ตอนที่55 นักหลอมโอสถแห่งวังหลวง ซูจิ่งเยว่
ตอนที่55 นักหลอมโอสถแห่งวังหลวง ซูจิ่งเยว่
หลี่หวงขมวดคิ้วถักแน่น ถูกคุมเข้ม?
นี่แป็นเรื่องยากแล้ว
หลิงเฟิงรู้สึกลำบากใจเช่นกัน เมื่อเหม่อมองใบหน้าของหลี่หวง แต่จะยังไง...นี่เป็นคำสั่งของพี่เก้า แม้กระทั่งเขาเองก็ไม่กล้าพูดออกมา
“เอ่อ...พี่สะใภ้เก้า ข้าคิดว่าท่าน...ควรลองเจรจากับเสด็จพ่อดูจะดีกว่า...”
หลิวงเฟิงอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่สักครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยวาจาประโยคนี้ขึ้นมา
“เจรจา?”
หลี่หวงมองข้ามไม่ถืออีกฝ่ายที่เรียกตนว่า พี่สะใภ้เก้าโดยไม่รู้ตัว
“อันที่จริงเสด็จพ่อไม่มีหลักฐานอะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องที่ตระกูลจวิ๋นคิดก่อกบฏ โดยส่วนใหญ่แล้ว...เสด็จพ่อถูกสามตระกูลใหญ่เข้ากดดันอย่างหนัก ภายใต้แรงดันนั้นที่ถาโถมเข้ามาไว้เว้นวันแบบนี้ ท่านเลยต้องจำใจออกคำสั่งดังกล่าว”
“ขอเพียงท่านสามารถเจรจาหรือทำอะไรสักอย่างจนกว่าเสด็จพ่อจะพอใจได้สำเร็จ ข้าคิดว่าเสด็จพ่อจะต้องยอมปล่อยประมุขตระกูลจวิ๋นอย่างแน่นอน”
หลิงเฟิงเลือกที่จะทรยศต่อบิดาของตนโดยปราศจากความเกรงใจอันใด และเผยความจริงที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดออกไป
อันที่จริงแล้วพ่อของตนเป็นอย่างไร ไฉนจะไม่ทราบ เพียงว่าตอนนี้เขาไม่สามารถพูดความจริงออกไปได้ทั้งหมด!
หลี่หวงไม่ทราบเช่นกันว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ความหมายในคำกล่าวของหลิงเฟิงค่อนข้างชัดเจน นางต้องติดสินบนฝ่าบาทงั้นรึ?
เป็นภารกิจที่แปลกดีจริงๆ ...
“อันที่จริง เสด็จพ่อเองก็ป่วยเช่นกัน ทั้งหมดน่าจะเป็นเพราะความเป็นห่วงที่มีต่อพี่ใหญ่จนไม่เป็นอันกินอันนอน”
กล่าวมาถึงจัดนี้หลิงเฟิงถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ และยังไม่ลืมที่จะทิ้งท้ายเบาะสนให้หลี่หวงได้ตระหนักทราบ
อาการป่วยขององค์รัชทายาท?
“องค์รัชทายาทป่วยเป็นโรคอันใดกันแน่?”
หลี่หวงเอ่ยถามอีกฝ่ายเจือแววไม่ค่อยแน่ใจเช่นกัน มิทราบว่าตัวนางจะสามารถรักษาโรคดังกล่าวได้หรือไม่
แต่อย่างน้อยถ้ามันเป็นหนทางหนึ่งที่สามารถช่วยแก้ไขสถานการณ์ทั้งหมดได้ มันก็น่าลอง!
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจเช่นกันเกี่ยวกับเรื่องนี้...แต่ข้าสามารถพาท่านไปหานักหลอมโอสถในวังหลวงของเราได้ นักหลอมโอสถท่านนี้มีหน้าที่รับผิดชอบและดูแลอาการป่วยของพี่ใหญ่ตลอดหลายปีมานี้”
หลิงเฟิงกล่าว
เขาไม่มีความหวังไว้อยู่แล้วว่า จวิ๋นหลี่หวงคนนี้จะสามารถรักษาอาการป่วยของพี่ใหญ่ได้ แต่ในเมื่อนางต้องการทราบเรื่องดังกล่าว เขาก็มีหน้าที่เพียงตอบสนองตามความต้องการของนางเท่านั้น เพราะไม่ว่าจะดูยังไง จวิ๋นหลี่หวงก็ดูไม่เหมือนนักหลอมโอสถระดับสูงเลยแม้แต่น้อย
ไม่ว่าจะยังไง...สุดท้ายนี้นางเป็นเพียงสาวน้อยในวัยสิบสามปีเท่านั้น
เมื่อนึกถึงความอ่อนเยาว์ของพี่สะใภ้เก้าของเขาแล้ว หลิงเฟิงก็พลันสบถด่าพี่เก้าภายในใจ
‘เจ้าพี่ตัวดี! โรคจิตใคร่เด็กสาวโดยแท้!’
“รบกวนด้วย”
หลี่หวงไม่ทราบเช่นกันว่าทำไม องค์ชายสิบถึงดูกระตือรือร้นและเป็นมิตรกับนางถึงขนาดนี้ แต่พินิจจากสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร
“มิใช่ปัญหา มิใช่ปัญหา”
หลิงเฟิงโบกมือปัดไปมา และพาหลี่หวงออกจากตำหนักของเขาทันที
ภายในวังหลวงมีขนาดใหญ่กว้างขวางยิ่งยวด หากไม่มีใครอาสามานำทาง มีหวังหลี่หวงได้หลงทางเข้าจริงๆ แน่นอน!
หลังจากเดินไปได้ระยะหนึ่ง หลิงเฟิงก็ตรงเข้ามายังตำหนักแห่งนี้ พอผลักประตูเปิดออกก็พบชายในชุดซอมซ่อสกปรกกำลังจัดเรียงสมุนไพรในมืออยู่
“ซูจิ่งเยว่! ข้าพานักหลอมโอสถนางหนึ่งมาหา ต้องการจะไถ่ถามถึงอาการเจ็บป่วยของพี่ใหญ่ข้า!”
ซูจิ่งเยว่เงยหน้าจับจ้องหลิงเฟิง ละสายตาจากกองสมุนไพรในมือและกล่าวว่า
“ไสหัวไปซะ! ใครใช้ให้เจ้าเข้ามา!”
หลิงเฟิงได้แต่ครี่ยิ้มกระอักกระอ่วน ก่อนส่งสายตาให้หลี่หวงเล็กน้อยก่อนเดินไปรอข้างนอก
หลี่หวงค่อยๆ ย่างเท้าตรงเข้ามาภายใน ที่แห่งนี้คือเรือนปรุงโอสถส่วนตัวของซูจิ่งเยว่ ตู้เก็บของที่ติดทั่วผนังเต็มด้วยสมุนไพรมากมายหลากหลายชนิดที่อีกฝ่ายเก็บสะสม โดยส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นของหายาก แค่เห็นหลี่หวงก็รู้สึกคันไม้คันมือแล้ว
“ไฉนเจ้ายังอยู่ที่นี่? ไม่ได้ยินที่ข้าพูด?”
ซูจิ่งเยว่เงยหน้าขึ้นมองนังหัวไชเท้าที่หลิงเฟิงพามาแต่ยังไม่จากออกไป
“ข้ายังไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการ”
หลี่หวงยิ้มตอบอย่างเยือกเย็น
“ไปไปไป! 1อาการป่วยขององค์รัชทายาทจะให้ข้าบอกคนอื่นไปทั่วตามอำเภอใจได้รึไง? อีกอย่าง เจ้าเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเฉกเช่นเจ้า แค่หลอมกลั่นยาชสามัญลดไข้ได้ก็นับว่าบุญโขแล้ว! อย่ามาสร้างปัญหาให้เลยเสียดีกว่า! อย่ามาสร้างปัญหา!”
ซูจิ่งเยว่พ่นวาจาดูแคลนให้หลี่หวงไม่หยุดหย่อน เจ้าเด็กน้อยคนนี้มาวิ่งเล่นอะไรแถวนี้กัน?
องค์ชายสิบคิดจะปั่นประสาทตนอยู่รึไง?
“รับไป”
โอสถเม็ดหนึ่งลอยออกมาจากฝ่ามือของหลี่หวง ซูจิ่งเยว่กวาดมือรับมาอย่างลวกๆ แต่แรกสัมผัสพลันต้องตกตะลึงในทันใด เพราะเขาพบว่าเนื้อสัมผัสของโอสถเม็ดนี้มันเนียนละเอียดเข้าขั้นสมบูรณ์แบบ!
ความสนใจของเขาถูกกระตุ้นขึ้นมาทันใด!
“โอสถชำระไข้กระดูก? โอสถระดับหนึ่งชั้นสูง นังหัวไชเท้า อย่าบอกเสียว่าเจ้าคือผู้หลอมกลั่นมันขึ้นมา!”
ซูจิ่วเยว่หันควับจับจ้องหลี่หวง พร้อมชี้นโอสถเม็ดนั้นในมือ
“เจ้าคิดว่าโอสถเม็ดนี้มีมูลค่าเท่าใด? เด็กน้อยอย่างข้าหรือจะมีปัญญาซื้อมาหลอกเจ้า?”
หลี่หวงมิได้ตอบคำถาม
ซูจิ่งเยว่ครุ่นคิดอยู้สักพัก และยังคงยืนยันคำถามเดิม
“อย่าเปลี่ยนเรื่อง”
“เจ้าคิดว่าข้ามีปัญญาซื้อจริงๆ รึ?”
หลี่หวงย้ำคำถามเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
ซูจิ่งเยว่ส่ายหน้าทันที นอกจากกรมการคลังของวังหลวงแล้ว หากโอสถเม็ดนี้ปรากฏขึ้นในโรงประมูล ทั้งสี่ตระกูลใหญ่จะต้องห่ำหันเพื่อแย่งชิงมันอย่างเอาเป็นเอาตายแน่นอน
“คิดว่าโอสถเม็ดนี้หาใช่สิ่งที่ข้าหลอมกลั่นขึ้นมาเอง?”
หลี่หวงเอ่ยถามอีกครา
ซูจิ่งเยว่ถึงกับพูดไม่ออก จริงอยู่ว่าช่วงนี้ไม่มีข่าวเกี่ยวกับโอสถล้ำค่าปรากฏขึ้นแต่อย่างใด แต่จะให้บอกว่สาวน้อยนางนี้สามารถหลอมกลั่นโอสถที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ขึ้นมาเองมันก็...
เจ้าหัวไชเท้าน้อยๆ นางนี้จะไปหลอมกลั่นโอสถระดับหนึ่งชั้นสูงขึ้นมาได้ยังไง? ขนาดตัวเขายังต้องฝึกปรือขัดเกลาฝีมือนับหลายสิบปีกว่านะหลอมกลั่นโอสถระดับชั้นสูงขึ้นมาได้สักเม็ด
“ต้องเห็นกับตาเท่านั้นข้าจึงจะเชื่อ!”
ซูจิ่งเยว่ท้าพิสูจน์ออกไปทันที มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะสามารถยืนยันข้อเท็จจริงได้ดีที่สุด!
หลี่หวงเองก็มิได้คัดค้าน นางหยิบหม้อหลอมโอสถวิเศษออกมาจากแหวนมิติ และกล่าวกับซูจิ่งเยว่ว่า
“สมุนไพรในเรือนเจ้า คงมิได้รังเกียจให้ข้าใช้กระมัง?”
“เชิญ!”
ซูจิ่งเยว่มิเคยมีปัญหาขาดแคลนด้านสมุนไพร วัตถุดิบหลอมกลั่นโอสถสักเม็ด ย่อมมิได้มำให้ขนหน้าแข้งของเขาร่วงอยู่แล้ว
เพียงว่าหม้อหลอมโอสถของสาวน้อยนางนี้...ไฉนถึงมีลวดลายวิจิตช่างประณีตนัก?
เมื่อเปรียบกับหม้อหลอมโอสถของตัวเอง กลับเทียบไม่ติดเลย
แต่ทันใดนั้นเอง ก็มีเปลวเพลิงสีแดงฉานลุกโชนขึ้นบนฝ่ามือของหลี่หวง ทันทีที่ซูจิ่งเยว่เห็นภาพฉากตรงกหน้า เขาถึงกับอ้าปากค้าง!
ไฟวิเศษ?!
นี่นางเพิ่งอายุเท่าไหร่กัน? ไฉนถึงสามารถกำราบไฟวิเศษได้แล้ว?!!
ผืนพิภพแห่งนี้ช่างประหลาด...
อย่างไรก็ตามซูจิ่งเยว่ก็มิได้เอ่ยปากอะไรให้มากความ ยามนี้เอาแต่เฝ้าดูการหลอมกลั่นโอสถของอีกฝ่ายอย่างขมักเขม่น ในฐานะนักหลอมโอสถคนนคง จึงทราบดีว่าในช่วงระหว่างหลอมกลั่นโอสถจำเป็นต้องใช้สมาธิมหาศาล และไม่ควรจะเอ่ยปากพูดรบกวนอีกฝ่าย
หลี่หวงเลือกใช้สมุนไพรหลากหลายชนิด หยิบจับออกมาจากตู้เก็บของรอบผนังภายในห้อง ซูจิ่งเยว่ที่สังเกตเห็นสมุนไพรแต่ละชนิดที่ถูกเลือกไป ก็พึงทราบได้ทันทีว่า นางกำลังหลอมกลั่นโอสถชำระไข้กระดูกอยู่
อย่างน้อยที่สุดนางก็เป็นนักหลอมโอสถคนหนึ่งจริงๆ สามารถเลือกใช้และคำนวณปริมาณได้อย่างถูกต้องแม่นยำ
ทว่าในการเลือกสมุนไพรขั้นตอนสุดท้าย หลี่หวงกลับไม่ได้เลือกหยิบหญ้าเพลิงตามที่ควรใช้ แต่ดันเปลี่ยนเป็นหญ้าเย็นน้ำแข็งแทน
นี่เป็นปัญหาใหญ่มากสำหรับนักหลอมโอสถ! ซูจิ่งเยว่ถึงกับขมวดคิ้วเช่นกัน
นังหัวไชเท้าน้อยจำสูตรผิดรึไงกัน?
แต่เมื่อเห็นท่าทางอันสุดแสนจะมั่นใจของหลี่หวง เขาก็พลันคิดอีกใจหนึ่งว่า หรือน่าจะจงใจเลือกใช้หญ้าเย็นน้ำแข็งแทนจริงๆ?
หลี่หวงจัดแจงสมุนไพรลงหม้อหลอมเสร็จสรรพ จากนั้นก็เริ่มกระบวนการหลอมกลั่นโดยตรง
คู่คิ้วของซูจิ่งเยว่ขมวดแน่นขึ้นไปอีก วิธีการหลอมกลั่นหยาบอะไรปานนี้? แล้วจะหลอมกลั่นสำเร็จได้อย่างไร?!
เขามองออกในพริบตาว่า ทักษะการหลอมกลั่นของหลี่หวงเป็นวรยุทธที่สร้างขึ้นมาเอง และไม่เคยได้รับการฝึกฝนจากขั้นพื้นฐานมาก่อนเลย!
หยาบมาก! เขาอยากจะชักมือนางขึ้นมาตีสักทีหนึ่ง นี่นางจงใจทำลายสมุนไพรในห้องเขารึไงกัน!!
หลังจากนั้นไม่นาน โอสถของหลี่หวงก็เริ่มก่อตัวขึ้น นางค่อยๆ เพิ่งอุณหภูมิของไฟวิเศษสีแดงฉานจนลุกโชน เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายคือการขึ้นรูปโอสถ
ครั้งนี้เนื่องจากมิได้ใส่สมุนไพรลงไปมากมายนัก จึงหลอมกลั่นได้เพียงสองเม็ดเท่านั้น หลี่หวงโยนโอสถร้อนๆ สองเม็ดจากในหม้อหลอมใส่มือของซูจิ่งเยว่โดยตรง
เดิมทีซูจิ่งเยว่แทบจะไม่ได้คาดหวังอะไรอีกแล้ว แต่...
ขณะที่ฝืนใจพินิจมองโอสถในมือ ทันใดนั้นดวงตาของเขาแทบทะลุออกมาจากเบ้า!
โอสถสองเม็ดนี้เหมือนกับโอสถชำระไขกระดูกเม็ดก่อนหน้าที่นางโยนให้ราวกับแกะ!
สวรรค์! ใครก็ได้บอกข้าทีว่าเกิดอะไรขึ้นผืนพิภพแห่งนี้!
“นี่เป็นไปได้อย่างไรกัน! เห็นได้ชัดว่าเจ้าใส่หญ้าเย็นน้ำแข็งลงไป แต่ไฉนถึงยังหลอมกลั่นโอสถชำระไขกระดูกได้สำเร็จ?!”
“ยังมีสมุนไพรอีกหลากหลายชนิดที่ใช้แทนกันได้ คุณสมบัติธาตุไฟของหญ้าเพลิงย่อมมีฤทธิ์ชำระไขกระดูกได้ก็จริง แต่หากใส่หญ้าน้ำเย็นน้ำแข็งลงไปแทน กลับมีฤทธิ์เย็นยะเยือกที่สามารถกัดกร่อนไขกระดูกได้ไม่ต่าง มิหน่ำยังผสานรวมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ ได้ง่ายกว่ามาก หากรู้เช่นนี้แล้ว เจ้าจะเลือกใช้อย่างไหนล่ะ?”