ตอนที่53 เย่ฉาง
ตอนที่53 เย่ฉาง
ตระกูลจวิ๋นรามือจากเรื่องปกครองมานานแล้ว!
แต่ไม่ว่าผู้ใดที่กล้าพยายามควบคุมชะตากรรมของเป็นไปของตระกูลจวิ๋น พวกมันต้องไม่ตายดี แม้จะเป็นองค์จักรพรรดิก็ตาม!
“กล่าวถูกต้อง”
ผู้อาวุโสใหญ่พยักหน้าตอบ
“ยามนี้ทุกฝ่ายต่างมองตระกูลจวิ๋นเป็นศัตรู จะให้รอวันตายคงไม่มีวัน เช่นนั้นคงต้องมีแต่โต้ตอบ!”
“พวกเจ้าช่วยกันดูแลคุณหนูใหญ่และคนอื่นๆ ให้ดี เย็นวานนี้เราชายชราจะเข้าวังหลวง!”
ผู้อาวุโสใหญ่ดูเหมือนจะมีแผนการอะไรบางอย่างแล้ว เขาหันไปเอ่ยสั่งการให้เหล้าองครักษ์ปกป้องพวกหลี่หวงให้ดี
ในตระกูลจวิ๋นมีคนรับใช้น้อยมาก โดยส่วนใหญ่จะเป็นทหารเก่าจากกองทัพที่ปลดเกษียณ ดังนั้นพอทราบข่าวว่าคุณหนูใหญ่และคุณชายจิวจะกลับมา พวกเขาจึงเร่งจัดเตรียมซื้อสาวและบ่าวรับใช้มาจากตลอดทาส เพื่อมาปรนนิบัติทั้งคู่โดยเฉพาะ
หลี่หวงทราบดีว่า ยามนี้ผู้อาวุโสใหญ่น่าจะมีแผนอยู่ในใจแล้ว แต่จะอย่างไรตอนนี้นายยังไม่ค่อยเข้าใจภาพรวมของตระกูลจวิ๋น ณ ปัจจุบันชัดเจนเท่าที่ควร ดังนั้นนางจึงยังต้องขอคำแนะนำบางอย่างเพิ่มเติม
บรรดาผู้อาวุโสทั้งหลายเดินทางกลับเข้าลานอาวุโส ส่วนจวิ๋นหลี่จิวก็พาจวิ๋นอี้ไปเยี่ยมชมเรือนพัก
ลุงใหญ่อย่างจวิ๋นโม่เหวินและลุงหกอย่างจวิ๋นโม่เทียน อาสาพาหลี่หวงไปยังเรือนพักใหม่ของนาง
“หลี่หวง หกปีที่ผ่านมาคงลำบากไม่น้อย ที่เราตัดสินใจส่งเข้าออกไปจากที่แห่งนี้เพราะความจำเป็นจริงๆ หวังว่าจะไม่โทษพวกเราใช่ไหม?”
จวิ๋นโม่เหวินเอ่ยถามเจือน้ำเสียงรู้สึกผิดอย่างมาก
แต่เขากลับต้องค้นพบว่า หลานสาวของเขาคนนี้แข็งแกร่งกว่าที่คิดมากโข!
“หลี่หวงเข้าใจ”
หลี่หวงส่ายหน้าตอบและหาได้ใส่ใจกับเรื่องในอดีตอีกต่อไป และกล่าวต่อขึ้นว่า
“ระหว่างทางกลับข้ากับพี่จิวถูกลอบสังหาร ซึ่งพี่จิวคาดการณ์ว่าเป็นคนจากเมืองหลวง”
“ลอบสังหาร?! นี่มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?!”
จวิ๋นโม่เหวินร้องอุทานลั่น เขารู้สึกโมโหขึ้นในทันใด บัดซบผู้ใดกับที่บังอาจคิดกล้าสังหารทายาทตระกูลจวิ๋น?
“เรื่องนี้ข้าจะไปไถ่ถามกับหลี่จิวอีกคราหนึ่ง น้องหก เจ้าพาหลี่หวงไปเรือนพักก่อนเถิด”
จวิ๋นโม่เหวินไม่สามารถทนอยู่เช่นนี้ต่อไปได้อีก ไม่ว่ายังไงเขาจะต้องสืบหาความจริงของเรื่องดังกล่าวให้จงได้!
เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงทายาทตระกูลสายตรง ดังนั้นต้องระวังเป็นพิเศษ!
เมื่อเห็นจวิ๋นโม่เหวินสะบัดแขนเสื้อรีบวิ่งจากไป จวิ๋นโม่เทียนก็พาหลี่หวงเดินทางไปต่อ
“หี่หวง เจ้าอย่าทำตัวโดดเด่นเกินไปนัก”
จู่ๆ จวิ๋นโม่เทียนที่ปิดปากเงียบอยู่ตลอด ยามนี้ก็เอ่ยขึ้น
“หื้ม?”
หลี่หวงเงยหน้ามองลุงหกชักสีหน้าสงสัย
“ลุงหกกล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
“จวนตระกูลจวิ๋นในตอนนี้หาได้มีเพียงปัญหาภายนอกเท่านั้น”
จวิ๋นโม่เทียนเอ่ยปากเตือนอย่างมีนัย
“ลุงหกหมายถึง...ปัญหาภายในตระกูลกระมัง?”
จู่ๆ จวิ๋นโม่เทียนก็เอ่ยปากเตือนเช่นนี้ หมายความว่าภายในจวนยังมีปัญหาภายในที่น่าปวดหัวเช่นกัน?
“เจ้าเองก็ควรจะทราบดี หลังจากบิดาของเจ้าตายไปในสมรภูมิรบ ในเวลานั้นภายในตระกูลจวิ๋นก็ก่อเกิดความโกลาหลขึ้นแล้ว”
จวิ๋นโม่เทียนยังคงเอ่ยเตือนอีกฝ่ายเร้นแฝงด้วยนัยคลุมเครือ แต่หลี่หวงสามารถมองออกอย่างชัดแจ้ง ถึงเจตนาดีของอีกฝ่าย
นางพยักหน้าและจดจำเรื่องนี้ไว้ในใจ
หรือเป็นไปได้ไหมว่า...การแสดงออกของนางในวันนี้กลับถูกฝ่ายที่ไม่ชอบขี้หน้าเล็งเห็นเข้าแล้ว?
หึ! ไม่ว่าเป็นใครหน้าไหนข้าก็ไม่สน! มาหนึ่งฆ่าหนึ่ง มาสิบก็ฆ่าสิบ!
จวิ๋นโม่เทียนพาหลี่หวงตรงมายังลานกว้างด้านหลังจวน ปรากฏเป็นเรือนใหญ่งดงาม ประดับสวนบุปผาเพื่อความรื่นรมย์ ก่อนลาจากกัน เขาหมุนตัวเคลื่อนเข้ากระซิบข้างอยู่อย่างแผ่วเบาว่า
“รอบเรือนพักของเจ้ามีองครักษ์เงาคอยเฝ้าสังเกตอยู่ หากเกิดภัยอันตรายขึ้นมา จงตะโกนเรียกพวกเขาออกมาทันที จงจำไว้...ความปลอดภัยของเจ้าต้องมาเป็นอันดับแรก”
“อืม”
หลี่หวงพยักหน้าตอบสั้นๆ
จวิ๋นโม่เทียนเป็นคนที่ชอบเก็บตัว ตั้งแต่ต้นจวบจนตอนนี้ เขายังกล่าวกับหลี่หวงไม่ถึงสิบประโยคด้วยซ้ำ ทว่าเขากลับเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดยี่สิบอันดับแรกในเมืองหลวง!
แต่หลายปีมานี้พัฒนาการของระดับพลังบ่มเพาะของเขากลับช้าลงจนน่าตกใจ และค่อยๆ อยู่ห่างจากสายตาและความสนใจของผู้คนทั่วทั้งเมือง
มีความเป็นไปได้สูงว่า อีกฝ่ายจงใจปิดบังตัวตน เพื่อเป็นหนึ่งในไพ่ตายสำคัญของตระกูลจวิ๋นในยามคับขัน
“เฮ้ออ...เรื่องพรรค์นี้ยังไม่หมดสิ้นไปอีกรึ”
หลี่หวงถอนหายใจเฮือกใหญ่ เดินวนไปวนมารอบลานกว้างของตัวเอง
เรือนที่หลี่หวงอาศัยอยู่ในตอนนี้ใหญ่กว่าเรือนบุปผาโปรยปรายของตระกูลจวิ๋นในเมืองหงเฟิงไม่รู้กี่เท่า ทั้งยังมีทะเลสาบเทียมและศาลาหิน พร้อมกับสวนบุปผาขนาดใหญ่ ปิดท้ายด้วยลานฝึกยุทธ์ขนาดย่อม
นี่นับเป็นที่อยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบ
หลี่หวงพึงพอใจอย่างมาก หลังจากนั้นไม่นานก็มีสาวรับใช้จำนวนหลายคนถูกส่งเข้ามารับหน้าที่ต่างๆ ภายในเรือน แต่ละคนมุ่งมั่นทำงานที่ตัวเองได้รับมอบหมาย ไม่มีอู้เลยสักนิด
“คุณหนูใหญ่!”
ด้านนอกแต่ไกล ปรากฏองครักษ์คนหนี่งวิ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว
“มีอะไร?”
หลี่หวงเอ่ยถามกลับไปคำหนึ่ง
“คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเย่เดินทางมาขอพบ โดยบอกว่ามิได้พบเจอหน้าท่านเสียนานหลายปี ต้องการเยี่ยมเยือน!”
คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเย่?!
คนจากสี่ตระกูลใหญ่อีกแล้วเหรอ?
หลี่หวงระดมสมองพยายามนึกค้นในเศษเสี้ยวความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมโดยไว และในที่สุดก็เจอ
“เย่ฉาง?”
“ขอรับ”
องครักษ์พยักหน้าให้
“เชิญนางเข้ามาเถิด”
องครักษ์ประสานมือรับสั่งและจากออกไป
หลี่หวงอดถอนหายใจอีกระลอกมิได้ ปรากฏว่าเป็นทายาทสายตรงแห่งตระกูลเย่ เย่ฉาง!
เพื่อนเล่นในวัยเด็กของนาง
และยังเป็นเพื่อนเล่นของนางเพียงคนเดียว
ในเวลานั้นความขัดแย้งระหว่างสี่ตระกูลใหญ่ยังมิได้หนักหน่วงเท่าปัจจุบัน อย่างน้อยชนวนไฟก็ยังมิได้ปรากฏขึ้นชัดเจน และเนื่องจากฮูหยินใหญ่ของตระกูลจวิ๋นและของตระกูลเย่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ทั้งสองตระกูลจึงมีปฏิสัมพันธ์อันดีในตอนนั้น...ใช่แล้วแค่ ‘ตอนนั้น’
“เจ้าคนไร้จิตสำนึก! ยังจะกล้ากลับมาอีกงั้นรึ!? หากกลับมาช้ากว่านี้อีกสักนิด คงไม่เหลือจวนจวิ๋นให้กลับอาศัยแล้วกระมัง!”
สุ้มเสียงแข็งกระด้างดังขึ้นลั่นแต่ไกล!
เย่ฉางนางนี้เป็นสตรีสายลุยตั้งแต่เด็ก ไม่ค่อยมีความละเอียดอ่อนดั่งเด็กสาวทั่วไป ดังนั้นแค่ได้ยินเสียงจึงสามารถแยกแยะได้แล้ว
“เดี๋ยว? เจ้าหายไปแค่หกปีเองมิใช่รึ?”
เย่ฉางที่ตรงเข้ามาในลานกว้างหน้าเรือนพักของหลี่หวง ถึงกับเบิกตาโตเท่าไข่ห่านด้วยความตะลึง เดินวนไปเวียนมาโคจรรอบตัวหลี่หวงอยู่หลายรอบ
“เดี๋ยวนี้หัตถกรรมการตกแต่งใบหน้ามันพัฒนาก้าวไกลขนาดนั้นเชียว? ถึงเปลี่ยนโฉมเจ้าได้ราวกับหลังบาทาเป็นหน้ามือ?”
“หยุดเดินวนได้แล้ว ข้าเวียนหัว! และข้าก็มิได้ไปทำอะไรมาทั้งสิ้น!”
หลี่หวงสั่งให้นางหยุดเดินวนไปเวียนมาเสียที
“ห่ะ? เดี๋ยวนี้เจ้ากล้าพูดกับข้าขนาดนี้แล้วรึ! หลายปีมานี้เจ้ามิได้ไปเสียเปล่าจริงๆ! กลับมาพร้อมความหยิ่งผยองมาเต็มเปี่ยม!”
เย่ฉางกล่าวประชดประชันอีกฝ่ายตอบ
หลี่หวงกลอกตามองบนใส่อีกฝ่ายด้วยความรำคาญเล็กน้อย
“แล้วเจ้ามาทำอันใดที่นี่?”
หลี่หวงชำเลืองหางตามอง แววตาเปี่ยมล้นไปด้วยความรังเกียจ
เย่ฉางเป็นหญิงสาวที่จัดอยู่ในประเภทหน้าตาดี แต่ไม่ถึงขั้นงดงามปานนั้น ทว่าเนื่องจากมีสายเลือดที่ค่อนข้างดีอยู่ในตัว ทำให้เรือนร่างของนางค่อนข้างน่ามองมีเสน่ห์ หน้าอกหน้าใจใหญ่โตแต่เด็ก ชายใดเห็นต่างต้องหลงใหล
ผนวกกับนิสัยเพิ่งได้ใจถึงของเย่ฉาง ไม่ว่าสาวน้อยนางนี้จะเดินไปไหนมาไหนก็ล้วนแต่เป็นที่ชื่นชอบของทุกคน
เพียงแค่หลี่หวงผู้ซึ่งเจริญแล้วทางด้านสติปัญญา ไม่อยากคบหากับนางเท่าไหร่นัก
คบกับนางราวกับคบคนสติไม่เต็ม
“เดี๋ยว! เดี๋ยว! สายตาแบบนั้นมันอะไรห๊ะ?! ไฉนมองข้าแบบนี้! ข้าอุตส่าห์ใจดีมีเมตตา รีบมาเยี่ยมเยือนเจ้าโดยไม่สนคำคัดค้านจากคนในตระกูล แต่เจ้ายังกล้าส่งสายตารังเกียจข้าอีกงั้นรึ?!!”
เย่ฉางชี้หน้าหลี่หวงตวาดขึ้นเจือน้ำเสียงหงุดหงิดขึ้นมาทันควัน
“เปล่าหนิ ก็ไม่เชิงรังเกียจ”
หลี่หวงกล่าวตอบไปตามตรง
แต่ในทางตรงข้าม ความหวาดระแวงภายในใจของหลี่หวงกลับค่อยๆ คลายตัวลง เย่ฉางนางนี้ไม่ได้เหมือนกับซูฟางหรือชายหนุ่มจากตระกูลฉินคนนั้น ที่เหมือนจะสวมหน้ากากเข้าหา ทว่านางตรงหน้ากลับเป็นคนตรงไปตรงมา ออกแนวพูดจาขวานผ่าซากซะด้วยซ้ำ
ดังนั้นแล้ว อย่างน้อยที่สุด เย่ฉางนางนี้ก็หาใช่บุคคลที่มีเจตนาเร้นแฝงกับนาง
“ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลย!”
เย่ฉางพ่นลมหายใจระบายออกจากจมูกฮึดฮัด แต่ทันใดนั้นน้ำเสียงของนางพลันเปลี่ยนไปทันใด
“ตลอดทางกลับคงเกิดเรื่องขึ้นไม่น้อยเลยใช่หรือไม่?”
หลี่หวงสูดลมหายใจแช่มลึกขึ้นทีหนึ่ง และเอ่ยน้ำเสียงสงบนิ่งตอบกลับไปว่า
“ถูกลอบสังหารครั้งหนึ่ง”
“ลอบสังหาร!! ให้ตายเถอะ!”
เย่ฉางสบถด่าออกมา จากนั้นก็ค่อยๆ สอดมือเรียวยาวทั้งสองข้างเข้าสวมกอดเอวของหลี่หวง ก่อนจะเริ่มลูบไล้ไปมาด้วยความเป็นห่วง น้ำเสียงจากแข็งกระด้างกลายมาเป็นอ่อนนุ่มน่าฟังขึ้นหลายส่วน
“เจ้ามิได้บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหม?”
“ไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่บาดแผลเล็กๆ น้อยๆ ….พอแล้ว! จะกอดข้าไปถึงเมื่อไหร่!”
หลี่หวงใช้มือผลักอีกฝ่ายออกห่างในทันใด นางไม่ชอบให้ใครมาแตะเนื้อต้องตัวแบบนี้
“ก็ข้าเป็นห่วง... หลายวันมานี้เจ้าต้องระวังตัวให้ดีหลี่หวง!”
เย่ฉางบุ้ยปากเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเตือนน้ำเสียงจริงจังอย่างมาก
“แผนการลอบสังหารเจ้าในช่วงหลายวันก่อน มีตระกูลเย่ ตระกูลซูและตระกูลฉินอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น และข้าเองก็ไม่ทราบว่าเจ้าเผชิญหน้ากับนักฆ่ากลุ่มไหน ยังไงซะปลอดภัยกลับมาก็ดีแล้ว แต่มันยังไม่จบง่ายๆ ดังนั้นเจ้าต้องระวังตัว!”
เย่ฉางมิได้มีเจตนาโกหกหรือเลี่ยงวลีใดๆ ต่อหน้าหลี่หวงเลย ขอเพียงอีกฝ่ายปลอดภัยก็เพียงพอแล้ว
“แล้วไฉนพวกนั้นถึงต้องการสังหารข้านัก?”
จวนจนตอนนี้หลี่หวงก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
“เหตุผลมีสองประการ ข้อแรกเจ้ามีหมั้นหมายกับองค์ชายเก้า และอีกข้อก็คือสี่ตระกูลใหญ่กำลังจะมีงานประลองจัดอันดับในเร็วๆ นี้ หากสามารถตัดไฟตั้งแต่ต้นลมโดยการกำจัดทายาทสายตรงของตระกูลจวิ๋นได้ ก็เท่ากับว่าตระกูลจวิ๋นจะถูกลบไปจากสี่ตระกูลใหญ่ทันทีโดยไม่ตั้งใช้ความพยายามอันใด”
“หมั้นหมาย?”
หลี่หวงถึงกับขมวดคิ้วแน่น
“แล้วข้าไปหมั้นหมายกับองค์ชายเก้าอะไรนั่นตั้งแต่เมื่อไหร่?”