ตอนที่57 อดีตขององค์รัชทายาท
ตอนที่57 อดีตขององค์รัชทายาท
เสียแรงโดยแท้ที่มีชีวิตอยู่มาเนินนาน ทว่าคำถามง่ายๆ เช่นนี้กลับตอบโจทย์ตีไม่แตก!
“ข้ามิทราบแน่ชัดว่าเหตุใดองค์รัชทายาทถึงป่วยทางจิต ทว่าข้าเห็นในบันทึกทั้งยังมีคำกล่าวเสริมจากเย่ฉางจากตระกูลเย่อีกว่า องค์รัชทายาทล้มป่วยติดเตียงหลังจากพระอัครมเหสีสิ้นพระชนม์ลง บางทีอาจจะเป็นเพราะเหตุผลนี้ก็เป็นได้”
หลี่หวงเอ่ยน้ำเสียงเรียบ
หลี่หวงไม่ทราบสาเหตุข้อเท็จจริง ทว่าตอนนี้หากให้คาดการณ์ว่าต้นตอของปัญหามาจากใคร ย่อมพอจะเดาออกเช่นกัน
ไม่มีความรู้สึกใดที่รุนแรงไปกว่าความรัก
“แค่ก...อันที่จริง...เอ่อ...”
เมื่อซูจิ่งเยว่เห็นว่าหลี่หวงไม่รู้อะไรเลยก็ถึงกับสำลัก หลายจะเอ่ยกล่าวอะไรออกมาสักอย่าง รวนเรอยู่หลายคราทว่าในที่สุดก็ยอมตอบไปตามจริง
“อันที่จริงหาใช่การสิ้นพระชนม์ของพระอัครมเหสีเป็นเหตุ แต่เพราะ...การสิ้นพระชนม์ของพระชายาขององค์รัชทายาท...”
ไม่ว่าอย่างไรคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลจวิ๋นเองก็อายุเกินสิบปีแล้วกระมัง คงจะเข้าใจสาเหตุเกี่ยวกับความรักบ้างไม่มากก็น้อย
ส่วนที่จำต้องเขียนในบันทึกว่า สาเหตุเกิดจากการสิ้นพระชนม์ของพระอัครมเหสีก็เพราะ...หากระบุว่าสาเหตุเกิดจากการสิ้นพระชนม์ของพระชายา จนทำให้องค์รัชทายาทล้มป่วยคงดูไม่ดีใจสายตาของทุกคน และอาจก่อให้เกิดเสียงนินทาได้ ยิ่งไปกว่านั้นเพราะเรื่องตัวตนของพระชายาขององค์รัชทายาท...
“ความรักกระมัง?”
หลี่หวงพึมพำกับตัวเองเบาๆ อีกว่า
“ความรักคืออันใดกันแน่? ไฉนถึงได้น่ากลัวนัก?”
ซูจิ่งเยว่ถึงกับเบิกตาโตแทบถล่นใส่ จ้องมองไปที่หลี่หวงเจือแววโง่งม คล้อยนึกขึ้นได้ว่า บนผืนพิภพแห่งนี้ยังมีสตรีที่ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับความรักอีกรึ?
จะว่ากระไรดี ยามที่มีบุคคลหนึ่งไม่เข้าใจเรื่องความอารมณ์ความรู้สึก ไม่ว่าจะอธิบายจนปากเปียกปากแฉะอย่างไรก็คงไม่เข้าใจอยู่ดี โดยเฉพาะเรื่องความรักกลับช่างละเอียดอ่อน ต้องสัมผัสด้วยตัวเองจึงจะเข้าใจ
ผืนพิภพแห่งนี้ยังกว้างใหญ่ไพศาลนักแล!
“ช่างมันเถอะ ข้าจะสรุปให้เข้าฟังเสียแล้วกัน หากยังไม่เข้าใจอีก เกรงว่าไม่ควรเข้าไปยุ่งเป็นดีที่สุด ผู้ใดไม่เข้าใจถึงแก่นแท้แห่งปัญหา เข้าร่วมพัวพันก็มีแต่ทำให้ยุ่งเหยิงเข้าไปใหญ่”
สำหรับอิสตรีที่ปราศจากความรัก ไม่ควรเข้าไปแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวกับความรัก
แม้หลี่หวงจะไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่นางก็ยังพยักหน้าตอบ
“เมื่อยี่สิบปีก่อน ครั้นที่องค์รัชทายาทยังมิได้ถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นองค์รัชทายาทดั่งปัจจุบัน ตอนนั้น...เขาได้พบรักกับสตรีนางหนึ่ง”
ซูจิ่งเยว่เหลือบหางตามองหลี่หวงอยู่แวบหนึ่ง ก่อนกล่าวต่อว่า
“สตรีนางนั่งช่างงดงามเกินพรรณนา องค์รัชทายาททรงหลงรักนางตั้งแต่แรกเห็น ถึงขั้นที่ว่าทรงทูลกับฝ่าบาท เนื้อความว่า ต้องการอภิเษกสมรสกับสตรีนางนั่น”
“ทันทีที่ฝ่าบาทได้ยินแบบนั้นก็ทรงยินดีเป็นยิ่งนัก ในที่สุดบุตรชายคนโตของตนก็มีสตรีที่หลงรักเสียที แต่คล้อยหลังจากการส่งหน่วยข่าวกรองไปสืบเสาะถึงภูมิหลังของสตรีนางนั้น ฝ่าบาทก็ทรงกริ้วอย่างมาก และไม่ค่อยเต็มพระทัยให้องค์รัชทายาทลงเอยกับนางคนนี้”
“สถานะศักดิ์ของสตรีนางนั้นคงพิเศษมากกระมัง?”
หลี่หวงเอ่ยถาม
“ถูกต้อง เพราะนางไม่ใช่คนของจักรวรรดิซีเหว่ยของเรา เจ้าเองก็พึงทราบ ทวีปม่านเมฆาหาใช่ว่ามีจักรวรรดิซีเหว่ยของเราเพียงแห่งเดียว และบ้านเกิดเมืองนอนของนางอยู่ที่จักรวรรดิเซิ่งเหยา ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลของนางยังมีภูมิหลังหาใช่ธรรมดาทั่วไป กล่าวได้ว่าแทบจะเป็นตระกูลใหญ่ที่เปรียบเสมือนท่อน้ำเลี้ยงคอยหนุนจักรวรรดิเซิ่งเหยา”
“สตรีนางนั่นกับน้องสาวของนางได้ข่าวว่าเป็นลูกในไส้ของฮูหยินใหญ่ของตระกูลดังกล่าว ทว่าด้วยเหตุผลบางประการกลับถูกตระกูลตนเองขับไล่ออกมา และเนรเทศมายังจักรพรรดิซีเหว่ยของเรา”
สตรีจากจักรวรรดิศัตรู?
หลี่หวงกะพริบตาปริบเอ่ยถามต่อว่า
“แล้วหลังจากนั้นล่ะ?”
“สตรีนางนั่นมิได้ทราบว่าองค์รัชทายาทเป็นใคร แต่พอเห็นว่าองค์รัชทายาทไม่ยอมทำตามสัญญาว่าจะแต่งงานกัน จึงพลางคิดไปว่าองค์รัชทายาทของเราปราศจากความจริงใจ ส่งผลให้นางโกรธอย่างยิ่งและพาน้องสาวจากจักรวรรดิซีเหว่ยไป”
น้ำเสียงของซูจิ่วเยว่แปรผันไปตามท้องเรื่องที่เอ่ยเล่า ทว่ายามนี้สีหน้ากลับโศกเศร้าโดยพลัน
“หลังจากสตรีนางนั้นจากไปได้ไม่นาน ก็เพิ่งค้นพบว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์ ทันทีที่ทราบโลกทั้งใบพลันเคว้งไปหมด ไม่รู้ว่าจะเลือกเดินอย่างไรต่อไป เพราะในขณะเดียวกัน ตระกูลของนางเองก็กำลังตามล่าตัวนางอยู่เช่นกัน”
“เพื่อปกป้องสตรีนางนั่น ผู้เป็นน้องสาวอาสาเป็นตัวล่อพวกที่มาตามล่า นางคนนั้นเองก็หาใช่พวกด้อยฝีมือ แบ่งรับแบ่งสู้ตลอดเส้นทางหลบหนี...”
