่หวงแม้แต่นิด ยามนี้มีแต่ความขมขื่นอัดแน่นอยู่ภายในใจ

“แม่ของเจ้าถูกจวิ๋นจ้านขับไล่ออกจากตระกูล มิได้รับโทษตาย ทว่าหลังจากนับเป็นตายร้ายดีอย่างไร ข้ากลับไม่รู้เรื่องเช่นกัน”

สำหรับคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น จะรู้สึกเหมือนที่หลี่หวงรู้สึกเลยก็คือ ความตายสำหรับฮูหยินรองนับว่าเบามากแล้ว

“น้องหลี่หวง”

นัยน์ตาสองสีงดงามของจวิ๋นฉีสบเข้ากับนัยน์ตาสีม่วงของหลี่หวง นี่เป็นครั้งแรกที่นางมิได้เรียกอีกฝ่ายว่าคุณหนูใหญ่ แต่เรียกว่าน้องหลี่หวงแทน

จวิ๋นฉีอายุสิบสี่ปี ส่วนจวิ๋นหลี่หวงอายุสิบสามปี ทว่าร่างกายของทั้งสองกลับแต่ต่างกันอย่างมาก

“ข้าแค่ต้องการถามเจ้าสักคำเท่านั้น ได้โปรดบอกมาตามความจริงได้หรือไม่?”

จวิ๋นฉีเอ่ยขอร้อง

“พูดมา”

“เจ้าเป็นคนก่อเรื่องทั้งหมดนี้ขึ้นมาใช่ไหม?”

จวิ๋นฉีเอ่ยถามออกไปตามตรง ทว่านัยน์ตาสองสีของนางยังคงจ้องใบหน้าของจวิ๋นหลี่หวงเขม็ง ราวกับต้องการจะจับพิรุณ

อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของหลี่หวงยังคงเรียบนิ่งประดุจเหมันต์หมื่นปี ปราศจากคลื่นอารมณ์ผันผวนใด เพียงเหลือบสายตาจับจ้องจวิ๋นฉีลักล่าวขึ้นตามตรงไปว่า

“หากเป็นกรณีที่แม่ของเจ้าคิดจะสังหารข้าและขึ้นกลายเป็นผู้นำตระกูลจวิ๋นเสียเอง ข้านี่แหละคือคนก่อเรื่องทั้งหมด”

จวิ๋นฉีกลับไม่รู้สึกดีแม้สักนิด นางทรุดตัวลงกับพื้นอย่างหมดอาลัยตายอยาก ดวงตาคู่นั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อเจือเศร้าโศก

“ท่านแม่...คิดจะก่อกบฏขึ้นเป็นผู้นำงั้นหรอกรึ...”

ทันทีทันใดจวิ๋นฉีก็ระเบิดหัวเราะประชดความบัดซบที่เกิดขึ้นออกมาเสียงหนึ่ง

การกระทำเช่นนี้มันไม่ต่างอะไรกับการก่อกบฏเลยมิใช่รึไง?

ท่านแม่เป็นเพียงหญิงสาวสามัญ ย่อมไม่เข้าใจไม่ใต้หล้าแห่งนี้ แต่ไฉนยังถึงไต่ขึ้นที่สูง?

ที่แท้กลับเป็นท่านแม่ของนางที่เป็นคนโลภมากเสียเอง...

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา จวิ๋นฉีได้ศึกษาร่ำเรียนและมีมิตรสหายภายในจวนตระกูลจวิ๋นในเมืองหลวงแห่งนี้ ย่อมรู้สึกรักและผูกพันเป็นธรรมดา

และนางย่อมทราบดีว่า หากท่านแม่หรือไม่ก็น้องสาวของนางขึ้นกลายเป็นคุณหนูใหญ่และกลายมาเป็นผู้นำตระกูล ตระกูลจวิ๋นจะไม่มีวันได้ผงาดขึ้นกลายเป็นสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวงได้อีกเลย

กล้าก่อกบฏคิดสังหารผู้สืบทอดสายตรง การกระทำเช่นนี้มันไม่ต่างอะไรกับการผลักลูกสาวแท้ๆ อย่างนางเข้าไปในกองไฟเลย

นี่มันฆ่ากันทางอ้อมชัดๆ!

“โชคยังดีที่น้องหลี่หวงไม่เป็นอะไร...มิฉะนั้นตราบาปนี้คงจะติดต้องตราตรึงข้าไปตลอดกาล...”

จวิ๋นฉีได้แต่ส่ายหน้าพลางหัวเราะเยาะตัวเอง

“เจ้าเป็นคนมีความสามารถสูงมากขึ้นหนึ่ง หากเข้าใจก็ดีแล้ว แต่...”

หลี่หวงเอ่ยเสียงเรียบออกมา ทิ้งท้ายโดยไม่กล่าวต่อให้อีกฝ่ายคิดเอาเอง

แต่...ถ้าเจ้ายังกล้าขวางทางข้า โทษนั้นคือตาย!

ไม่มีจุดจบอื่นใดรอเจ้าอีกแล้ว

“ข้าเข้าใจความหมายของเจ้าดี...”

จวิ๋นฉีคลี่ยิ้มอย่างขมขื่นใจ สรุปสุดท้ายนี้ การมีจิตใจฝักใฝ่แต่เรื่องล้างแค้น ไม่เพียงแต่ไม่ส่งผลดี แต่ยังเพิ่มมารภายในใจให้ทวีความแกร่งกล้า ไม่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้บ้มเพาะพลัง

“แต่ว่า...”

“หื้ม?”

“ดวงตาของเสี่ยวอี้...ไม่มีทางรักษาเลยรึ?”

เด็กหนุ่มที่บริสุทธิ์ปานนั้น ไม่ควรโดนลูกหลงจากความเห็นแก่ตัวของคนๆ หนึ่ง

“รักษาได้”

หลี่หวงเอ่ยตอบเพียงสามพยางค์

จวิ๋นฉีแหงนหน้ามองหลี่หวงด้วยความตื่นตะลึง ตาบอดสนิทกลับยังมีหนทางรักษาได้?

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด