ตอนที่56 ป่วยทางจิต
ตอนที่56 ป่วยทางจิต
“แน่นอนว่าต้องดีกว่าในแง่ความสะดวกของการหลอมกลั่น”
ซูจิ่งเยว่เสมือนตรัสรู้ขึ้นได้ทันทีและกล่าวต่อด้วยความสนใจอย่างยิ่งว่า
“ใช่แล้ว...ความคิดของเจ้าไม่เลวเลย! คุณสมบัติความกัดกร่อนของหญ้าเย็นน้ำแข็งสามารถชำระล้างไขกระดูกได้เช่นกัน!”
“นอกจากนี้ การที่เจ้าใส่หญ้าเย็นน้ำแข็งลงไปแค่ต้นเดียว แม้จะทำให้ธาตุไฟในโอสถอ่อนลงหนึ่งส่วนก็จริง แต่กลับเพิ่มพูนคุณสมบัติธาตุน้ำได้ถึงเจ็ดส่วน! ทั้งในด้านประสิทธิภาพและความคุ้มค่าเอง หากนำเปรียบเทียบโดยละเอียดดีกว่าเห็นๆ! เจ้าหัวไชเท้าน้อย...เจ้าคิดค้นสูตรนี้ได้อย่างไร?!”
ความสนใจของซูจิ่วเยว่ถูกเผยออกมาโดยไม่มีกักเก็บ ในฐานะนักหลอมโอสถสติเฟื่องคนหนึ่ง เขาต้องการจะรู้จริงๆ ว่า อีกฝ่ายคิดค้นสูตรแปลกใหม่แหวกกรอบทฤษฎีขนาดนี้ได้อย่างไร?
“ง่ายมาก”
หลี่หวงเหลือบมองซูจิ่งเยว่อย่างเฉยเมยและกล่าวต่อว่า
“เพราะเจ้ามีตระกูลใหญ่คอยสนับสนุนยังไงล่ะ”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้?”
ซูจิ่งเยว่ขมวดคิ้วแน่นไม่เข้าใจ
หลี่หวงกล่าวอธิบายขยายความตอบไปอย่างช้าๆ ว่า
“คนอย่างพวกเจ้าน่าจะถูกพวกตระกูลใหญ่ซื้อตัวมา และคอยให้การสนับสนุนเงินทองไม่ขาดมือ อยากหลอมกลั่นอะไรก็หามาให้ แตกต่างจากข้าที่เวลาจะหลอมกลั่นอะไรสักอย่างมักจะมีปัญหาติดขัดอยู่ตลอด”
“หาซื้อสมุนไพรชนิดนั้นไม่ได้ จึงต้องศึกษาค้นคว้าหาสมุนไพรชนิดอื่นมาแทนจึงเกิดการค้นพบแปลกใหม่อยู่ตลอด โดยสรุปตามตรงได้ว่า หาไร้ซึ่งปัญหา ปัญญาย่อมไม่บังเกิด เจ้าคงมีชาติกำเนิดจากตระกูลหลอมกลั่นโอสถ มีผู้เฒ่าผู้แก่คอยชี้แนะสั่งการว่าเจ้าควรเดินอย่างไร สูตรโอสถย่อมตายตัวอยู่แต่ในตำรา ปราศจากความคิดสร้างสรรค์”
“แตกต่างจากข้าที่ต้องคิดค้นสูตรและหาสิ่งโน่นนี่มาทดแทนวัตถุดิบที่ขาด และเพราะแบบนั้นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า ไฉนข้าถึงหลอมกลั่นโอสถแบบนี้”
“ก่อนที่ข้าจะหลอมโอสถชำระไขกระดูก เคยประสบปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบอยู่ชนิดหนึ่งที่มีนามว่า หญ้ากระเรียนสวรรค์ สุดท้ายต้องเอาหญ้าโหยหาราคาถูกเข้าทดแทน ทว่าสุดท้ายกลับได้ผลดีเทียบเท่ากัน ทั้งๆ ที่ราคาต้องทุนของวัตถุดิบสองชนิดนี้ต่างกันราวกับฟ้ากับเหว หากเป็นเจ้าที่ทราบแบบนี้ การหลอมกลั่นครั้งต่อไปจะเลือกใช้แบบใดล่ะ?”
“เพราะเจ้ามีสมุนไพรให้เลือกสรรไม่ขาดมือ ย่อมไม่มีทางประสบปัญหาเดียวกับข้า ท้ายที่สุดนี้ความยิ่งใหญ่ของเส้นทางแห่งโอสถหาใช่อยู่ในหน้าตำรา ทว่ากลับอยู่ในนี้ต่างหาก”
พอพูดมาถึงตรงนี้ หลี่หวงก็ชี้ไปที่หัวของนางเอง
เฉกเช่นเดียวกันที่หลี่หวงกล่าวไป ในยุคสมัยที่นางจากมา ไม่มียาอายุวัฒนะหรือโอสถท้าทายสวรรค์อะไรทำนองนี้แล้ว นักวิทยาศาสตร์แต่ละคนจึงจำเป็นต้องพึ่งพาสติปัญหาและกึ๋นของตัวเองเป็นหลัก เพื่อวิจัยและพัฒนายาขึ้นมาทีละเล็กละน้อย
แม้ว่านางจะทะลุมิติอยู่ในทวีปม่านเมฆาแห่งนี้ แต่นางยังคงติดนิสัยเดิมคือการชอบทดลองอะไรใหม่ๆ
มันก็ใช่ที่ในหัวสมองของเหยาอวี้มีสูตรโอสถมากมายนับไม่ถ้วน ทั้งสูตรโอสถทั่วไปจนไปถึงสูตรโอสถหายาก
แต่หลี่หวงไม่เคยหยิบใช้สูตรเหล่านั้นเลย นางเพียงขอให้เหยาอวี้อธิบายคุณสมบัติจำเพาะของสมุนไพรที่ไม่เคยเห็นหรือสูญพันธุ์ไปแล้วในยุคปัจจุบัน เพื่อนำมาประกอบการทดลองของนางให้แม่นยำมากยิ่งขึ้น
แม้ว่าโอสถที่หลอมกลั่นขึ้นมาได้จะมีระดับต่ำ ทว่าประสิทธิภาพกลับอยู่ในระดับสูงเกินคาด
นี่หาใช่ความดีความชอบของหม้อหลอมโอสถวิเศษทั้งหมด ครึ่งต่อครึ่งมาจากการทดลองอย่างไม่หยุดยั้งของหลี่หวง
ซูจิ่วเยว่ตกใจอย่างมากเมื่อได้ยินคำอธิบายของหลี่หวง
คำตอบเพียงไม่กี่ประโยคของนางสามารถทำให้เขาตอบตัวเองได้เช่นกันว่า ไฉนที่ผ่านมาตัวเขาถึงยังคงหยุดนิ่งอยู่ที่เดิม!
ปรากฏว่าทั้งหมดก็เป็นเฉกเช่นนี้นี่เอง!
สิ่งที่เขาต้องการคือ การพัฒนาและต่อยอดไปอีกขั้น
ที่ผ่านมาทั้งหมด เขาเอาแต่เลียนแบบสิ่งที่คนรุ่นก่อนทิ้งทวนเอาไว้ให้ โดยไม่เคยคิดเลยว่า คนรุ่นก่อนต้องการอะไรจากคนรุ่นหลังถึงได้ทิ้งทวนภูมิปัญญาเหล่านี้ไว้ให้?
“สิ่งที่เจ้ากล่าวมา...มันคือปัญหาที่นักหลอมโอสถในยุคนี้กำลังประสบอยู่จริงๆ ...”
ซูจิ่งเยว่เอ่ยปากยอมรับไปโดยปริยาย จากนั้นท่าทางการแสดงออกของเขาที่มีต่อหลี่หวงก็เริ่มดูดีขึ้นเรื่อยๆ
“ข้าไม่เคยคิดเลยว่าในจักรวรรดิแห่งนี้จะมีผู้ใดสามารถชี้แนะข้าได้อีกแล้ว! ตอนนี้กลับเป็นเจ้าที่ชี้ทางสว่างแก่ข้า เจ้าหัวไชเท้าน้อย...มีนามว่าอันใดรึ?”
“จวิ๋นหลี่หวง”
“จวิ๋น...หลี่หวง?”
ซูจิ่งเยว่ดูแปลกใจไปชั่วขณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ทวนคำว่า หลี่หวง
ทว่าครู่ต่อมา ซูจิ่งเยว่ก็สะดุ้งโหย่งเบิกตาโตราวกับคิดอะไรออกแล้ว
“คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลจวิ๋น คนที่ถูกลดศักดิ์สถานะเมื่อหกปีก่อนมิใช่รึ!?”
หลี่หวงแค่พยักหน้าตอบ
ซูจิ่งเยว่จ้องหลี่หวงอยู่พักใหญ่ ก่อนส่ายหน้าอานกล่าวว่า
“ไม่เห็นเหมือนในข่าวลือเลย!”
หลี่หวคลี่ยิ้มบางกลับไม่เอ่ยตอบอันใด
แต่ซูจิ่งเยว่หาใช่คนชอบขุดคุ้ยเรื่องของคนอื่น อีกอย่างสิ่งที่เขารักที่สุดคือการหลอมกลั่นโอสถ เขาไม่ชอบให้ใครล้ำเส้นความเป็นส่วนตัว และไม่คิดที่จะไปล้ำเส้นของใครเช่นกัน หากเขาไม่สนใจคือไม่สนใจจริงๆ
เพียงว่า...จวิ๋นหลี่หวงที่เขาเคยได้ยินเมื่อหกปีก่อนกับปัจจุบันมันแตกต่างราวกับฟ้ากับเหว เลยตกใจเล็กน้อย
“ตามที่ตกลงกันไว้ ข้าจะบอกอาการป่วยขององค์รัชทายาท แต่ถึงเจ้าจะมีองค์ความรู้ในด้านหลอมกลั่นโอสถ แต่สุดท้ายนี้ระดับชั้นของเจ้ายังคงต่ำกว่าข้า! ดังนั้นจงเตรียมใจให้พร้อม!”
คำกล่าวของซูจิ่งเยว่ฟังแล้วค่อนข้างหยิ่งผยองนัก ทว่ากลับเป็นความจริง
การจะเป็นนักหลอมโอสถแห่งวังหลวงได้ จักต้องเป็นนักหลอมโอสถที่ระดับชั้นสูงที่สุดในจักรวรรดิแห่งนี้ ในด้านความแข็งแกร่งของซูจิ่งเยว่คนนี้ หลี่หวงเองก็มิสามารถปฏิเสธได้เช่นกัน
หลี่หวงพยักหน้าตอบ เดิมทีนางมีแผนอยู่แล้ว
ซูจิ่งเยว่เดินไปที่หน้าตู้เก็บของด้านในสุดและเปิดลิ้นชักลับออกมา พร้อมหยิบเอกสารหลากหลายฉบับส่งให้หลี่หวงอ่าน
นางรับมันมาพลางสำรวจเอกสารเหล่านั้นเล็กน้อย มีหลายหลากชุดที่ถูกจัดเก็บอยู่ในซองหนังดูไปดูมา คล้ายกับแฟ้มคดีของกรมตำรวจอย่างใดอย่างนั้น
หน้าซองของแต่ละฉบับมีอักษรพู่กันเขียนว่า ผลการวินิจฉัยของหมอหลวง ผลการวินิจฉัยของซูจิ่งเยว่ และตารางจ่ายโอสถ
ซูจิ่งเยว่ไม่ได้กล่าวเร่งเร้าให้อีกฝ่ายรีบอ่านเช่นกัน เขายืนรออยู่ข้างๆ ให้หลี่หวงค่อยๆ อ่านตามสะดวก
หลี่หวงเองก็ไม่ชักช้า รีบเปิดซองหนังแต่ละฉบับขึ้นอ่าน กวาดสายตาขึ้นบนจรดล่างพินิจวิเคราะห์อย่างรวดเร็ว
องค์รัชทายาทหลิงชิงเฉิน เมื่อสามปีก่อนป่วยเป็นโรคภัยปริศนา นอนติดเตียงไร้เรี่ยวแรง จิตใจกระสับกระส่ายสับสนอยู่ตลอดทั้งวันคืน บ้างครั้นเกิดอาการหมดสติฉับพลัน ดูไม่มีชีวิตชีวาราวกับขาดแรงจูงใจที่จะมีชีวิตอยู่
เมื่อหมอหลวงวินิจฉัยโดยละเอียดแล้ว ก็พบว่านับวันร่างกายขององค์รัชทายาทยิ่งอ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง ชีพจรเบาบาง ยากเกินเสาะหาว่าป่วยเป็นโรคภัยชนิดใด
ซูจิ่งเยว่เข้ามาวินิจฉัยเป็นการส่วนตัวในเวลาต่อมา ผลที่ออกมาได้ความดังนี้ องค์รัชทายาทจิตใจเศร้าหมอง ธาตุไฟเข้าแทรก พลังวิญญาณตกต่ำถึงขีดสุด สาเหตุน่าจะเกิดจากการสิ้นพระชนม์ของพระอัครมเหสี เวลาผ่านไป ร่างกายไม่ได้รับสารอาหารเท่าที่จำเป็น และพักผ่อนไร้ซึ่งประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายอ่อนแอฉับพลันเปิดรับโรคภัยมากมายเข้า ร้ายแรงที่สุดคือ ระดับพลังบ่มเพาะหยุดนิ่งมิอาจพัฒนาก้าวหน้า...
“จากบันทึกของเจ้า พยายามจะบอกว่าองค์รัชทายาทป่วยเพราะธาตุไฟดข้าแทรก จนส่งผลไปถึงร่างกายในเวลาต่อมา? แม้แต่โอสถจิตสงบที่เจ้าจ่ายให้ก็ยังมิอาจช่วยได้?”
หลี่หวงกวาดสายตาอ่านไปเอกสารจากจ่ายโอสถ จากตารางพบว่า ไม่มีโอสถที่ใช้รักษาโรคจริงๆ จังๆ เลย ทั้งหมดล้วนแต่เป็นโอสถเสริมวังชาและโอสถที่มีฤทธิ์ปรับสภาพจิตใจ
“เพราะพวกเราไม่สามารถบอกได้เต็มปากว่าองค์รัชทายาทป่วยเป็นอะไรกันแน่ จึงไม่กล้าจ่ายยารักษาที่เจาะจงตามชนิดโรค เจ้าไม่เคยเห็นหรอกว่า องค์รัชทายาทเมื่อก่อนร่าเริงขนาดไหน แล้วดูทุกวันนี้สิ รอยยิ้มความชีวิตชีวาของเขาหายสาบสูญไปสิ้น! ทุกครั้งที่เจอมีแต่ยิ่งผอมลงทุกวัน จนจะกลายเป็นมนุษย์หนังหุ้มกระดูกไปแล้ว! พวกเราสะเทือนใจจนทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน!”
ซูจิ่งเยว่รู้สึกเศร้าหมองอย่างมากยามกล่าวมาถึงจุดนี้ ได้แต่ถอนหายใจไม่หยุดไม่หย่อนหลังพูดจบ
ใจหนึ่งก็เฝ้าโทษแต่ตนเอง ที่องค์รัชทายาทเป็นแบบนี้เนื่องจากตัวเขาไร้ความสามารถ
หลี่หวงขมวดคิ้วขึ้น้เล็กน้อย ทันใดนั้นก็พลันนึกถึงประโยคหนึ่งที่เย่ฉางเคยกล่าวเอาไว้ แถมยังเหมือนกับประโยคหนึ่งที่ซูจิ่งเยว่เขียนในบันทึก
องค์รัชทายาทล้มป่วยเพราะพระอัครมเหสีสิ้นพระชนม์!
หรือเป็นไปได้ไหมว่า...
“ข้าเกรงว่าปัญหานี้กลับมิได้ซับซ้อนอย่างที่พวกเจ้าคิด”
หลี่หวงกล่าวขึ้นอย่างเฉยเมย ก่อนจะกวาดสายตาดูสมุนไพรที่เก็บสะสมทั่วห้องของอีกฝ่าย และกล่าวต่อว่า
“โรคบางอย่างกลับไม่สามารถรักษาให้หายด้วยโอสถ”
ซูจิ่งเยว่ตะลึงงันไปชั่วขณะหนึ่ง เขาเร่งเอ่ยถามด้วยความสงสัยทันทีว่า
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“วันนี้ข้าได้ยินองค์รัชทายาทพูดเช่นกัน แม้จะไม่เห็นใบหน้า ทว่ากลับเก็บเกี่ยวเบาะแสอะไรบางอย่างได้”
“ประการแรก องค์รัชทายาทมิได้ป่วยจากธาตุไฟเข้าแทรก พลังวิญญาณในกายกลับปกติสมบูรณ์ดี แม้กระทั่งสุขภาพร่างกายยังแข็งแรงมาก กล่าวได้ว่าทุกอย่างแทบจะเป็นปกติดี แต่จุดที่น่าสนใจคือ เจ้า...ได้บันทึกไว้ว่า ‘องค์รัชยาทดูไม่มีชีวิตชีวาราวกับขาดแรงจูงใจที่จะมีชีวิตอยู่’ ใช่หรือไม่? นี่แหละคำตอบของปัญหาทั้งหมด!”
“ประการที่สอง จากที่ข้าได้ยินเสียงขององค์รัชทายาท อีกฝ่ายดูไม่เหมือนคนป่วยเป็นโรคร้ายแรง น้ำเสียงฟังดูไม่ติดขัด จังหวะหายใจสะดวก นี่มิได้มีปัญหาเกี่ยวกับระบบการทำงานของร่างกายแน่นอน เพียงว่า สุ้มเสียงฟังดูแล้วราวกับคนไร้จิตวิญญาณ สูญเสียจุดมุ่งหมายในชีวิตไป”
“นี่เจ้าหมายถึง...!”
ซูจิ่วเยว่เริ่มจะเข้าใจสิ่งที่หลี่หวงพยายามจะสื่อถึงแล้ว
“องค์รัชทายาทมิได้ป่วยเป็นโรคทางกาย แต่ป่วยทางจิต!? เพราะเหตุการณ์สิ้นพระชนม์ จึงทำให้เขาไม่อยากที่จะมีชีวิตอยู่!”
หลี่หวงพยักหน้าตอบ นี่คือการคาดเดาในเบื้องต้นของนาง แต่...อีกใจหนึ่งก็รู้สึกแปลกๆ เช่นกัน
ซูจิ่งเยว่ใช้เวลานับร้อยปีอยู่ในวังหลวง เอาแต่คลุกตัวอยู่ในห้องส่วนตัวไม่ออกไปไหน จนลืมไปซะสนิทเลยว่า นอกจากอาการป่วยทางร่างกายแล้ว ก็ยังมีอาการป่วยทางจิตใจที่มิได้เกี่ยวข้องกับพลังวิญญาณ ซึ่งเรียกกันว่า โรคเจ็ดอารมณ์หกตัณหา!