ตอนที่แล้วตอนที่58 ฉวยโอกาสยามดึก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่60 ท่านพ่อ

ตอนที่59 ทำเนียบศิษย์อัจฉริยะ


ตอนที่59 ทำเนียบศิษย์อัจฉริยะ

“เอาล่ะ! ข้าทราบว่าทุกคนต่างสงสัยและอยากรู้อยากเห็นมากเพียงใด ทว่ายามนี้พวกเจ้าเองก็หาใช่ว่าไม่ทราบสถานการณ์ภายในตระกูลจวิ๋น พวกเจ้าทุกคนต้องมุ่งสมาธิเพื่อขัดเกลาฝึกปรือตนเองให้ดี เพื่ออนาคตของตระกูลสืบต่อไป!”

จวิ๋นโม่เหวินย่อมตระหนักทราบว่า บรรดาเยาวชนพวกนี้กำลังคิดอะไรอยู่

แต่เรื่องแบบนี้การจะห้ามคงมิได้ช่วยแก้ปัญหา รอจนกว่าจะได้เห็นจึงค่อยขจัดความสงสัย

“พวกเจ้ามาทำอะไร?”

จวิ๋นหลี่จิวที่กำลังจะเดินกลับตำหนักของตนเอง ถึงกับขมวดคิ้วเมื่อมฝูงชนส่งเสียงดังเอะอะโวยวายอยู่หน้าลานกว้าง

“คาราวะศิษย์พี่ใหญ่หลี่จิว!”

เมื่อเหล่าเยาวชนทุกคนได้ยินสุ้มเสียงดังของจวิ๋นหลี่จิว พวกเขาที่แหกันมาเพื่อมาดูหลี่หวงตัวจริงก็ถึงกับหุบปากสนิท พร้อมโค้งคำนับให้ด้วยความเคารพ

“อย่าทำมามีพิธีรีตองอันใดให้มากความ อ่อใช่...จะว่าไปการฝึกเป็นอย่างไรบ้าง?”

จวิ๋นหลี่จิวคล้ายว่านึกอะไรขึ้นได้จึงเอ่ยถามออกไป

ศิษย์ทั้งหมดพยักหน้าตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ

“รายงานศิษย์พี่ใหญ่! ทุกอย่างราบรื่นดี!”

“ดีแล้ว ดีแล้ว นับเป็นเรื่องดี เช่นนั้นย้ายย้ายกันกลับเถอะ”

จวิ๋นหลี่จิวพยักหน้าตอบอีกครา สีหน้าดูพึงพอใจกับผลการฝึกปรือของทุกคน

บรรดาเยาวชนเหล่านั้นราวกับถูกฉีดยาคลายอารมณ์ แสดงท่าทีมีความสุขอย่างอดมิได้ เพราะศิษย์พี่ใหญ่เอ่ยปากชมเช่นนี้ นับเป็นเรื่องน่ายินดียิ่งยวด

“อ๊ะ! หลี่จิวเดี๋ยวก่อน!”

ทันใดนั้นจวิ๋นโม่เหวินก็แหวกฝูงชนตรงออกมาเรียกจวิ๋นหลี่จิวที่กำลังกระดกสุราพลางเดินจากไป

“อ้าวท่านพ่อ? มีเรื่องอันใดงั้นรึ?”

จวิ๋นโม่เหวินเอ่ยถามขึ้นว่า

“เจ้าเพิ่งไปหาหลี่หวงมาใช่หรือไม่?”

จวิ๋นหลี่จิวพยักหน้าตอบ

“ใช่แล้ว มีอะไรรึเปล่า?”

“เช่นนั้นช่วยพาบรรดาเยาวชนพวกนี้ไปทำความรู้จักกับหลี่หวงหน่อยครา! นางเพิ่งกลับมาบ้านจำเป็นต้องให้คุ้นเคยกับคนอื่นๆเช่นกัน จริงหรือไม่?”

จวิ๋นโม่เหวินคิดว่าหาก เด็กพวกนี้คงไม่มีกระจิตกระใจฝึกปรือต่อแน่นอน หากความสงสัยเหล่านี้ไม่คลายอ่อน สุดท้ายนี้จึงรับอาสาพามาด้วยตัวเอง

“ก็ได้ ก็ได้”

จวิ๋นหลี่จิวถอนหายใจไปเฮือกหนึ่ง

“เอาล่ะ! เฉพาะสาวกที่ติดทำเนียบสิบเอ็ดศิษย์อัจฉริยะเท่านั้น ตามข้าเข้ามา!”

ไฉนถึงต้องคัดเอาเฉพาะศิษย์โดดเด่นแค่สิบเอ็ดอันดับแรกล่ะ? เพราะขี้เกียจดูแลคนหมู่มาก ข้าจะรีบกลับไปก๊งสุราต่อ!

…..

“ระบำโลหิต!”

หลี่หวงกำลังฝึกท่วงทำนองเพลงกระบี่ร่ายรำอยู่ ณ ลานหลังตำหนัก ตอนนี้สามารถปลดปล่อยความสามารถขั้นพื้นฐานของกระบี่เทพฤทัยออกมาได้แล้ว ทว่านางกลับศึกษาและสำแดงใช้เพียงกระบวนท่านี้แค่อย่างเดียว มิใช่ว่านางไม่สามารถเรีนนรู้กระบวนท่าอื่นได้ แต่ระหว่างที่กลับเมืองหลวง ตอนที่นางถูกลอบสังหารขณะนั้น มันทำให้ตนเองได้ค้นพบว่า กระบวนท่า ระบำโลหิต ยังคงเต็มไปด้วยจุดบกพร่องมากมาย

และนั่นก็คือความเร็ว

ดังนั้นหลี่หวงจึงปรับวิธีการใช้งานกระบวนท่า ระบำโลหิตให้เร็วมากยิ่งขึ้น แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะสร้างความสมดุลกับความรุนแรงเพื่อง่ายต่อการควบคุมที่สุด

แต่เนื่องจากนี่หาใช่การต่อสู้จริง หลี่หวงจึงมิได้หยิบใช้เพลิงบัวโลหิต ส่งผลให้กลีบบุปผาที่โปรยปรายลงมาในขณะนี้กลายเป็นสีขาวเจือม่วง ดูแล้วงดงามอย่างน่าประหลาดตา!

ภายใต้แสงตะวันสาดสะท้อน ยิ่งทำให้กลีบบุปผาเหล่านั้นเปล่งปลั่ง!

“งดงามยิ่งนัก...”

บรรดาเยาวชนที่จวิ๋นหลี่จิวพาเข้ามา เพิ่งจะก้าวเท้าเข้ามาถึง ก็หยุดชะงักนิ่งราวกับตกอยู่ในภวังค์ชั่วพริบตา ภาพฉากเบื้องหน้าปรากฏฝนบุปผาสีม่วงระยิบระยับร่วงโรยกลางแสงตะวันสาดส่อง

“ระวัง!”

จวิ๋นหลี่จิวรีบกระตุกแขนของเยาวชนคนหนี่งที่พยายามจะยื่นมือออกไปสัมผัสกลีปบุปผาเหล่านั้น และเอ่ยเตือนน้ำเสียงเข้มว่า

“นี่หาใช่กลีบบุปผาของจริง ทว่ากลับเป็นคมกระบี่นับร้อยพันที่ทับซ้อน พรั่งเผลอจับจ้องแม้เพียงเล็กน้อย นิ้วอาจจะขาดได้!”

เยาวชนคนนั้นรีบชักมือกลับทันทีด้วยความอับอาย แต่ยังคงเงยมองฝนบุปผาร่วงโรยอยู่เต็มท้องนภา ถึงทิวทัศน์เบื้องหน้าจะงดงามเพียงใด ทว่าเวลานี้แววตาที่ส่องประกายกลับแฝงไปด้วยความหวาดกลัวอยู่หลายส่วน

นี่หรือ...คุณหนูใหญ่ของพวกเรา?

