ตอนที่52 จวนตระกูลจวิ๋น
ตอนที่52 จวนตระกูลจวิ๋น
หลี่หวงมองชายร่างสูงทั้งสองกำลังก่อสงครามน้ำลายใส่กันอย่างเงียบงัน บทสรุปไม่มีใครแพ้หรือชนะ ทว่าต่างคนต่างหันหลังใส่กันและแยกย้ายเดินกลับบ้านของตัวเอง!
“พี่จิว ชายคนนั้นคือ...”
“พวกตระกูลฉิน”
จวิ๋นหลี่จิวพ่นลมหายใจออกมาทีหนึ่งอย่างหงุดหงิด
“หากมิใช่ว่าองค์จักรพรรดิสั่งมิให้พวกเราสี่ตระกูลใหญ่ทะเลาะกันเอง ข้าคงไม่เสียเวลาอยู่ร่วมกับพวกมันหรอก! วันๆ เอาแต่เดินเตร่สร้างปัญหาให้คนไปทั่ว น่ารำคาญเหลือเกิน”
จวิ๋นหลี่จิวมีนิสัยค่อนข้างสบายๆ แต่ใครก็ตามอย่าหาเรื่องทะเลาะกับเขาเด็ดขาด โดยเฉพาะเวลาเมาขึ้นมาที เอ่ยปากด่าผู้คนจนไฟแลบ! แล้วหมอนั่นก็มักจะชอบก่อสงครามน้ำลายกับตนอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเป็นอะไรที่น่าเบื่ออย่างยิ่ง
หลี่หวงเองก็รู้สึกเห็นด้วยไม่ต่าง การก่อสงครามน้ำลายมันไม่ได้ง่ายเหมือนการต่อสู้กันทางกายภาพ
หลี่หวงลองนึกภาพตาม ถ้าเจอคนแบบนี้เข้ามาหาเรื่องก่อกวนอยู่ไม่เว้นวาย เป็นนางเองก็คงรำคาญไม่ต่าง หรือไม่ก็ยัดพิษเข้าปากให้เป็นใบ้ไปเลยเสีย
“รีบกลับจวนเถอะ ไม่อยากเชื่อเลยว่า เพิ่งเข้าเมืองมาไม่ทันไรก็เจอคนหาเรื่องเสียแล้วจริงๆ!”
จวิ๋นหลี่จิวรู้สึกกังวลอย่างบอกไม่ถูก ถ้าเจอคุณชายจากตระกูลเย่อีกคนเดียว วันนี้คงกลายมาเป็นงานพบปะของคุณชายจากสี่ตระกูลใหญ่กระมัง
หลี่หวงพยักหน้าและรีบเดินตามจวิ๋นหลี่จิวเข้าไป
“คุณชายจิวกลับมาแล้ว!”
เมื่อตรงเข้ามาถึงประตูจวนใหญ่แห่งตระกูลจวิ๋น เหล่าองครักษ์เฝ้าหน้าประตูต่างเอ่ยเสียงร้องด้วยความตื่นเต้น
สายตาของพวกเขาเหล่านั้นจับจ้องไปทางจวิ๋นหลี่จิวประหนึ่งเห็นผู้กอบกู้!
“อืม ข้ากลับมาแล้ว!”
จวิ๋นหลี่จิวระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น ก่อนจะชี้ไปยังหลี่หวงที่อยู่เคียงข้างพร้อมกล่าวขึ้นว่า
“คุณหนูใหญ่ก็กลับมาแล้วเช่นกัน!”
เหล่าองครักษ์ทั้งหมดทั้งมวลถึงกับละสายตาจากจวิ๋นหลี่จิวหันควับจ้องนางเขม็ง สตรีนางนี้ช่างงดงามประดุจเทพธิดา หากเปรียบเทียบกับโฉมหน้าในอดีตของคุณหนูใหญ่ซึ่งเป็นดั่ง ‘ลูกเป็ดขี้เหร่’ ช่างแตกต่างจากกับฟ้ากับเหว!
นี่ นี่...นี่ใช่คุณหนูใหญ่ของพวกเขาจริงรึ?!!
