ตอนที่แล้วตอนที่52 จวนตระกูลจวิ๋น
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่54 องค์ชายสิบ หลิงเฟิง

ตอนที่53 เย่ฉาง


ตอนที่53 เย่ฉาง

ตระกูลจวิ๋นรามือจากเรื่องปกครองมานานแล้ว!

แต่ไม่ว่าผู้ใดที่กล้าพยายามควบคุมชะตากรรมของเป็นไปของตระกูลจวิ๋น พวกมันต้องไม่ตายดี แม้จะเป็นองค์จักรพรรดิก็ตาม!

“กล่าวถูกต้อง”

ผู้อาวุโสใหญ่พยักหน้าตอบ

“ยามนี้ทุกฝ่ายต่างมองตระกูลจวิ๋นเป็นศัตรู จะให้รอวันตายคงไม่มีวัน เช่นนั้นคงต้องมีแต่โต้ตอบ!”

“พวกเจ้าช่วยกันดูแลคุณหนูใหญ่และคนอื่นๆ ให้ดี เย็นวานนี้เราชายชราจะเข้าวังหลวง!”

ผู้อาวุโสใหญ่ดูเหมือนจะมีแผนการอะไรบางอย่างแล้ว เขาหันไปเอ่ยสั่งการให้เหล้าองครักษ์ปกป้องพวกหลี่หวงให้ดี

ในตระกูลจวิ๋นมีคนรับใช้น้อยมาก โดยส่วนใหญ่จะเป็นทหารเก่าจากกองทัพที่ปลดเกษียณ ดังนั้นพอทราบข่าวว่าคุณหนูใหญ่และคุณชายจิวจะกลับมา พวกเขาจึงเร่งจัดเตรียมซื้อสาวและบ่าวรับใช้มาจากตลอดทาส เพื่อมาปรนนิบัติทั้งคู่โดยเฉพาะ

หลี่หวงทราบดีว่า ยามนี้ผู้อาวุโสใหญ่น่าจะมีแผนอยู่ในใจแล้ว แต่จะอย่างไรตอนนี้นายยังไม่ค่อยเข้าใจภาพรวมของตระกูลจวิ๋น ณ ปัจจุบันชัดเจนเท่าที่ควร ดังนั้นนางจึงยังต้องขอคำแนะนำบางอย่างเพิ่มเติม

บรรดาผู้อาวุโสทั้งหลายเดินทางกลับเข้าลานอาวุโส ส่วนจวิ๋นหลี่จิวก็พาจวิ๋นอี้ไปเยี่ยมชมเรือนพัก

ลุงใหญ่อย่างจวิ๋นโม่เหวินและลุงหกอย่างจวิ๋นโม่เทียน อาสาพาหลี่หวงไปยังเรือนพักใหม่ของนาง

“หลี่หวง หกปีที่ผ่านมาคงลำบากไม่น้อย ที่เราตัดสินใจส่งเข้าออกไปจากที่แห่งนี้เพราะความจำเป็นจริงๆ หวังว่าจะไม่โทษพวกเราใช่ไหม?”

จวิ๋นโม่เหวินเอ่ยถามเจือน้ำเสียงรู้สึกผิดอย่างมาก

แต่เขากลับต้องค้นพบว่า หลานสาวของเขาคนนี้แข็งแกร่งกว่าที่คิดมากโข!

“หลี่หวงเข้าใจ”

หลี่หวงส่ายหน้าตอบและหาได้ใส่ใจกับเรื่องในอดีตอีกต่อไป และกล่าวต่อขึ้นว่า

“ระหว่างทางกลับข้ากับพี่จิวถูกลอบสังหาร ซึ่งพี่จิวคาดการณ์ว่าเป็นคนจากเมืองหลวง”

“ลอบสังหาร?! นี่มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?!”

จวิ๋นโม่เหวินร้องอุทานลั่น เขารู้สึกโมโหขึ้นในทันใด บัดซบผู้ใดกับที่บังอาจคิดกล้าสังหารทายาทตระกูลจวิ๋น?

“เรื่องนี้ข้าจะไปไถ่ถามกับหลี่จิวอีกคราหนึ่ง น้องหก เจ้าพาหลี่หวงไปเรือนพักก่อนเถิด”

จวิ๋นโม่เหวินไม่สามารถทนอยู่เช่นนี้ต่อไปได้อีก ไม่ว่ายังไงเขาจะต้องสืบหาความจริงของเรื่องดังกล่าวให้จงได้!

เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงทายาทตระกูลสายตรง ดังนั้นต้องระวังเป็นพิเศษ!

เมื่อเห็นจวิ๋นโม่เหวินสะบัดแขนเสื้อรีบวิ่งจากไป จวิ๋นโม่เทียนก็พาหลี่หวงเดินทางไปต่อ

“หี่หวง เจ้าอย่าทำตัวโดดเด่นเกินไปนัก”

จู่ๆ จวิ๋นโม่เทียนที่ปิดปากเงียบอยู่ตลอด ยามนี้ก็เอ่ยขึ้น

“หื้ม?”

หลี่หวงเงยหน้ามองลุงหกชักสีหน้าสงสัย

“ลุงหกกล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”

“จวนตระกูลจวิ๋นในตอนนี้หาได้มีเพียงปัญหาภายนอกเท่านั้น”

จวิ๋นโม่เทียนเอ่ยปากเตือนอย่างมีนัย

“ลุงหกหมายถึง...ปัญหาภายในตระกูลกระมัง?”

จู่ๆ จวิ๋นโม่เทียนก็เอ่ยปากเตือนเช่นนี้ หมายความว่าภายในจวนยังมีปัญหาภายในที่น่าปวดหัวเช่นกัน?

“เจ้าเองก็ควรจะทราบดี หลังจากบิดาของเจ้าตายไปในสมรภูมิรบ ในเวลานั้นภายในตระกูลจวิ๋นก็ก่อเกิดความโกลาหลขึ้นแล้ว”

จวิ๋นโม่เทียนยังคงเอ่ยเตือนอีกฝ่ายเร้นแฝงด้วยนัยคลุมเครือ แต่หลี่หวงสามารถมองออกอย่างชัดแจ้ง ถึงเจตนาดีของอีกฝ่าย

นางพยักหน้าและจดจำเรื่องนี้ไว้ในใจ

หรือเป็นไปได้ไหมว่า...การแสดงออกของนางในวันนี้กลับถูกฝ่ายที่ไม่ชอบขี้หน้าเล็งเห็นเข้าแล้ว?

หึ! ไม่ว่าเป็นใครหน้าไหนข้าก็ไม่สน! มาหนึ่งฆ่าหนึ่ง มาสิบก็ฆ่าสิบ!

จวิ๋นโม่เทียนพาหลี่หวงตรงมายังลานกว้างด้านหลังจวน ปรากฏเป็นเรือนใหญ่งดงาม ประดับสวนบุปผาเพื่อความรื่นรมย์ ก่อนลาจากกัน เขาหมุนตัวเคลื่อนเข้ากระซิบข้างอยู่อย่างแผ่วเบาว่า

“รอบเรือนพักของเจ้ามีองครักษ์เงาคอยเฝ้าสังเกตอยู่ หากเกิดภัยอันตรายขึ้นมา จงตะโกนเรียกพวกเขาออกมาทันที จงจำไว้...ความปลอดภัยของเจ้าต้องมาเป็นอันดับแรก”

“อืม”

หลี่หวงพยักหน้าตอบสั้นๆ

จวิ๋นโม่เทียนเป็นคนที่ชอบเก็บตัว ตั้งแต่ต้นจวบจนตอนนี้ เขายังกล่าวกับหลี่หวงไม่ถึงสิบประโยคด้วยซ้ำ ทว่าเขากลับเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดยี่สิบอันดับแรกในเมืองหลวง!

แต่หลายปีมานี้พัฒนาการของระดับพลังบ่มเพาะของเขากลับช้าลงจนน่าตกใจ และค่อยๆ อยู่ห่างจากสายตาและความสนใจของผู้คนทั่วทั้งเมือง

มีความเป็นไปได้สูงว่า อีกฝ่ายจงใจปิดบังตัวตน เพื่อเป็นหนึ่งในไพ่ตายสำคัญของตระกูลจวิ๋นในยามคับขัน

“เฮ้ออ...เรื่องพรรค์นี้ยังไม่หมดสิ้นไปอีกรึ”

หลี่หวงถอนหายใจเฮือกใหญ่ เดินวนไปวนมารอบลานกว้างของตัวเอง

เรือนที่หลี่หวงอาศัยอยู่ในตอนนี้ใหญ่กว่าเรือนบุปผาโปรยปรายของตระกูลจวิ๋นในเมืองหงเฟิงไม่รู้กี่เท่า ทั้งยังมีทะเลสาบเทียมและศาลาหิน พร้อมกับสวนบุปผาขนาดใหญ่ ปิดท้ายด้วยลานฝึกยุทธ์ขนาดย่อม

นี่นับเป็นที่อยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบ

หลี่หวงพึงพอใจอย่างมาก หลังจากนั้นไม่นานก็มีสาวรับใช้จำนวนหลายคนถูกส่งเข้ามารับหน้าที่ต่างๆ ภายในเรือน แต่ละคนมุ่งมั่นทำงานที่ตัวเองได้รับมอบหมาย ไม่มีอู้เลยสักนิด

“คุณหนูใหญ่!”

ด้านนอกแต่ไกล ปรากฏองครักษ์คนหนี่งวิ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว

“มีอะไร?”

หลี่หวงเอ่ยถามกลับไปคำหนึ่ง

“คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเย่เดินทางมาขอพบ โดยบอกว่ามิได้พบเจอหน้าท่านเสียนานหลายปี ต้องการเยี่ยมเยือน!”

คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเย่?!

คนจากสี่ตระกูลใหญ่อีกแล้วเหรอ?

หลี่หวงระดมสมองพยายามนึกค้นในเศษเสี้ยวความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมโดยไว และในที่สุดก็เจอ

“เย่ฉาง?”

“ขอรับ”

องครักษ์พยักหน้าให้

“เชิญนางเข้ามาเถิด”

องครักษ์ประสานมือรับสั่งและจากออกไป

หลี่หวงอดถอนหายใจอีกระลอกมิได้ ปรากฏว่าเป็นทายาทสายตรงแห่งตระกูลเย่ เย่ฉาง!

เพื่อนเล่นในวัยเด็กของนาง

และยังเป็นเพื่อนเล่นของนางเพียงคนเดียว

ในเวลานั้นความขัดแย้งระหว่างสี่ตระกูลใหญ่ยังมิได้หนักหน่วงเท่าปัจจุบัน อย่างน้อยชนวนไฟก็ยังมิได้ปรากฏขึ้นชัดเจน และเนื่องจากฮูหยินใหญ่ของตระกูลจวิ๋นและของตระกูลเย่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ทั้งสองตระกูลจึงมีปฏิสัมพันธ์อันดีในตอนนั้น...ใช่แล้วแค่ ‘ตอนนั้น’

“เจ้าคนไร้จิตสำนึก! ยังจะกล้ากลับมาอีกงั้นรึ!? หากกลับมาช้ากว่านี้อีกสักนิด คงไม่เหลือจวนจวิ๋นให้กลับอาศัยแล้วกระมัง!”

สุ้มเสียงแข็งกระด้างดังขึ้นลั่นแต่ไกล!

เย่ฉางนางนี้เป็นสตรีสายลุยตั้งแต่เด็ก ไม่ค่อยมีความละเอียดอ่อนดั่งเด็กสาวทั่วไป ดังนั้นแค่ได้ยินเสียงจึงสามารถแยกแยะได้แล้ว

“เดี๋ยว? เจ้าหายไปแค่หกปีเองมิใช่รึ?”

เย่ฉางที่ตรงเข้ามาในลานกว้างหน้าเรือนพักของหลี่หวง ถึงกับเบิกตาโตเท่าไข่ห่านด้วยความตะลึง เดินวนไปเวียนมาโคจรรอบตัวหลี่หวงอยู่หลายรอบ

“เดี๋ยวนี้หัตถกรรมการตกแต่งใบหน้ามันพัฒนาก้าวไกลขนาดนั้นเชียว? ถึงเปลี่ยนโฉมเจ้าได้ราวกับหลังบาทาเป็นหน้ามือ?”

“หยุดเดินวนได้แล้ว ข้าเวียนหัว! และข้าก็มิได้ไปทำอะไรมาทั้งสิ้น!”

หลี่หวงสั่งให้นางหยุดเดินวนไปเวียนมาเสียที

“ห่ะ? เดี๋ยวนี้เจ้ากล้าพูดกับข้าขนาดนี้แล้วรึ! หลายปีมานี้เจ้ามิได้ไปเสียเปล่าจริงๆ! กลับมาพร้อมความหยิ่งผยองมาเต็มเปี่ยม!”

เย่ฉางกล่าวประชดประชันอีกฝ่ายตอบ

หลี่หวงกลอกตามองบนใส่อีกฝ่ายด้วยความรำคาญเล็กน้อย

“แล้วเจ้ามาทำอันใดที่นี่?”

หลี่หวงชำเลืองหางตามอง แววตาเปี่ยมล้นไปด้วยความรังเกียจ

เย่ฉางเป็นหญิงสาวที่จัดอยู่ในประเภทหน้าตาดี แต่ไม่ถึงขั้นงดงามปานนั้น ทว่าเนื่องจากมีสายเลือดที่ค่อนข้างดีอยู่ในตัว ทำให้เรือนร่างของนางค่อนข้างน่ามองมีเสน่ห์ หน้าอกหน้าใจใหญ่โตแต่เด็ก ชายใดเห็นต่างต้องหลงใหล

ผนวกกับนิสัยเพิ่งได้ใจถึงของเย่ฉาง ไม่ว่าสาวน้อยนางนี้จะเดินไปไหนมาไหนก็ล้วนแต่เป็นที่ชื่นชอบของทุกคน

เพียงแค่หลี่หวงผู้ซึ่งเจริญแล้วทางด้านสติปัญญา ไม่อยากคบหากับนางเท่าไหร่นัก

คบกับนางราวกับคบคนสติไม่เต็ม

“เดี๋ยว! เดี๋ยว! สายตาแบบนั้นมันอะไรห๊ะ?! ไฉนมองข้าแบบนี้! ข้าอุตส่าห์ใจดีมีเมตตา รีบมาเยี่ยมเยือนเจ้าโดยไม่สนคำคัดค้านจากคนในตระกูล แต่เจ้ายังกล้าส่งสายตารังเกียจข้าอีกงั้นรึ?!!”

เย่ฉางชี้หน้าหลี่หวงตวาดขึ้นเจือน้ำเสียงหงุดหงิดขึ้นมาทันควัน

“เปล่าหนิ ก็ไม่เชิงรังเกียจ”

หลี่หวงกล่าวตอบไปตามตรง

แต่ในทางตรงข้าม ความหวาดระแวงภายในใจของหลี่หวงกลับค่อยๆ คลายตัวลง เย่ฉางนางนี้ไม่ได้เหมือนกับซูฟางหรือชายหนุ่มจากตระกูลฉินคนนั้น ที่เหมือนจะสวมหน้ากากเข้าหา ทว่านางตรงหน้ากลับเป็นคนตรงไปตรงมา ออกแนวพูดจาขวานผ่าซากซะด้วยซ้ำ

ดังนั้นแล้ว อย่างน้อยที่สุด เย่ฉางนางนี้ก็หาใช่บุคคลที่มีเจตนาเร้นแฝงกับนาง

“ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลย!”

เย่ฉางพ่นลมหายใจระบายออกจากจมูกฮึดฮัด แต่ทันใดนั้นน้ำเสียงของนางพลันเปลี่ยนไปทันใด

“ตลอดทางกลับคงเกิดเรื่องขึ้นไม่น้อยเลยใช่หรือไม่?”

หลี่หวงสูดลมหายใจแช่มลึกขึ้นทีหนึ่ง และเอ่ยน้ำเสียงสงบนิ่งตอบกลับไปว่า

“ถูกลอบสังหารครั้งหนึ่ง”

“ลอบสังหาร!! ให้ตายเถอะ!”

เย่ฉางสบถด่าออกมา จากนั้นก็ค่อยๆ สอดมือเรียวยาวทั้งสองข้างเข้าสวมกอดเอวของหลี่หวง ก่อนจะเริ่มลูบไล้ไปมาด้วยความเป็นห่วง น้ำเสียงจากแข็งกระด้างกลายมาเป็นอ่อนนุ่มน่าฟังขึ้นหลายส่วน

“เจ้ามิได้บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหม?”

“ไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่บาดแผลเล็กๆ น้อยๆ ….พอแล้ว! จะกอดข้าไปถึงเมื่อไหร่!”

หลี่หวงใช้มือผลักอีกฝ่ายออกห่างในทันใด นางไม่ชอบให้ใครมาแตะเนื้อต้องตัวแบบนี้

“ก็ข้าเป็นห่วง... หลายวันมานี้เจ้าต้องระวังตัวให้ดีหลี่หวง!”

เย่ฉางบุ้ยปากเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเตือนน้ำเสียงจริงจังอย่างมาก

“แผนการลอบสังหารเจ้าในช่วงหลายวันก่อน มีตระกูลเย่ ตระกูลซูและตระกูลฉินอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น และข้าเองก็ไม่ทราบว่าเจ้าเผชิญหน้ากับนักฆ่ากลุ่มไหน ยังไงซะปลอดภัยกลับมาก็ดีแล้ว แต่มันยังไม่จบง่ายๆ ดังนั้นเจ้าต้องระวังตัว!”

เย่ฉางมิได้มีเจตนาโกหกหรือเลี่ยงวลีใดๆ ต่อหน้าหลี่หวงเลย ขอเพียงอีกฝ่ายปลอดภัยก็เพียงพอแล้ว

“แล้วไฉนพวกนั้นถึงต้องการสังหารข้านัก?”

จวนจนตอนนี้หลี่หวงก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี

“เหตุผลมีสองประการ ข้อแรกเจ้ามีหมั้นหมายกับองค์ชายเก้า และอีกข้อก็คือสี่ตระกูลใหญ่กำลังจะมีงานประลองจัดอันดับในเร็วๆ นี้ หากสามารถตัดไฟตั้งแต่ต้นลมโดยการกำจัดทายาทสายตรงของตระกูลจวิ๋นได้ ก็เท่ากับว่าตระกูลจวิ๋นจะถูกลบไปจากสี่ตระกูลใหญ่ทันทีโดยไม่ตั้งใช้ความพยายามอันใด”

“หมั้นหมาย?”

หลี่หวงถึงกับขมวดคิ้วแน่น

“แล้วข้าไปหมั้นหมายกับองค์ชายเก้าอะไรนั่นตั้งแต่เมื่อไหร่?”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด