ตอนที่60 ท่านพ่อ
ตอนที่60 ท่านพ่อ
สิ่งที่หลี่หวงกล่าวออกไปล้วนเป็นความจริง ไม่ว่านายน้อยอีกสามตระกูลจะแข็งแกร่งเพียงใด ทว่าคนที่เผชิญหน้ากับพวกคุณก็คือตัวนางเอง หาใช่คนอื่นไม่
หลี่หวงกวาดสายตามองทุกคนที่เผยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีออกมา ยิ้มน้อยๆ ถามคำหนึ่งว่า
“หากข้าพ่าย พวกเจ้าคงหมดไฟจะสู้ต่อกระมัง?”
“ไม่แน่นอน!”
ทุกคนเร่งขานตอบในทันใด
“ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้อย่างให้เรื่องของข้ามีอิทธิพลต่อจิตใจของพวกเจ้า ความแข็งแกร่งของตระกูลจวิ๋นเราเองก็ใช่ว่าจะอ่อนด้อยกว่าอีกสามตระกูลเสีย จงแสดงออกมาให้ทุกคนเห็นว่าเรามีดีแค่ไหน”
หลี่หวงกล่าวปลุกใจ
คำกล่าวประโยคนี้ที่เปล่งดังออกมาจากปากหลี่หวง ในสายตาของเหล่าเยาวชนพวกนี้ต่างเข้าใจในอีกความหมายหนึ่ง
ตามสัญชาตญาณของทุกคนบอกว่า ระดับพลังบ่มเพาะของหลี่หวงมิได้สูงนัก และนางกำลังปลอบใจพวกเขาอยู่เท่านั้น
หวังเพียงเพื่อกระตุ้นจิตวิญญาณนักสู้ในตัวพวกเขา และเอาชนะในงานประลองสักคู่สองคู่ก็ยังดี
หนึ่งในคนที่มีแนวคิดเช่นนี้ก็คือจวิ๋นฉี
“ดูท่าน้องสาวของข้าจะมีอิทธิพลต่อพวกเจ้าเสียจริง ช่างเปราะบางเหลือเกิน!”
จวิ๋นหลี่จิวเห็นท่าทางการแสดงออกของทุกคนเป็นเช่นนั้น จึงระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“ไม่ว่าระดับพลังบ่มเพาะของคุณหนูใหญ่จะมากน้อยเพียงใด แต่นางก็ยังเป็นคุณหนูใหญ่ของพวกเราวันยังค่ำ ความสำคัญของนางย่อมนำหน้าเป็นที่หนึ่ง!”
จวิ๋นกู๋กล่าวขึ้นอย่างหาญกล้า
“ดังนั้นแล้วการปกป้องคุณหนูใหญ่ให้ปลอดภัยคือหน้าที่ของพวกเรา!”
เยาวชนสาวนางหนึ่งที่อยู่ข้างกายจวิ๋นฉีเอ่ยเสริมขึ้นอีกแรง
“ถูกต้อง! พูดได้ดี!”
จวิ๋นหลี่วจิวกวาดสายตามองทุกคนด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข ดูเหมือนว่าระบบการศึกษาภายในตระกูลจวิ๋นยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง
“ข้ามิได้เปราะบางขนาดนั้น ไม่จำเป็นต้องมีปกป้องข้า ตั้งใจพัฒนาตัวเองก็พอแล้ว”
หลี่หวงเอ่ยแทรกขึ้นเจือน้ำเสียงเฉยเมย
ทว่าทุกคนกลับมิได้สนใจเลย คุณหนูใหญ่จะต้องกำลังกล่าวปลอบใจพวกตนแน่นอน! ต้องใจกว้างเพียงใดถึงพูดราวกับไม่อยากเป็นภาระของทุกคน ดังนั้นแล้ว...พวกเขาจะต้องขยันให้มากกว่านี้เพื่อคุณหนูใหญ่!
“กล่าวตามตรง ความแข็งแกร่งของข้าบัดนี้ยังอ่อนด้อยกว่าคู่ต่อสู้จากสามตระกูลที่เหลืออยู่หนึ่งส่วน กังวลมากว่าวิกฤตครั้งนี้ตระกูลจวิ๋นของเราจะฝ่าฟันไปได้หรือไม่? ศิษย์พี่ใหญ่จิว ในฐานะอันดับหนึ่งแห่งทำเนียบศิษย์อัจฉริยะของเรา คงเข้าร่วมงานประลองนี้ด้วยใช่หรือไม่?”
จวิ๋นหลี่จิวกำลังง่วนอยู่กับการกรอกสุราเข้าปากอย่างเมามัน พอได้ยินคำถามนี้ก็ส่ายหัวให้ทันที
ทุกคนที่เห็นแบบนั้นถึงกับตะลึง แม้แต่หลี่หวงเองก็ยังรู้สึกประหลาดใจ
หลังจากซดสุราไปหลายอึก เขาก็ยแขนเสื้อขึ้นปาดเช็ดพลางกล่าวอธิบายต่อขึ้นว่า
“ข้าไม่ได้เข้าร่วมงานประลองกับพวกเจ้า เพราะต้องเข้าเป็นตัวแทนกองกำลังส่วนกลางของจวนตระกูลจวิ๋น”
ทุกคนต่างเข้าใจในทันใด กองกำลังส่วนกลางที่ว่าคือ กำลังทัพของแต่ละตระกูลที่มีไว้ในยามฉุกเฉิน หรือก็คือภายใต้สถานการณ์ในงานประลองที่พัฒนาจนเกินการควบคุม ก็จะมีกองกำลังส่วนกลางเข้ามาปกป้องเยาวชนของตัวเอง
เพราะในปัจจุบันเหลือแค่ผู้อาวุโสใหญ่ ลุงใหญ่ และลุงหกเท่านั้นทำให้กองกำลังส่วนกลางของตระกูลจวิ๋นค่อนข้างอ่อนแอ จำเป็นต้องให้จวิ๋นหลี่จิวเข้ามาเสริมทัพแทนประมุขตระกูลที่โดนขังอยู่ในคุกใต้ดิน
“จะว่าไป...ท่านประมุขตระกูลเป็นอย่างไรบ้าง?”
ทุกคนต่างได้ยินมาแล้วบ้างระหว่างทางเดินกลับมา ประมุขตระกูลจวิ๋นของพวกเขาโดนวังหลวงจับกุมไปขัง หรือเป็นไปได้ไหมว่า งานประลองของสี่ตระกูลใหญ่ในครั้งนี้...จะเป็นจุดจบของทุกคนแล้วจริงๆ?
“ไม่ต้องห่วง! ท่านปู่จะต้องปลอดภัย!”
จวิ๋นหลี่จิวส่งสายตาอันสุขุมให้แก่ทุกคน ก่อนจะเหลือบหางตามองหลี่หวงอย่างมีนัยสำคัญ และเก็บสายตากลับมาอย่างเงียบงัน
ทุกคนต่างรู้ดี เห็นศิษย์พี่ใหญ่เอาแต่ดื่มสุราขี้เมาหัวราน้ำเช่นนี้ แต่เขาคิดทุกครั้งก่อนพูด!
ทุกคนต่างหันซ้ายแลขวาจับกลุ่มกันสนทนาโดยไม่มีปิดปังต่อหน้าหลี่หวง พลางดื่มชาเพื่อผ่อนคลายจิตใจไปพลาง ช่วงเวลานี้สายลมโชยอ่อน พัดผ่านเข้ามาสัมผัสผิวกาย ช่างสนุกสบายรื่นรมย์ คลายความตึงเครียดก่อนหน้าในชั่วพริบตา
หลังจากใช้เวลาดื่มชาพลางสนทนาไปกว่าครึ่งวัน บรรดาเยาวชนทุกคนต่างก็ค้นพบได้ว่า แม้ภายนอกคุณหนูใหญ่ของพวกเขาจะดูเป็นคนคนเย็นชา พูดน้อย ทว่ากลับเป็นสตรีนางหนึ่งที่เปี่ยมล้นไปด้วยความอบอุ่น
ทันทีทันใด ภาพลักษณ์ของคุณหนูใหญ่ในสายตาของทุกคนก็ดีขึ้นอีกหลายส่วน
เมื่อทุกคนขอตัวลาแยกย้ายกันกลับไป ลุงหกอย่างจวิ๋นโม่เทียนก็ส่งคนรับใช้มาเรียกหลี่หวงให้ไปหายังตำหนักของตน
เยาวชนเหล่านี้เองก็สังเกตเห็นภาพเหตุการณ์ทั้งหมด พลางคิดกับตัวเองไปว่า คุณหนูใหญ่เองก็ยังมีธุระอีกมากมายอยู่เบื้องหลัง จึงยกมือบอกลาอย่างง่ายๆ และรีบกันจากออกไป กลัวว่าจะเป็นการรบกวนอีกฝ่ายมากเกินไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง หลี่หวงก็มาถึงลานหน้าตำหนักของลุงหก จวิ๋นโม่เทียน
ซึ่งอีกฝ่ายเองก็กำลังยืนรออยู่แล้วเช่นกัน
“ลุงหก เรียกหาข้ารึ?”
จวิ๋นหลี่หวงส่งสายตามองไปยังจวิ๋นโม่เทียนที่กำลังยืนชมทิวทัศน์อยู่ลานหน้าตำหนัก
ราวกับกำลังดื่มด่ำไปกับธรรมชาติและสวนพฤกษาขนาดย่อม แต่แท้จริงแล้วในหัวของเขาคงต้องกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
ทว่าพินิจมองจากด้านข้างแล้ว หลี่หวงเสมือนได้เห็นเสาหินขนาดยักษ์อันโดดเดี่ยวที่คอยค้ำจุนฟ้าดินเอาไว้!
จวิ๋นโม่เทียนเหลือบมามอง พลางกวักมือเรียกให้หลี่หวงเดินเข้ามาใกล้ๆ
“เมื่อคืนมีนักฆ่ากลุ่มหนึ่งนอนสิ้นใจอยู่นอกเรือนนอนของเจ้า”
“!!?”
หลี่หวงจับจ้องไปที่จวิ๋นโม่เทียนด้วยความประหลาดใจยิ่ง
“แต่นี่หาชาฝีมือขององครักษ์เงาของจวนจวิ๋น”
จวิ๋นโม่เทียนเอ่ยขึ้นอีกครั้งพร้อมน้พเสียงทุ้มต่ำ
ไม่ใช่ฝีมือขององครักษ์เงาของตระกูลจวิ๋นหรอกรึ?
หรือเป็นไปได้ไหมว่า...ฝีมือของหมอนั่น?
หลิงฉางเจวี่ย?
จวิ๋นหลี่หวงยังคงไม่เผยสีหน้าแสดงออกมาบนพื้นผิว แต่ภายในใจกลับมั่นใจยิ่งว่าเป็นฝีมือของใคร
จวิ๋นโม่เทียนหันไปหาหลี่หวงอีกครั้งและกล่าวสีหน้าจริงจังว่า
“หลี่หวง หลายปีมานี้ที่เจ้าอยู่นอกเมืองหลวง จะบอกว่าไม่มีฝักฝ่ายใดคอยให้การช่วยเหลือ ลุงหกคนนี้ก็ยากที่จะเชื่อ! เพียงแต่...ลุงหกคนนี้หวังว่า คนเหล่านั้นจะไม่หันคมมีดกลับมาทำร้ายเจ้าเสียเอง!”
“ตระกูลจวิ๋นขาดใครไปก็ได้ ทว่ากลับขาดเจ้ามิได้เด็ดขาด!”
หลี่หวงตกใจไม่น้อยกับท่าทางการแสดงออกของลุงหกที่ดูจริงจังปานนี้ นางทำได้เพียงพยักหน้าตอบเสียงเรียบไปว่า
“ข้าเข้าใจแล้วท่านลุงหก!”
จวิ๋นโม่เทียนคนนี้กลัวว่า หลิงฉางเจวี่ยจะทรยศนางหรอกรึ?
จวิ๋นโม่เทียนพยักหน้าเผยสีหน้านิ่งสงบไร้ระลอกคลื่นอารมณ์ใด
“เข้าใจก็ดีแล้ว ตอนนั้นแม่ของเจ้าได้ฝากฝังเจ้าไว้กับข้าหวังดูแลให้เจ้าเติบใหญ่ ทว่าในปีนั้นข้ามัวแต่ฝึกปรือบ่มเพาะพลัง กว่าจะสังเกตถึงภัยร้ายที่คืบคลานเข้ามา...กลับสายเกินไปเสียแล้ว...”
“ข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องส่งเจ้าออกไป หลอกทุกคนว่า ตัวเจ้าถูกลดศักดิ์สถานะและเนรเทศไปอยู่ชนบท ทั้งหมดก็เพื่อทำให้เจ้ารอดพ้นจากหายนะในปีนั้นโดยสิ้น ทว่าตอนนี้...หลี่หวงเข้าโปรดวางใจเถิด ข้าจะต้องปกป้องเจ้าให้ได้! และไม่ทำให้แม่ของเจ้าต้งอผิดหวังเด็ดขาด!”
หลี่หวงรู้สึกประทับใจอย่างยิ่ง ลุงหกคนนี้หาใช่ผู้เป็นพ่อของนางก็จริง ทว่ากลับยินดีพลีกายเพื่อปกป้องนาง
นี่หรือคือคำว่าครอบครัว?
นี่แหละคือครอบครัว!
ความรักอันแสนอบอุ่น ในที่สุดหลี่หวงก็ได้สัมผัสมันเสียที!
“ลุงหก ตราบใดที่ชื่อข้ายังนำหน้าด้วยแซ่จวิ๋น โปรดจดใจไว้ ตระกูลจวิ๋นของเราจะไม่มีวันตกต่ำ!”
ดวงตาคู่นั้นของหลี่หวงอัดแน่นไปด้วยความเด็ดเดี่ยว นี่เป็นเป้าหมายที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง
แม้เส้นทางนี้จะยาวไกล ทว่าการมีจุดหมายที่ให้มุ่งไป กลับทำให้หลี่หวงรู้สึกมีบางสิ่งบางอย่างเข้ามาเติมเต็ม
นางมิใช่สตรีพิษผู้ทนอยู่ใต้เงามืดเพียงลำพัง ภายใต้แสงตะวันนางเองก็ยังมีครอบครัว!
จวิ๋นโม่เทียนตบไหล่หลี่หวงอย่างหนักแน่น พลางหัวเราะเอ่ยขึ้นว่า
“ต้องอย่างนี้สิ! สมแล้วที่เป็นบุตรสาวของพี่สาม!”
ดวงตาของหลี่หวงฉายแววสับสนรวนเรขึ้นทันควัน
“ลุงหก พ่อข้าเป็นคนแบบไหนรึ?”
ในเศษเสี้ยวความทรงจำจากเจ้าของร่างเก่า ไม่มีเรื่องราวของผู้เป็นพ่อเลย
อย่างไรก็ตาม เมื่อใดที่นึกถึงคำว่าพ่อ ภายในใจของหลี่หวงกลับเปี่ยมล้นไปด้วยความเคารพ
จวิ๋นโม่เทียนเงยหน้าขึ้นมองแผ่นฟ้าไกลคล้ายกำลังรำลึกเหตุการณ์ในอดีตด้วยความอาลัย
“พ่อของเจ้าคือพี่สามของข้า เขาคือวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่...ขึ้นกลายเป็นประมุขตระกูลจวิ๋นที่เก่งกาจที่สุดรุ่นหนึ่ง”
“พรสวรรค์ทางด้านฝึกยุทธ์และบ่มเพาะพลังมิได้ด้อยไปกว่าข้าเลย เพียงว่าเขาต้องเข้ามาดูแลกิจการของทางตระกูล งานล้นมือจนละเลยการฝึกปรือ นานวันเข้าจึงทิ้งช่วงยาวจนเริ่มต่อไม่ติด ทำให้มิได้ติดอันดับทำเนียบสวรรค์ พี่สามเป็นคนจิตใจงาม ในยุคที่เขาขึ้นปกครองได้นำพาตระกูลจวิ๋นขึ้นเป็นผู้นำเหนือชั้นกว่าสามตระกูลที่เหลือ ทว่าสุดท้ายชะตากรรมกลับน่าเศร้าสลด จบชีวิตลงในสมรภูมิรบ แม้แต่ซากศพยังไม่เหลือกลับมาแม้แต่ชิ้นเดียว000”
จวิ๋นโม่เทียนได้แต่ยิ้มอ่อนด้วยความอาลัย พี่สามของเขาคือลูกผู้ชายอย่างแท้จริง!
ทว่าลูกผู้ชายคนนี้กลับตกหลุมพรางของพวกจิ้งจอกตาขาวจนพลาดท่าสิ้นใจตาย!