เป็นไปได้อย่างไรกัน?
หรือสายเลือดในกายนางเกิดวิวัฒนาการกระมัง?
ไฉนถึงงดงามขึ้นผิดหูผิดตาราวกับคนละคน!
หลี่หวงยิ้ม
“ข้ากลับมาแล้ว”
เหล่าองครักษ์ตื่นจากภวังค์ทันใด ใช่แล้ว! นี่แหละน้ำเสียงของคุณหนูใหญ่ของพวกตนไม่ผิดแน่! แม้เวลาผ่านไปแต่สุ้มเสียงยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง!
สุดยอด! ในที่สุดคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลจวิ๋นก็กลับมาแล้ว! แถมยังกลายมาเป็นสาวน้อยผู้งดงามเกินบรรยาย!
“คุณชายจิวยินดีต้อนรับกลับ! คุณหนูใหญ่ยินดีต้อนรับกลับ!”
เหล่าองครักษ์ต่างรีบวิ่งเชื้อเชิญพวกเขาเข้ามาในจวนหลักพลางตะโกนเสียงดังลั่น
หลี่หวงกับหลี่จิวหันมามองหน้ากันเล็กน้อย ต่างฝ่ายต่างเห็นสายตาของกันและกันที่รู้สึกเสมือนไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
คนพวกนี้ปฏิบัติกับพวกตนราวกับสมบัติล้ำค่า! ติดตามเข้ามาอารักขาอำนวยความสะดวกไม่เว้นวาย
แต่ถึงแบบนั้น...หลี่หวงก็รู้สึกปลื้มใจเป็นอย่างมาก กวาดสายตามองโดยรอบ นี่หรือตระกูลจวิ๋นสาขาหลัก?
นางอำลาบ้านเกิดนานถึงหกปีเต็ม!
พริบตาเดียว บรรยากาศภายในจวนหลักแปรเปลี่ยนเป็นความครึกครื้นชั่วขณะ พอผู้อาวุโสใหญ่และเหล่าอาวุโสคนอื่นๆ ได้ยินว่า คุณชายจิวกับคุณหนูใหญ่กลับมาถึงแล้ว ทั้งหมดก็แห่รุดตรงไปยังโถงหลักโดยเร็วที่สุด
“หลี่จิว! ยินดีต้อนรับกลับ!”
ผู้อาวุโสใหญ่ตบแขนของจวิ๋นหลี่จิวไปหนึ่งทีอย่างแรงด้วยความคิดถึง เขารู้สึกปลื้มใจเป็นอย่างยิ่งที่อีกฝ่ายกลับมา
มีเพียงจวิ๋นหลี่จิวคนเดียวเท่านั้นที่สามารถประคองสถานการณ์ของตระกูลจวิ๋นในตอนนี้ได้!
“ท่านอาวุโสใหญ่ นี่คือน้องสาวข้าเอง! ท่านจำได้หรือไม่?”
จวิ๋นหลี่จิวช่วยประคองร่างของผู้อาวุโสใหญ่ที่สูงวัยมากแล้ว พลางผายมือไปที่หลี่หวง
“หลี่หวง เจ้าคือจวิ๋นหลี่หวง!”
ผู้อาวุโสใหญ่ตรงมาจับจ้องใบหน้าหลี่หวงสักครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยความดีอกดีใจว่า
“ดี! ดีมาก! ดีมาก! คุณหนูใหญ่กลับมา พวกเราเห็นความหวังแล้ว!”
ผู้อาวุโสใหญ่ระเบิดหัวเราะเสียงดัง สีหน้าเปี่ยมสุขเหลือล้น!
“คารวะท่านอาวุโสใหญ่”
หลี่หวงประสานมือคำนับอีกฝ่ายอย่างว่านอนสอนง่าย
“นั่นหลี่หวงจริงๆ!”
“หลี่หวง...เจ้าเปลี่ยนไปมากจริงๆ!”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว!”
“ฮ่าฮ่า! ทายาทตระกูลจวิ๋นของเราจะไปอ่อนด้อยกว่าพวกเศษสวะสามตระกูลพวกนั้นได้อย่างไร! พวกเจ้าว่าจริงหรือไม่!”
“เป็นเรื่องจริง! ทายาทของพวกเรามิได้เป็นรองแม้สักนิด!”
จากนั้นบรรดาผู้อาวุโสทั้งหลายต่างระเบิดเสียงหัวเราะกันสุขสันต์
หลี่หวงยิ้มและค่อยๆ นึกย้อนกลับไปเพื่อรื้อฟื้นว่าแต่ละคนคือใคร
“คารวะผู้อาวุโสรอง ผู้อาวุโสสาม ลุงใหญ่ ลุงหก...”
“เด็กดี เด็กดี…”
กลุ่มผู้เฒ่ารุ่นอาวุโสต่างลูบเคราตนเองด้วยความพึงพอใจ ก่อนหน้านี้พวกเขาจำได้แม่นว่า คุณหนูใหญ่มีใบหน้าที่ค่อนข้างอัปลักษณ์ แถมยังไม่มีระดับพลังบ่มเพาะ
ทว่าคุณหนูใหญ่ในตอนนี้กลับแตกต่างจากโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงความงดงามเท่านั้น แต่นางยังมีระดับพลังบ่มเพาะแล้ว!
ดูนัยน์ตาคู่สีม่วงนั่นสิ! ช่างเปล่งประกายเจิดจรัสยิ่งกว่าทั้งมวล!
สวรรค์ยังมีตา! ชะตากรรมของตระกูลจวิ๋นยังคงรักษาต่อไป!
“เร็วเข้า เร็วเข้า เข้ามาข้างในก่อนเถิด ยืนอยู่หน้าโถงเช่นนี้เดี๋ยวเป็นหวัดเอาได้!”
ผู้อาวุโสใหญ่เคาะไม้เท้าสองสามครา เพื่อเป็นสัญญาณให้ทุกคนเงียบก่อน จากนั้นก็พาจวิ๋นหลี่จิวกับจวิ๋นหลี่หวงเดินเข้าไปด้านในราวกับสมบัติล้ำค่า
“แล้วเด็กคนนี้เป็นใครกันล่ะ?”
ผู้อาวุโสใหญ่ที่เหลือบไปเห็นจวิ๋นอี้ก็เอ่ยถามขึ้นทันที
“เขาชื่อจวิ๋นอี้ เป็นบุตรชายของจวิ๋นจ้านแห่งเมืองหงเฟิง”
หลี่หวงกล่าวแนะนำตัว
“อืม...แม้พรสวรรค์จะค่อนข้างธรรมดา แต่น่ารักน่าชังดี พาเข้ามาอยู่ด้วยกันเถอะ”
คราวนี้กลับเป็นพ่อของจวิ๋นหลี่จิวที่หัวเราะพลางกล่าวต้อนรับ
เยาวชนของตระกูลจวิ๋นที่รุ่นราวคราวเดียวกับจวิ๋นอี้มีไม่ค่อยมากนัก
ดังนั้นระหว่างเดินเข้ามาด้านใน ทุกคนจึงเอ่ยปากพูดคุยกับจวิ๋นอี้ไม่มีเว้นช่องไฟ
จวิ๋นอี้ถูกทุกคนเอ่ยถามถึงความเป็นมาต่างๆ นาๆ
คนพวกนี้ดูจะชื่นชอบเขาเป็นอย่างมาก
และในอนาคตต่อไป พวกเขาก็คือครอบครัวเดียวกันแล้ว
จวิ๋นอี้รู้สึกมีความสุขอย่างมาก ดวงตาที่หม่นหมองของเขายามนี้ได้เปล่งประกายขึ้นมาอีกครั้ง!
“จริงสิ ท่านปู่ล่ะ? ไฉนถึงไม่เห็นท่านปู่ออกมาต้อนรับเลย คิดถึงเสียแย่แล้ว!”
จวิ๋นหลี่จิวค่อนข้างแปลกใจไม่น้อย จนท้ายที่สุดอดใจเอ่ยถามมิได้ ตามหลักแล้ว ยามนี้ตนกลับมา คนที่วิ่งออกมาหาคนแรกกลับเป็นใครอื่นไปมิได้น้อยจาก ท่านประมุขตระกูลหรือก็คือท่านปู่ของเขานั่นเอง
“ท่านประมุข...เอ่อ...”
ผู้อาวุโสใหญ่ชะงักหยุดโดยพลัน จากที่ใบหน้ายิ้มแย้มอารมณ์ดีกลับกลายมาเป็นหมองหม่นในพริบตา
“เกิดอะไรขึ้นกับท่านปู่?!”
จวิ๋นหลี่จิวกวาดสายตามองสีหน้าของทุกคนที่แปลเปลี่ยนไป
“ท่านประมุขตระกูลถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินของวังหลวง...นี่ก็ผ่านมาเจ็ดวันแล้ว”
ผู้อาวุโสใหญ่าเอ่ยขึ้นอย่างแช่มช้า
“บัดซบตัวใดมิทราบบังอาจเป่าหูฝ่าบาทบอกว่า ท่านประมุขตระกูลของเราคิดก่อการกบฏ แล้วพวกเจ้าเองก็ควรทราบว่า ฝ่าบาทมีนิสัยขี้ระแวงเป็นทุนเดิม พอได้ทราบดังนั้นจึงส่งคนมาจับกุมท่านประมุขตระกูลไปโดยตรง...”
“ยิ่งไปกว่านั้น...กองกำลังของตระกูลจวิ๋นของเราก็ถูกถอดถอนไปกว่าครึ่ง โดยมีคำสั่งว่า กลุ่มคนที่ถูกถอดถอนจะนำไปรวมกับกองทัพหลักของราชวัง ยามนี้วังหลวงไม่เห็นแม้นเงาของพวกเราตระกูลจวิ๋นอีกต่อไปแล้ว”
ผู้อาวุโสรองกล่าวต่อว่า
“อีกสามตระกูลใหญ่อาศัยจังหวะที่พวกเราอ่อนแอเข้ากดดันไม่หยุดหย่อน หากเป็นแบบนี้ต่อไป มีหวัง...ตระกูลจวิ๋นของเราคงจะถูกลบเลือนไปในไม่ช้า...”
หลี่หวงใจสั่นระรัวทันทีที่ได้ยิน นางไม่คิดเลยว่าตระกูลจวิ๋นในตอนนี้จะอยู่ในสถานการณ์อันตรายปานนี้!
“เพราะแบบนี้แหละ พวกเราจึงรีบส่งพิราบไปหาหลี่จิวเพื่อให้รีบพาหลี่หวงกลับมา ทว่าใครจะไปคิด...นี่กลับไม่ทันเสียแล้ว”
อิทธิพลอำนาจของตระกูลจวิ๋นในยามนี้ค่อนข้างอ่อนแอมากจริงๆ
หลี่หวงถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
“ฝ่าบาททรงวางแผนอะไรอยู่กันแน่?”
จวิ๋นโม่เหวินผู้ซึ่งเป็นลุงใหญ่ของหลี่หวง และก็ยังเป็นพ่อของหลี่จิวอีกด้วยได้กล่าวว่า
“ไม่มีใครทราบว่าฝ่าบาทคิดทำการอันใดอยู่ แต่จากการสันนิษฐาน บางทีตัวต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดอาจจะมีสามตระกูลใหญ่อยู่เบื้องหลัง”
หลี่หวงแสยะยิ้มมุมปากทันทีและเดินเข้าไปหาทุกคนพร้อมกล่าวว่า
“หากฝ่าบาทยังยืนกรานที่จะปราบปรามตระกูลจวิ๋นของเรา เช่นนั้นเราคงต้องตอบโต้กลับเช่นกัน!”
ทุกคนในที่แห่งนี้ต่างตะลึงงันยกใหญ่ แต่ละคนต่างจับจ้องไปที่สาวน้อยที่อยู่หน้าทางเดินโถงเจือสีหน้าประหลาดใจยิ่ง นี่คือคุณหนูใหญ่ที่พวกตนเคยรู้จักจริงๆ รึ?
วาจาขวานผ่าซากขนาดนี้ นางกลับกล่าวออกมาได้โดยง่าย!
“ฮ่าฮ่าๆๆๆ! พี่จิวคนนี้ขอสนับสนุนอีกแรง!”
จวิ๋นหลี่ระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น เพราะชอบใจในความเด็ดเดี่ยวของน้องสาวตนเอง
“หลี่จิว ไฉนเจ้าถึงส่งเสริมให้เกิดเรื่องวุ่นวาย น้องหลี่หวงยังเด็กจึงไม่ค่อยรู้ความ แต่เจ้านี่สิ...ไฉนถึงเหลวไหลแบบนี้?”
จวิ๋นโม่เหวินขมวดคิ้วแน่น เอ่ยปากตำหนิลูกชายของตัวเองทันที
“ท่านลุง ข้ามิได้ไม่รู้ความ”
หลี่หวงคลี่ยิ้มบาง พลางเหลือบสายตามองไปทางทิศที่ตั้งของวังหลวง และเอ่ยอธิบายขยายความอย่างช้าๆ ให้ทุกคนฟังว่า
“ตระกูลจวิ๋นเสนอตัวรับใช้เพียงจักรพรรดิผู้มีคุณธรรมนำจิตใจเท่านั้น หากจักรพรรดิผู้นั้นไร้ซึ่งปัญญา และความเที่ยงธรรม และยังสังหารขุนนางผู้ภักดี พวกเราที่ให้การรับใช้จักรพรรดิเช่นนี้นับเป็นความอัปยศอดสูของตระกูลจวิ๋น”
จวิ๋นโม่เหวินคล้ายจะต้องการอ้าปากเอ่ยกล่าวอะไรออกมาสักอย่าง ทว่าสุดท้ายก็พูดไม่ออก เพราะคำกล่าวของหลี่หวงประโยคนี้ทำให้เขานึกย้อนไปถึง คำสั่งสอนของบรรพชนของตระกูลจวิ๋น
ความเด็ดเดี่ยวและสุขุม คุณสมบัติเช่นนี้มีเพียงขุนศึกเท่านั้นที่ครอบครอง
บุคคลผู้มีหัวคิดเด็ดขาดเช่นนี้ ชั่วชีวิตของพวกเขาทั้งหมดเคยเพียงแค่สองคนเท่านั้น
คนแรกคืออดีตประมุขตระกูลจวิ๋นสองรุ่นก่อนของพวกเขา นามขาน มหาเทพสงครามในตำนาน จวิ๋นปิง และอีกคนก็คืออดีตประมุขตระกูลจวิ๋นรุ่นก่อนผู้ซึ่งล่วงลับไปแล้ว จวิ๋นโม่เสี่ยว หรือก็คือพ่อของหลี่หวง
ตอนนี้พวกเขาราวกับเห็นเงาร่างของจวิ๋นโม่เสี่ยวทับซ้อนกับหลี่หวงในปัจจุบัน นางอายุแค่สิบสามปีเท่านั้น แต่กลับมีเจตจำนงที่ร้อนแรงปานนี้แล้ว
“แต่หลี่หวง อาศัยความแข็งแกร่งของตระกูลจวิ๋นยามนี้ พวกเราอ่อนด้อยกว่าตระกูลหลิงของฝ่าบาทมากนัก”
ผู้อาวุโสใหญ่กล่าวเตือนขึ้นทันที
หลี่หวงคลี่ยิ้มบางพลางตอบไปว่า
“นี่หาใช่ทำเพื่อโค่นล้มการปกครองของตระกูลหลิง แต่เป็นการบีบให้ฝ่าบาทองค์ปัจจุบันสละบัลลังก์ และหาเชื้อพระวงศ์องค์ใหม่ในตระกูลหลิงผู้มีคุณธรรมขึ้นครองราชย์แทน!”
“ตระกูลจวิ๋นมิได้ขึ้นเป็นเชื้อราชวงศ์มาก็หลายรุ่นแล้ว ระดับชั้นพลังยุทธ์ก็อ่อนด้อยกว่า ข้าไม่คิดถึงขนาดนั้นอยู่แล้ว”