เมื่อพบว่ามีผู้คนจำนวนไม่น้อยเฝ้ามองการฝึกซ้อมอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล หลี่หวงก็สูดหายใจเข้าแช่มลึก ตวัดคมกระบี่เทพฤทัยกลับเข้าฝึกในชั่วพริบตา

ฝนบุปผาทั่วบริเวณหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย!

“พี่จิว ท่านกลับมาอีกทำไม?”

หลี่หวงยกแขนเสื้อที่ห้อยยาวขึ้นมาปาดเหงื่อบนหน้าผาก จึงค่อยเอ่ยถาม

“ข้าพาศิษย์อัจฉริยะทั้งสิบเอ็ดของตระกูลจวิ๋นมาแนะนำตัวให้เจ้ารู้จัก”

จวิ๋นหลี่จิวเริ่มชี้ไปที่เยาวชนคนหนึ่งที่กำลังตกตะลึงอ้าปากค้างไม่หุบ ก่อนจะไล่แนะนำขึ้นว่า

“เริ่มจากคนหลังสุด จวิ๋นกู๋ จวิ๋นเจี๋ย จวิ๋นเป่ย จวิ๋นเจียง จวิ๋นฉี จวิ๋นหยู จวิ๋นอิง จวิ๋นฉิง จวิ๋นเสี่ยว แล้วก็จวิ๋นหน่าน ส่วนอีกคนมิใช่ใครอื่น ศิษย์อัจฉริยะอันดับหนึ่ง ข้าเอง!”

จวิ๋นหลี่จิวยกมือขึ้นตบอกไปทีหนึ่งอย่างภาคภูมิใจ ก่อนจะยกขวดน้ำเต้ากระดกอีกอึกใหญ่

หลี่หวงเหลือบหางตามองบนใส่จวิ๋นหลี่จิวไปทีหนึ่ง ก่อนจะหันมามองเหล่าหนุ่มๆสาวๆตรงหน้า นางยิ้มกล่าวแนะนำตัวอย่างอ่อนโยนขึ้นว่า

“ยินดีที่รู้จัก ข้าจวิ๋นหลี่หวง”

เหล่าเยาวชนทั้งหลายสูดหายใจเข้าลึกอย่างประหม่า และรีบโค้งศีรษะทำความเคารพโดยไว

“คาราวะคุณหนูใหญ่!”

สุ้มเสียงเหล่านี่ฟังแล้วไม่ค่อยสม่ำเสมอ เห็นได้ชัดว่าแต่ละคนมีระดับความตกใจที่แตกต่างมากน้อยไม่เหมือนกัน

ส่วนใครที่ดูตกใจมากที่สุดคงหนีไม่พ้นจวิ๋นฉี

จะว่าไปแล้ว ในปีนั้นที่หลี่หวงถูกลดศักดิ์สถานะและย้ายมาอยู่ในจวนจวิ๋นสาขาเมืองหงเฟิง จวิ๋นฉียังไม่ได้รับเลือกให้เข้าสาขาหลักที่เมืองหลวง ดังนั้นจึงมีช่วงระยะเวลาหนึ่งที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกัน แต่กลับมิได้ทำความรู้จักอะไรกันมากนัก แค่พอคุ้นหน้ากันอยู่บ้าง

อะไรกัน...ผ่านไปหกปีกลับเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้เชียว?

ยิ่งไปกว่านั้น...ยังบ่มเพาะพลังได้ด้วยรึ?

“พวกเจ้าเข้ามาข้างในก่อนเถอะ ลานด้านหลังค่อนข้างรก ข้าฝึกกระบี่ฟันต้นไม้จนเละเทะ ดูไม่น่าอภิรมย์เท่าไหร่ เชิญ เชิญ…”

หลี่หวงหมุนตัวกลับเดินนำเข้าเรือนด้านใน แล้วสั่งให้สาวรับใช้ที่อยู่เคียงข้างไปชงชาเตรียมมาให้แก่ทุกคน

“รบกวนคุณหนูใหญ่แล้ว!”