“จวบจนองค์รัชทายาทเดินทางมาถึง สตรีนางนั้นใกล้จะตายเต็มทน ทว่ายังดีที่องค์รัชทายาทได้พบพานสหายเก่าในสำนักโอสถช่วยเอาไว้ ทำให้นางรอดพ้นจากความตายอย่างฉิวเฉียด”
“ทว่า...สิ่งที่ต้องแลกในครั้งนี้คือเด็กในครรภ์ สตรีนางนั้นแท้งลูกและไม่สามารถมีลูกได้อีกต่อไป นางสูญสิ้นความหวังทุกอย่างไม่มีเหลือ”
“องค์รัชทายาทำไม่สนใจคำคัดค้านของเหล่าขุนนาง ไม่ว่ายังไงก็จะพานางเข้าวังหลวงและต้องอภิเษกสมรสกับนางผู้นี้เท่านั้น มิฉะนั้นจะไม่ยอมรับตำแหน่งองค์รัชทายาทโดยเด็กขาด จนท้ายที่สุดฝ่าบาทก็ต้องยอม”
“ฝ่าบาทยอมจัดงานอภิเษกสมรสระหว่างองค์รัชทายาทและสตรีนางนั้น เพื่อแลกกับให้ลูกชายของตนเข้ามารับช่วงต่อหน้าที่และขึ้นกลายมาเป็นองค์รัชทายาทในเวลาต่อมา”
“อนุญาตให้อภิเษกสมรส? เช่นนั้นไม่จำเป็นต้องขอจักรวรรดิเซิ่งเหยาด้วยหรอกรึ?”
“แน่นอนว่าไม่”
ซูจิ่งเยว่ส่ายหน้า
“เพื่อเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาระหว่างจักรวรรดิ ฝ่าบาทจึงทรงมอบสถานะใหม่ทั้งหมดแก่สตรีนางนั้น ก่อนจะให้เข้าพิธีอภิเสกสมรส ทางองค์รัชทายาทเองก็มิได้ติดปัญหาในเงื่อนไขดังกล่าว ดังนั้นในเวลานั้นวังหลวงที่มีองค์รัชทายาทค่อยปกครองดูแล จึงกลายเป็นที่พูดถึงของทุกคนในด้านการบริหารปกครองที่ดี”
“ภายใต้การดูและเอาใจใส่ขององค์รัชทายาท สตรีนางนั้นค่อยๆ เปิดใจและทั้งสองมักจะช่วยกันแก้ไขปัญหาที่ถาโถมเข้ามาในวังหลวง ทั้งสองได้ครองรักกันอย่างลึกซึ้ง จนในที่สุด...นางก็สิ้นพระชนม์ไปเมื่อสามปีก่อน ทำให้องค์รัชทายาทไม่เคยเข้ามาเหยียบเรื่องการปกครองอีกเลย...”
“แล้วพระชายาขององค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์ได้อย่างไร?”
หลี่หวงเอ่ยถามต่อทันที
“องค์รัชทายาทสั่งการให้ปิดข่าวที่เกิดขึ้นภายในตอนนั้นไว้ทั้งหมด จึงไม่มีผู้ใดทราบว่านางสิ้นพระชนม์ได้อย่างไร มีเพียงข่าวลือที่อ้างว่า สิ้นพระชนม์จากอาการเจ็บป่วย”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
หลี่หวงครุ่นคิดอยู่สักครู่และกล่าวต่อว่า
“นอกจากพระชายา องค์รัชทายาทยังสนิทใจกับใครเป็นพิเศษหรือไม่?”
นี่มันโรคซึมเศร้าขั้นรุนแรงเลยมิใช่เหรอ!?
“ในความเห็นของข้านอกจากองค์ชายเก้ากับองค์ชายสิบ คงไม่มีใครอีกแล้ว”
ซูจิ่งเยว่ปิดปากเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหยุดสายตาไปยังหลี่หวง
“จะว่าไป...เจ้าเองก็นับว่าเป็นอีกคนหนึ่ง!”
“ข้า?”
หลี่หวงชี้นิ้วหาตัวเอง
แล้วมันเกี่ยวบ้าอะไรกับข้า?
นางไปรู้จักกับองค์รัชทายาทตอนไหนมิทราบ?
“เจ้าอาจจะไม่ทราบ ตอนที่เจ้าแรกคลอดและยังไม่มีชื่อ ก็เป็นพระชายาขององค์รัชทายาทนี่แหละที่ประทานชื่อนี้ให้”
“!!”
ชื่อของหลี่หวงได้รับพระราชทานมาจากพระชายาขององค์รัชทายาท?
“หากเจ้าฟังถึงตรงนี้และต้องการจะช่วยองค์รัชทายาทจริงๆ ก็ลองดูได้ เจ้ากับหลิงเฟิงน่าจะสนิทกันมิใช่น้อย เช่นนั้นก็ขอให้อีกฝ่ายพาไปเยี่ยมองค์รัชทายาทดูสิ!”
สถานะของซูจิ่งเยว่ไม่เหมาะนักที่จะแนะนำอย่างเปิดเผย นอกจากนี้แล้วซูจิ่งเยว่ยังเป็นคนแซ่ซู หากพินิจเรื่องความชอบ พวกเขาทั้งสองอาจกล่าวได้ว่าเป็นสหายร่วมอาชีพนักหลอมโอสถเหมือนกัน แต่ดูจากสถานะในเมืองหลวงแล้ว จุดยืนของทั้งคู่กลับเป็นศัตรูกันมากกว่า
ซูจิงเยว่ไม่ใช่พวกคลั่งในสายเลือดตระกูลซูหรือหัวรุนแรง ดังนั้นเขาจึงไม่มีความเกลียดชังอันใดต่อจวิ๋นหลี่หวงเลย
แต่จะอย่างไร หากซูจิ่งเยว่ให้ความช่วยเหลือหลี่หวงมากเกินไป ก็อาจถูกมองได้ว่าเป็นผู้กบฏคิดช่วยเหลือคนแซ่จวิ๋น ก็อาจสร้างความผิดใจกับคนในตระกูลได้
“ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณ”
หลี่หวงโค้งคำนับให้ซูจิ่วเยว่ด้วยความสุภาพ
“ไม่เลย ไม่เลย! หวังวันหลังคิดค้นสูตรโอสถแปลกใหม่ได้อีก ก็อย่าลืมมาบอกข้าล่ะ!”
ซูจิ่งเยว่รีบพยุงจวิ๋นหลี่หวงและออกไปส่งทันทีด้วยความเกรงใจ
หลี่หวงพยักหน้าให้อีกครั้งและออกจากเรือนหลอมกลั่นโอสถของซูจิ่งเยว่ไป
หลี่หวงยังคงรู้สึกสงสัยอยู่เล็กน้อย ว่าเหตุใดรระหว่างที่เล่าเรื่องซูจิ่งเยว่ถึงชอบเหลือบมองนางเป็นระยะ?
ไม่ นั่นหาใช่สายตาชู้สาว แต่เหมือนว่ามีนัยแฝงอะไรบางอย่างที่เขาไม่พูดออกมา?
เขายังมีเรื่องที่ปิดบังอยู่หลับหลัง!
“คุณหนูเชิญทางนี้”
ทันทีที่เห็นหลี่หวงออกมา องครักษ์นส่วนตัวของหลิงเฟิงก็รีบพานางกลับไปที่ตำหนักของหลิงเฟิงทันที
“เมื่อครู่ผู้อาวุโสจากตระกูลจวิ๋นเพิ่งจากออกไป พวกเขาเข้าวังหลวงมาทำอันใด?”
ยังไม่ทันที่หลี่หวงจะได้ปริปากพูด กลับเป็นหลิงเฟิงที่เอ่ยถามขึ้นเป็นคนแรก
“ข้าเพิ่งกลับมาตระกูลได้ไม่กี่วัน แล้วจะไปรู้ได้อย่างไร?”
หลี่หวงกลอกตาใส่หลิงเฟิง พลางสบถในใจ ก็ถามอะไรโง่ๆ เนอะ?
“เอ่อ...ก็จริง ข้าเดาว่าน่าจะเกี่ยวกับเรื่องประมุขตระกูลจวิ๋น”
หลิงเฟิงยกมือขึ้นลูบศีรษะตัวเองอย่างเขินอาย
****************
ตอนนี้อาจจะแปลงงๆหน่อยน๊าา คือใช้เวลาเกือบ3ชั่วโมงในการแปลตอนนี้ คือ ภาษาจีนใช้คำค่อนข้าง งง เลยต้องใช้เวลาแกะคำนานT T ถ้าไม่เข้าใจตรงไหนก็ขออภัยด้วยนะครับ-/-กราบบบ