ตอนที่61 ท่านแม่
ตอนที่61 ท่านแม่
“เขาเป็นวีรบุรุษที่เก่งกาจ แต่หาใช่พ่อและสามีที่ดี...”
จวิ๋นโม่เทียนเหลือบหางตามองหลี่หวง
มิอาจทราบต้นตอและหาได้รู้เลยว่าเพราะเหตุใด อีกฝ่ายถึงกล่าวออกมาแบบนี้
“เขายืนกรานที่จะเข้าสมรภูมิรบด้วยตนเอง ทั้งที่เจ้าลืมตาขึ้นมาดูโลกยังไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ ซึ่งสมรภูมิครั้นนั้นเดิมทีมีโอกาสชนะเทียบเท่ากับศูนย์...”
“และความตกต่ำของตระกูลจวิ๋นของเราก็เริ่มนับตั้งแต่วันนั้น...”
หลี่หวงที่ได้ฟังประยคนี้ถึงกับขมวดคิ้วแน่น สวนวาจาเอ่ยถามไปว่า
“ในปีนั้น ฝ่าบาททรงมีราชโองการให้ท่านพ่อเข้าร่วมศึกสมรภูมิรึ?”
จวิ๋นโม่เทียนทั้งพยักหน้าและส่ายหัวในเวลาเดียวกัน
“ฝ่าบาททรงมีราชโองการเรื่องส่งกำลังเสริมถึงจวนตระกูลจวิ๋นโดยตรง วัตถุประสงค์ค่อนข้างชัดแจ้ง ปรารถนาให้ท่านพ่อของเจ้านำกองกำลังภายในตระกูลส่งออกไปหนุนข้าศึก ทว่าคุมทัพใหญ่จำต้องมีขุนพล ยามนั้นท่านพ่อของเจ้ากลับไม่ไว้วางใจให้ท่านปู่ของเจ้าออกโรง จึงยืนกรานขอส่งตนเองไปแทน”
“จากนั้นท่านพ่อก็ทิ้งข้ากับท่านแม่ให้อยู่เพียงลำพัง?”
หลี่หวงเอ่ยถามขึ้นต่อ
“พี่สามเองก็มีเหตุผลของเขาเช่นนั้น แต่หาใช่ว่าจะ...เอ่อ...”
จวิ๋นโม่เทียนยังคงพยายามสรรหาคำแก้ต่างให้พ่อของหลี่หวง แม้จะต้องการอธิบายออกไปเพียงใด ทว่าในท้ายที่สุดกลับพูดไม่ออก
“สิ่งที่ท่านพ่อทำลงไปนั่นถูกต้องสมควรแล้ว ข้ามิได้โทษเขาเลย”
หลี่เห็นที่เห็นท่าทางของจวิ๋นโม่เทียนคลับคล้ายคลับคลาจะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก นางก็เอ่ยขัดจังหวะขึ้นทันใดอย่างเฉยเมย
“?!”
จวิ๋นโม่เทียนแทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน หูของเขาพังแล้วกระมัง?
“มีบ้านเมืองต้องปกป้อง ท่านพ่อเป็นขุนพลสำคัญของจักรวรรดิ การให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของจักรวรรดิเป็นอันดับแรกหาใช่เรื่องยากเกินจะเข้าใจ”
หลี่หวงกล่าวอธิบาย ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงดูสงบนิ่งราวกับมิได้เกี่ยวข้องอะไรกับตนเลย
จวิ๋นโม่เทียนจับจ้องหลี่หวงเจือแววตะลึง เด็กคนนี้ปราศจากอารมณ์ความรู้สึกรึอย่างไร?
กระทั่งเขาเองก็ยังเผยแววเศร้าเล็กน้อยเมื่อกล่าวถึง แล้วผู้เป็นบุตรสาวจะขนาดไหนเมื่อได้ฟัง?
ผลลัพธ์ที่ได้กลับมาคือความเย็นชา?
“แล้วท่านแม่ละ?”
หลี่หวงเอ่ยปากถามขึ้นอีกครั้ง คล้อยหลังทราบว่าท่านพ่อเป็นคนยังไงแล้ว นางก็อยากทราบอย่างยิ่งเช่นกันว่า ท่านแม่ของนางจะเป็นคนอย่างไร?
แต่จะอย่างไร แม้หลี่หวงจะเอ่ยปากเองว่า ตนเข้าใจการตัดสินใจของผู้เป็นพ่อ แต่เบื้องลึกภายในใจย่อมมีความไม่พอใจอยู่เล็กน้อย ซึ่งนางเองก็ไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่า ความรู้สึกเช่นนี้มันโผล่ปรากฏจากไหนกัน
เพียงสัญชาตญาณดิบของนางได้บอกว่า หัวใจดวงนี้มันรู้สึกเศร้าโศก
เศร้า?
ไฉนถึงต้องรู้สึกเศร้ากัน?
หลี่หวงส่ายหัวสะบัดความรู้สึกผิดประหลาดเหล่านี้ออกไปจากหัวใจ
“ท่านแม่ของเจ้า...”
จวิ๋นโม่เทียนไม่รู้ว่าตนควรจะพูดต่ออย่างไรดี
“ท่านแม่ของเจ้าช่างงดงามยิ่งนัก...”
“ทว่าภูมิหลังครอบครัวของท่านแม่เจ้ากลับไม่ทราบที่มา แต่ไม่ว่าอย่างไร ท่านพ่อของเจ้าก็ยังยืนกรานจะแต่งงานกับนางให้ได้ ส่วนตามหลักประเพณีของตระกูลจวิ๋นเองก็มิได้เคร่งเรื่องภูมิหลังตระกูลของสะใภ้แต่งเข้าอยู่แล้ว ท่านปู่ของเจ้าจึงมิได้คัดค้านอะไร”
“ท่านแม่ของเจ้ามีนามว่าเย่ซูเฉิน เป็นสตรีที่มีนิสัยประดุจเปลวไฟ ร้อนแรงพร้อมผลาญทุกสรรพสิ่ง...”
จวิ๋นโม่เทียนเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“นางเป็นคนลึกลับมาก แม้จะแต่งเข้าตระกูลกินอยู่กับพ่อของเจ้าร่วมสิบปี แต่เชื่อหรือไม่ว่า ข้าเจอนางน้อยจนนับครั้งได้”
“ยิ่งไปกว่านั้นระดับพลังบ่มเพาะของนางยังสูงส่ง ขนาดข้าในตอนนั้นยังไม่สามารถมองออก แต่ดูเหมือนว่า นางจะได้รับบาดเจ็บสาหัสจากอะไรบางอย่าง จนกลายเป็นเรื้อรัง...จึงไม่สามารถสำแดงใช้คาถาอาคมได้มากเท่าใดนัก”
“หลังจากข่าวการตายของท่านพ่อถูกส่งกลับเข้าจวนในวันรุ่งขึ้น พี่สะใภ้สามก็เดินทางมาพบข้า ทิ้งทวนเพียงประโยคเดียว...ฝากหลี่หวงด้วย แล้วก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย”
“หลายปีมานี้ ลุงหกพยายามส่งคนออกไปสืบเสาะหาเบาะแส เพื่อตามตัวพี่สะใภ้สามกลับมาตลอด แต่นี่จวนจะสิบสามปีเข้าไปแล้ว กลับไม่มีข่าวคราวใดๆ เลย”
เนื้อเสียงที่เปล่งดังของจวิ๋นโม่เทียนเร้นแฝงความรู้สึกผิดหวังอยู่หลายส่วน หากหลี่หวงสามารถเข้าใจถึงความรู้สึกดังกล่าวได้เป็นอย่างดี นางจะค้นพบทันทีว่า สายตาของจวิ๋นโม่เทียนในยามนี้ มันไม่ต่างอะไรกับตอนที่หลิงฉางเจวี่ยมองตัวนางเลย
เพียงว่า...หลี่หวงในปัจจุบันกลับไม่เข้าใจความรู้สึกอะไรพวกนี้เลย
“ข้าจะต้องตามหาท่านแม่ให้พบ!”
หลี่หวงเอ่ยตอบเสียงเรียบ ขอเพียงยังไม่ตาย สุดฟ้าใต้ทะลลึกเพียงใดนางก็จะหาให้พบ
ภายใต้จิตสำนึกของนาง หลี่หวงรู้สึกว่า ตราบใดที่ระหว่างคนเรายังมีความผูกพันทางสายเลือด การอยู่ร่วมกันคือสิ่งที่ดีที่สุด
จวิ๋นโม่เทียนจับจ้องใบหน้าของหลี่หวง เผยรอยยิ้มอันปลื้มปีติออกมา เงาสะท้อนผ่านนัยน์ตาของเขาราวกับหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าหาใช่หลี่หวง แต่เป็นเย่ชูเฉิน สตรีผู้เปรียบดั่งดวงตะวันทอแสง...
น้ำเสียงของจวิ๋นโม่เทียนอ่อนลงโดยไม่ทันรู้ตัว
“บรรดาผู้อาวุโสภายในจวนจวิ๋นของเราเสียงแตกขัดแย้งกันมาหลายปีแล้ว เจ้าเองก็ต้องระวังด้วย”
หลี่หวงพยักหน้าตอบ ที่จวิ๋นโม่เทียนต้องเอ่ยเตือนนางเช่นนี้เพราะกังวลว่า จากนี้ต่อไปตัวหลี่หวงอาจจะพบเจอปัญหาที่มาจากบรรดาผู้อาวุโสเหล่านั้น!
“นอกจากนี้เอง เมื่อวานที่ผู้อาวุโสใหญ่ได้เข้าวังหลวง และเข้าเฝ้าฝ่าบาท ทัศนคติของฝ่าบาทมิได้แข็งกระด้างดั่งก่อนหน้าแล้ว เพราะอำนาจอิทธิพลของตระกูลจวิ๋นของเรายังคงอยู่บ้าง นึกถึงข้อนี้ฝ่าบาทจึงต้องไว้หน้าเราส่วนหนึ่ง”
“ฝ่าบาททรงตรัสอันใดมารึเปล่า?”
หลี่หวงเอ่ยถาม
จวิ๋นโม่เทียนถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เอ่ยขึ้นอย่างจนปัญญาตอบไปว่า
“ฝ่าบาทของพวกเราองค์นี้เปรียบเสมือนจิ้งตอกเฒ่า กลัวว่าเสือที่เลี้ยงไว้จะแว้งกัดเจ้านาย และไม่มีใครคอยอยู่ข้างกายปกป้อง ด้วยเหตุนี้เองจึงปฏิบัติเช่นนี้กับพวกเรา เมื่อวานข้าเองก็ได้เยี่ยมเยือนท่านประมุขแล้ว แม้ยังจะถูกขังอยู่ในคุกใต้ดิน แต่ทุกอย่างยังปกติดี”
จวิ๋นหลี่หวงแค่นเสียงเย็นสบถขึ้นว่า
“เจ้าของช่างโง่เขลาที่คิดระแวงต่อสัตว์เลี้ยงที่ภักดี ทว่ากลับเชื่อใจสัตว์เลี้ยงที่คบคิดแอบแฝง…”
หลี่หวงมิได้เอ่ยกล่าวอันใดอีกต่อไป แต่ทั้งวาจาและน้พเสียงของนางมันก็เพียงพอที่จะพิสูจน์แล้วว่า ด้วยความมุ่งมั่นดั่งหินผานี้ นางหาได้กลัวเกรงจักรพรรดิผู้เป็นใหญ่ในใต้หล้านี้เลย!
ความยิ่งใหญ่ไพศาลของจักรพรรดิ? น่าขันสิ้นดี!
ในสายตาของนางกลับจิ๊บจ้อยดั่งลมตดเท่านั้น!
ต้องหวาดระแวงอะไรขนาดนั้น? หากมั่นใจว่าตนเองบริหารปกครองจักรวรรดิได้ดี ไฉนถึงต้องกลัวโดนยึดอำนาจ?
“เจ้า...”
จวิ๋นโม่เทียนเองก็หมดหนทางกับเรื่องความขี้กังวลของฝ่าบาทเช่นกัน คู่สายตาของเขาจับจ้องหลานสาวคนนี้พลางคิดกับตัวเองไปว่า แม้นางจะเป็นคนเย็นชาประดุจน้ำแข็ง แต่หัวใจกลับแกร่งกล้าเหมือนกับแม่ของนางไม่มีผิดเพี้ยน
เป็นสตรีผู้ไม่มีความทะเยอทะยานใฝ่สูง ทว่าผู้ใดที่คิดขัดขวางเส้นทาง มันผู้นั้นจักต้องถูกนางสังหารทิ้งไม่เลือกหน้า!
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครก็ตาม!
“ยอดฝีมือภายในวังหลวงมีมากมายเสมือนเมฆบนฟ้า หลี่หวง เจ้าเป็นเด็กสาวนางหนึ่งเท่านั้น อย่าบอกเสียว่าจะวิ่งเข้าไปตายเช่นนี้?”
“เช่นนั้นข้าจะรอจนว่าวันที่ข้าแกร่งกล้าเหนือใต้หล้า มากเพียงพอที่จะทำสรรพสิ่งยอมรับ”
หลี่หวงกล่าวออกมาโดยหาได้ใส่ใจไม่ ราวกับประโยคเหล่านี้เป็นเพียงคำพูดปกติทั่วไป
“....หลานข้า เจ้าไปเอาความมั่นใจขนาดนี้มาจากไหนกัน?”
“ลุงหกโปรดอย่าได้กังวล ในเมื่อฝ่าบาทมิได้เห็นค่าตระกูลจวิ๋น ข้าก็มีวิธีแล้วเช่นกัน วิธีที่เขาจะต้องร้องนึกถึงตระกูลจวิ๋นในชั่วเวลาสุดท้ายของชีวิต...”
คำกล่าวประโยคนี้ของหลี่หวงเร้นแฝงไปด้วยความดำมืด เป็นเวลานานแล้วที่นางมิได้วางยาพิษใส่คนอื่น จึงรู้สึกคันไม้คันมือเล็กน้อย
เมื่อเห็นหลานสาวของเขามั่นใจถึงขนาดนี้ จวิ๋นโม่เทียนก็ค่อยโล่งใจหน่อย อย่างน้อยนางก็ยังมีไพ่ตายซุกซ่อนอยู่
“จริงสิ ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง”
จวิ๋นโม่เทียนเสมือนว่าจะเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้
“หื้ม?”
“เจ้ารู้หรือไหมว่าตนมีหมั้นหมายเอาไว้?”
จวิ๋นโม่เทียนเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง พึงทราบเรื่องเช่นนี้ค่อนข้างละเอียดอ่อนนักแล
“รู้แล้ว ตอนที่เย่ฉางมาหา นางเล่าเรื่องนี้ให้ฟังแล้ว”
หลี่หวงพยักหน้า
“เย่ฉาง? เจ้าควรอยู่ให้ห่างนางจะดีกว่า”
จวิ๋นโม่เทียนขมวดคิ้วแน่นคล้ายว่าจะรู้อะไรบางอย่าง แต่กลับหาได้สนใจหัวข้อนี้อีกต่อไป และกล่าวต่อขึ้นว่า
“เดิมทีองค์ชายเก้าเป็นคนจิตใจดี หน้าตาเองก็หล่อเหลา...แม้นจะดูคล้ายอิสตรีไปบ้างก็เถอะ ส่วนพรสวรรค์ด้านการบ่มเพาะพลังนับว่ายอดเยี่ยมยิ่ง อายุของอีกฝ่ายรุ่นราวคราวเดียวกับหลี่จิว นับเป็นตัวเลือกหนึ่งที่เหมาะสมกับเจ้าแล้ว เพียงแต่ว่าตอนนี้...”
“เรื่องที่องค์ชายเก้าเริ่มก้าวเข้ามาแทรกแซงเรื่องการเมืองการปกครอง?”
หลี่หวงเอ่ยถามขึ้นทันที
จวิ๋นโม่เทียนพยักหน้า
“การที่องค์ชายเก้าเข้ามายุ่งเรื่องการเมืองหาใช่เรื่องดี เพราะทีแรกมีการจัดระเบียบเรียบร้อยหมดแล้วว่า จะให้องค์รัชทายาทขึ้นครองบัลลังก์ต่อไป และให้องค์ชายเก้าอภิเษกสมรสกับหญิงสามัญ ทุกอย่างก็จะลงตัว แต่ถ้าเกิดองค์ชายเก้าได้ขึ้นครองบัลลังก์แทน...สถานการณ์ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปทันที ตามกฎแล้วพระอัครมเหสีจะต้องมาจากการคัดเลือกที่เข้มงวด ยิ่งไปกว่านั้นอิทธิพลของตระกูลสนมในวังเองก็...มิอาจดูแคลนได้เลยจริงๆ ถ้าทุกอย่างกลายมาเป็นอย่างที่ว่ามา การอภิเษกสมรสของพวกเจ้าก็จะ...”
“บุตรสาวของตระกูลจวิ๋นปราศจากสายเลือดราชวงศ์ตามขนบธรรมเหนียม อย่างมากก็เป็นได้เพียงพระมเหสีหรือไม่ก็พระสนมกระมัง?”
หลี่หวงพยักหน้าตอบเป็นสัญญาณว่า เรื่องลำดับขั้นสถานะนางพอเข้าใจเช่นกัน
“เดิมทีควรเป็นท่านประมุขตระกูลที่ต้องมาแจ้งเรื่องสำคัญเช่นนี้ แต่ตอนนี้ไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากข้าที่ต้องบอกเองเท่านั้น”
“หลี่หวง กล่าวคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้ล่ะ?”
หลี่หวงส่ายหน้าและตอบว่า
“ข้ายังเด็กอยู่เลย ยังหาใช่วัยที่ต้องมาพิจารณาเรื่องแต่งงาน”
“เจ้าเองก็อายุสิบสามปีแล้ว โดยปกติเด็กสาวในวัยนี้ก็เริ่มวางแผนแต่งออกแล้ว!”
จวิ๋นโม่เทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย โดยหลักเขาไม่อยากให้นางใช้ข้ออ้างเรื่องอายุเพื่อหลีกหนีความจริงในข้อนี้
“ลุงหกข้าเพิ่งอายุสิบสามเอง! ดูรูปร่างข้าสิ! ยังเป็นเพียงเด็กสาววัยกระเปาะ!”
หลี่หวงเดินหมุนตัวซ้ายทีขวาทีเพื่อให้จวิ๋นหลี่เทียนเฝ้าพิจารณาร่างกายเด็กน้อยของนาง หน้าอกหน้าใจยังไม่มีเหมือนหญิงสาวคนอื่นเลยด้วยซ้ำ!