เหล่าเยาวชนหนุ่มทั้งหลายรีบยกมือขึ้นลูบศีรษะด้วยความขวยเขิน ดูประหม่าอย่างแรงเมื่อพานพบกับสาวน้อยแสนสวย

“เดี๋ยวเถอะ! ไอ้พวกเด็กเหลือขอ เห็นสาวสวยเป็นไม่ได้!”

จวิ๋นหลี่จิวยกมือเคาะกะโหลกเยาวชนหนุ่มทั้งหลายเรียงตัว เป็นผู้ชายเหมือนกัน มีหรือจะไม่ทราบว่าเด็กพวกนี้คิดอะไร?

“คุณหนูใหญ่ สถานการณ์ภายในบ้านเกิดของข้า..เป็นอย่างไรบ้าง?”

จวิ๋นฉีที่เงียบตลอดทาง ยามนี้เอ่ยถามขึ้นอย่างระมัดระวัง

“ข้าพาจวิ๋นอี้กลับมาเมืองหลวงแห่งนี้ด้วย เจ้าค่อยไปไต่ถามกับเขาเอาเองเสียแล้วกัน”

หลี่หวงเลือกที่จะไม่ตอบ และเหลียวหน้ากลับไป

“เจ้าเองก็เข้ามาก่อนเถอะ แต่จะอย่างไรวันนี้ขอไม่กล่าวถึงเรื่องนี้”

จวิ๋นฉีได้ยินแบบนั้นพลันเป็นกังวลขึ้นเล็กน้อย นางรู้สึกได้ว่าจวิ๋นหลี่หวงเปลี่ยนไปมากเกินไป ราวกับหน้ามือเป็นหลังมือโดยสิ้นเชิง จนนางไม่สามรถตอบสนองโต้คารมอันใดได้เลย

ทำได้เพียงหุบปากและก้มหน้าก้มตาเดินเข้าไปภายในเรือนรับรองของหลี่หวง

“คุณหนูใหญ่! จิ้งจอกตัวน้อยตนนี้...หรือจะเป็นสัตว์อสูรสัญญาของท่าน? น่ารักยิ่งนัก!”

เยาวชนหญิงนางหนึ่งชี้ไปที่จิ้งจอกขนปุกปุยตัวน้อยที่กำลังนอนขดอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่ ณ มุมหนึ่งของลานด้านนอก ราวกับว่านางรู้สึกตกหลุมรักทันทีที่ได้เห็นเจ้าขนฟูตัวนี้!

“ใช่แล้ว”

หลี่หวงกล่าวตอบอย่างเฉยเมย

“ข้ามิยักรู้เลยว่าสัตว์อสูรจิ้งจอกจะมีธาตุสายฟ้ากับเขาด้วย? นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ได้เห็น!”

เมื่อทุกคนสังเกตเห็นกลีบบุปผาที่เจือสีม่วง ผนวกกับนัยน์ตาของหลี่หวง พวกเขาก็ตระหนักทราบกันทันทีว่า ธาตุพลังบ่มเพาะของนางคือสายฟ้า ส่งผลให้แต่ละคนพลันเข้าใจกันไปเองว่า เทียนปิงก็น่าจะเป็นสัตว์อสูรธาตุสายฟ้าเช่นกัน

หลี่หวงยิ้มทว่าไม่เอ่ยตอบอันใด

“คุณหนูใหญ่ ชามาแล้วเจ้าค่ะ”

สาวรับใช้ชงชาเสร็จก็รีบตรงเข้ามาแจกแจงวางบนโต๊ะหินอ่อนภายในเรือน และถอยจากออกไปอย่างเงียบงัน

“คุณหนูใหญ่ เมื่อครู่ท่านสำแดงใช้กระบวนท่านอันใดไป? ช่างงดงามเกินพรรณนา!”

ภาพฉากที่ฝนบุปผาปลิวว่อนของหลี่หวงยังคงตราตรึงใจของทุกคนไม่จางหาย

แทบจะพูดออกมาเป็นเสียงเดียวกันได้เลยว่า นี่มันปาฎิหาริย์!

“ก็แค่กระบวนเพลงกระบี่สามัญทั่วไป เพียงว่าข้ายังฝึกไม่สำเร็จ”

หลี่หวงยังคงยิ้มบาง เลี่ยงที่จะตอบความจริง

“หื้ม? นี่ยังฝึกปรือไม่สำเร็จอีกรึ?! ไม่สำเร็จยังขนาดนี้ หากสำเร็จจะขนาดไหน!!”

หลี่หวงพยักหน้ารับคำตอบ นี่เป็นแค่ส่วนเดียวที่แสดงออกมา ด้วยระดับพลังของนางในขณะนี้ หากผนวกใช้ร่วมกับเพลิงบัวโลหิตจักต้องทวีอานุภาพได้อีกหลายเท่าตัว

“คุณหนูใหญ่ ตอนนี้ความแข็งแกร่งของนางอยู่ในระดับใด?”

จวิ๋นกู๋ ผู้เป็นศิษย์อัจฉริยะอันดับสองได้เอ่ยถามขึ้น

“เจ้าลองเดาดูสิ? มิใช่มองแต่หน้าของข้า”

จู่ๆน้ำเสียงหลี่หวงก็คลายอ่อนลง กล่าวเชิงเย้าหยอกอีกฝ่ายกลับไป ทำเอาใบหน้าของจวิ๋นกู๋กลายเป็นสีแดงแจ๋ทันที

“เอาล่ะ เอาล่ะ เลิกถาม!”

จวิ๋นหลี่จิวเคาะกะโหลกใส่อีกฝ่ายอีกคตุบใหญ่ กล่าวหยุดบทความซักถามของทุกคนทันที

ทุกคนต่างระเบิดหัวเราะลั่นและนั่งลงประจำที่

“จะว่าไปแล้วศิษย์พี่ใหญ่ พวกเรามีโอกาสชนะในงานประลองจัดอันดับของสี่ตระกูลใหญ่มากน้อยเพียงใด?”

จวิ๋นฉิง สาวน้อยที่นั่งเงียบมาตั้งนาน สุดท้ายก็เอ่ยปากถามขึ้นด้วยความกังวล

“ไม่ต้องสนว่าจะชนะหรือแพ้! แค่มั่นใจในตัวเองและลุยให้เต็มที่ก็พอ!”

จวิ๋นหลี่จิวกล่าวปลุกใจพลางกระดกสุราคนหนึ่ง ก่อนกล่าวต่อว่า

“แม้ประมุขตระกูลจวิ๋นยามนี้จะไม่อยู่ แต่พวกเราจะต้องแสดงให้ทุกคนเห็นในงานประลองว่า พวกเรามิใช่ลูกพลัมที่จะบดขยี้กันโดยง่าย!”

“แต่ศิษย์พี่ใหญ่ นายน้อยจากสามตระกูลใหญ่เองก็แข็งแกร่งมาก...”

จวิ๋งอิงกล่าวน้ำเสียงรวนเรไม่ค่อยมีความมั่นใจ

“อย่าคิดมาก”

จวิ๋นหลี่หวงยกถ้วยชาขึ้นริมจิบไปหนึ่งคำ พลางเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น

“ไม่ว่านายน้อยพวกนั้นจะแข็งแกร่งเพียงใด กลับเป็นเรื่องของข้าที่ต้องจัดการ ส่วนพวกเจ้าเองก็มีการประลองของแต่ละคนรออยู่ อย่าให้แพ้เสียแล้วกัน”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด