ตอนที่51 ตระกูลผู้เด่นด้านสมุนไพร
ตอนที่51 ตระกูลผู้เด่นด้านสมุนไพร
“หากเช่นนั้นค่อยไปยังมิสาย ถึงยังไงเสียข้ามิได้กลับมาเมืองหลวงเสียนานแล้ว เช่นนั้ขอเดินเล่นสักเที่ยวหนึ่งก่อน”
หลี่หวงกล่าวน้พเสียงเฉยเมย เมืองหลวงในปัจจุบันแตกต่างไปจากเมืองหลวงในเศษเสี้ยวความทรงจำของนางอย่างมาก
ใช่แล้ว ก็ผ่านมาตั้งหกปี ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา
แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้
ต้องกล่าวก่อนว่า สมแล้วที่เป็นเมืองหลวง เมื่อเปรียบเทียบกับเมืองราชาภูตแล้ว เสมือนกับว่าเมืองราชาภูตเป็นบัวตมปราศจากสีสัน ทว่าเมืองหลวงกลับเป็นดอกบัวที่บานสะพรั่งแล้ว
จวิ๋นหลี่จิวพาจวิ๋นอี้และหลี่หวงเดินเตร่ไปตามท้องถนนภายในเมืองหลวง แม้ว่าฝูงชนที่เดินผ่านไปมาจะมีแอบชำเลืองมองรูปลักษณ์ของทั้งสามบ้าง แต่เนื่องจากสถานะของประชากรในเมืองหลวงจะอยู่ค่อนข้างสูง จึงหาได้พูดจาอะไรกันมาก มีเอ่ยชื่นชมเพียงคำสองคำและเดินไปทำธุระที่ควรทำต่ออย่างสำรวม
“น้องหลี่หวง เบื้องหน้าเป็นย่านการค้าของสี่ตระกูลใหญ่”
จวิ๋นหลี่จิวทอดสายตามองไปยังถนนเบื้องหน้าที่ดูแตกต่างจากย่านอื่นๆ โดยสิ้นเชิง และหันมากล่าวกับหลี่หวงต่อว่า
“ถนนทางด้านขวาจะเป็นของตระกูลจวิ๋น”
หลี่หวงเหลือบสายตามองไปทางถนนด้านขวามือทันที แม้จะเห็นเพียงส่วนแรกสุดของต้นสายถนน แต่เพียงเท่านี้ก็สามารถกล่าวได้แล้วว่า ถนนเส้นนี้มันหรูหรามากเพียงใด การตกแต่งจะเน้นไปทางสีอบอุ่นเป็นหลัก เพียงได้เห็นก็รู้สึกผ่อนคลายน่าเดินเข้าไปอย่างยิ่ง
แต่ในทางตรงข้าม ถนนอีกสามสายตรงหน้าก็งดงามไม่แพ้กัน! แต่จะว่าอย่างไรดี กลับเป็นย่านถนนของตระกูลจวิ๋นที่มีฝูงชนเดินน้อยที่สุด แตกต่างจากอีกสามสายที่ยามนี้ค่อนข้างชุกชุม!
“ตระกูลจวิ๋นคงถูกลดทอนอำนาจไม่น้อยเลยกระมัง?”
หลี่หวงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“สี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวง ตระกูลจวิ๋นของเราคือผู้นำ และตามมาด้วยอีกสามตระกูลที่เหลือได้แก่ ตระกูลเย่ ตระกูลซู และตระกูลฉิน ในอดีตทั้งธุรกิจด้านโอสถ วรรณกรรมและอื่นๆ พวกเราตระกูลจวิ๋นเหนือกว่าอีกสามตระกูล ทว่าในปัจจุบันกลับไม่ใช่แบบนั้นแล้ว”
จวิ๋นหลี่จิวกล่าวอธิบาย
หลี่หวงพยักหน้าตอบ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมตระกูลจวิ๋นถึงได้ตกต่ำลงแบบนี้ สมาชิกในตระกูลจวิ๋นโดยส่วนใหญ่ไม่ใช่พวกยอดฝีมือที่มีพรสวรรค์ด้านการบ่มเพาะพลัง ดังนั้นเรื่องความปลอดภัยจึงมีความไว้วางใจน้อยที่สุด ส่งผลให้ถนนสายนี้ค่อนข้างโล่ง ไม่ค่อยมีใครจับจ้องตั้งร้านค้าขายเท่าไหร่นัก
“พวกเราไปดูถนนสายนี้กันเถอะ!”
หลี่หวงชี้นิ้วไปยังถนนสายหนึ่งที่อยู่ตรงกลาง มองจากระยะไกลจะเห็นผืนธงขนาดใหญ่ปลิวไสว ซึ่งเป็นธงสัญญาลักษณ์ของตระกูลซู
จวิ๋นหลี่จิวพยักหน้าโดยไม่คัดค้านใด จากนั้นก็จูงมือจวิ๋นอี้เดินติดตามหลี่หวงไป
หลี่หวงเดินสำรวจตามท้องถนนสายใน ต้องกล่าวเลยว่า สมแล้วที่เป็นตระกูลซูผู้โดดเด่นในด้านโอสถแห่งยุค ทั่วทั้งสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านขายสมุนไพร แค่ย่างกรายเข้ามาในถนนเส้นนี้ก็ได้กลิ่นสมุนไพรสุคนรสหอมโชยขึ้นจมูก
ทักษะทาบงการแพทย์ของจวิ๋นหลี่จิวถือได้ว่าประสบความสำเร็จแค่ขั้นพื้นฐานเท่านั้น แต่จะอย่างไรก็ไม่ได้ชื่นชอบหรือมีงานอดิเรกเกี่ยวกับสมุนไพรเป็นพิเศษ ดังนั้นเขาจึงไม่เข้าใจเลยว่า ไฉนหลี่หวงถึงต้องดูตื่นตาตื่นใจตลอดเวลาแบบนี้ด้วย มองซ้ายก็ตาเป็นประกาย มองขวาก็จ้องเขม็งตาเป็นมันวิบวับ หรือสมุนไพรในที่แห่งนี้ล้วนแต่เป็นของหายาก?
จวิ๋นอี้เองก็ไม่ได้เอ่ยปากคัดค้านอะไร เขายังคงเดินจูงมือกับจวิ๋นหลี่จิวอย่างเงียบๆ
ทุกครั้งที่หลี่หวงแวะเข้าไปในร้านขายสมุนไพร นางจะเดินออกมาพร้อมกับสมุนไพรจำนวนหนึ่ง แม้จะไม่มากนัก แต่ทุกครั้งที่ซื้อขึ้นมาล้วนแต่เป็นของชั้นดี!
หญ้ามรกตเลือดอายุห้าสิบปี หญ้าเขากวางอายุสามสิบปี และอื่นๆ อีกมากมาย
ขนาดบรรดาเถ้าแก่ในร้านขายสมุนไพรยังแอบประหลาดใจ ทั้งๆ ที่สาวน้อยคนนี้ไม่มีใบรายการสั่งยา แต่กลับเลือกซื้อแต่สมุนไพรชั้นดีได้ เลือกหยิบได้อย่างแม่นยำ พบเห็นภาพฉากนี้ช่างน่าทึ่งโดยแท้
“คุณชายใหญ่!”
ถ้าแก่ร้านขายสมุนไพรที่เพิ่งต้อนรับหลี่หวง คล้อยหลังมองนางที่กำลังเดินจากไป ทันทีทันใดพลันพบว่า คุณชายใหญ่ผู้เป็นนายเหนือหัวกำลังยืนเฝ้ามองเหตุการณ์ทั้งหมดจากด้านหลัง หันควับมาเห็นก็อดสะดุ้งตกใจมิได้
“ชายหนุ่มคนนั้นซื้ออะไรไปบ้าง?”
ชายหนุ่มหน้าหยกสวยที่ถูกเถ้าแก่เรียกขานว่า คุณชายใหญ่ ได้เอ่ยถามขึ้นประโยคหนี่ง
“หญ้าเพลิงอายุยี่สิบปี กับเกล็ดเหมันต์เดือนหกอายุแปดสิบปี”
เถ้าแก่ร้านเอ่ยตอบไปตามความจริง
ชายหนุ่มคนดังกล่าวหลี่ตาแคบลงทันใด รำพึงเสียงเบาเอ่ยขึ้นว่า
“งั้นรึ...”
เถ้าแก่ร้านย่อมไม่เข้าใจความหมายของคุณชายใหญ่ผู้นี้ ชั่วขณะที่กำลังอ้าปากต้องการเอ่ยถามให้ชัดแจ้ง ทว่าคุณชายใหญ่ของเขากลับหายวับลับสายตาไปเสียแล้ว
“พวกท่านทั้งสามโปรดหยุดก่อน!”
หลี่หวงที่เพิ่งก้าวออกจากร้านสมุนไพรร้านสุดท้าย และกำลังจะเดินทางกลับไปยังจวนตระกูลจวิ๋นพลันชะงักฝีเท้าลงทันที
หลี่หวงและคนอื่นๆ ต่างเหลียวหลังกลับมามองต้นเสียงด้วยความงุนงง ก่อนจะพบว่าต้นเสียงที่เรียกคือชายหนุ่มหน้าตางดงามในชุดผ้าไหมหรูหรา กำลังเดินตรงเข้ามาทางนี้
จวิ๋นหลี่จิวถึงกับเลิกคิ้วโดยไม่ตั้งใจ ปรากฏว่าเป็นหมอนี่?
เป็นที่ชัดเจนว่า เขารู้จักชายหนุ่มคนนี้
“มีอะไร?”
หลี่หวงเอ่ยถามน้ำเสียงเรียบ
ชายหนุ่มตรงเข้าไปหยุดตรงหน้าทั้งสามพร้อมโค้งศีรษะให้อย่างสุภาพ จากนั้นค่อยเอ่ยขึ้นว่า
“พวกท่านทั้งสามคงเป็นแขกจากภายนอก เข้ามาเยี่ยมเยือนร้านขายสมุนไพรภายใต้อาณาเขตของตระกูลซูนับว่าเป็นเกียรติยิ่งนัก ไม่ทราบว่าพึงพอใจกันหรือไม่?”
“อืม”
หลี่หวงมิได้ตอบปฏิเสธ เพียงพยักหน้าให้เท่านั้น
“เช่นนั้นข้าขอเสียมารยาทสอบถามพวกท่านได้หรือไม่ว่า ในบรรดาพวกท่านทั้งสามมีนักหลอมโอสถอยู่หรือไม่? สนใจที่จะร่วมมือพัฒนาธุรกิจกับตระกูลซูของเรารึเปล่า?”
แม้ว่าชายหนุ่มคนนี้จะมีท่าทีรีบร้อนใจ ทว่าโดยรวมแล้ว ทั้งกิริยาท่าทางและน้ำเสียงการพูดยังถือได้ว่า สำรวมสุภาพดีเยี่ยม
หลี่หวงค่อนข้างประทับใจเขาคนนี้อยู่บ้าง
“ท่านคิดมากเกินไป”
หลี่หวงโค้งศีรษะลงเล็กน้อยทำเชิงคารวะ
“เพียงมีงานอดิเรกชื่นชอบการเก็บสะสมสมุนไพรก็เท่านั้น”
ชายหนุ่มคนนั้นจับจ้องไปที่ใบหน้าอันละเอียดลออของหลี่หวงอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าอีกฝ่ายปราศจากสีหน้าการแสดงออกใดๆ แม้แต่ร่องรอยความประหม่ายังไม่ปรากฏให้เห็น พอพบเจอเช่นนี้เขาก็ตะลึงงันเล็กน้อย
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่มีคนพบเจอกับเขาโดยไม่เอ่ยถามถึงสถานะและเลือกที่จะปฏิเสธทุกอย่าง
ผ่านไปชั่วครู่ใหญ่ เขากลับมาได้สติอีกครั้งและกล่าวน้ำเสียงเชิงขอโทษว่า
“อยู่ๆ ข้าก็เข้ามารบกวนเช่นนี้ ต้องขออภัยเป็นอย่างสูง เชิญเที่ยวชมต่อเถิดพวกท่าน”
หลี่หวงชื่นชมผู้ที่รู้จักกาลเทศะเฉกเช่นนี้มาก ไม่ทราบว่าฝีมือความแกร่งกล้าอยู่ในระดับชั้นใด แต่ที่แน่นอนก็คือเขาเป็นคนสุภาพ
“วิธีการพูดของชายผู้นี้หาใช่คนธรรมดาแน่นอน”
หลังจากเดินจากออกมาได้ระยะหนึ่ง หลี่หวงพลางถอนหายใจกล่าวขึ้นประโยคหนึ่ง
“เขาชื่อซูฟาง เป็นคุณชายใหญ่แห่งตระกูลซู”
จวิ๋นหลี่จิวที่ปิดปากเงียบอยู่เป็นเวลานาน ในที่สุดก็ได้โอกาสกล่าวออกมา
“เห็นใบหน้าสะสวยดั่งสตรีเพศเช่นนั้น แต่ถือได้ว่าเป็นฝีมือผู้แกร่งกล้าคนหนึ่งในเมืองหลวงเลย”
วาจาคำกล่าวประโยคนี้ของจวิ๋นหลี่จิวฟังดูค่อนข้างฝืนใจอย่างมาก เขาไม่ชอบท่าทางที่ดูอ่อนปวกเปียกของพวกผู้ชายตระกูลซูเท่าไหร่ เป็นผู้ชายแท้ๆ แต่ชอบวางกิริยามารยาทละเอียดอ่อนดั่งหญิงสาว
หลี่หวงพยักหน้าเข้าใจได้ในทันที
“ปรากฏว่าเป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลซูนี่เอง”
ดูจากเขาคนนี้แสดงว่าคุณชายจากอีกสามตระกูลที่เหลือ สถานะศักดิ์อำนาจคงไม่ได้แตกต่างจากกันเท่าไหร่
“ซูฟาง...”
หลี่หวงพึมพำกับตนเองแผ่วเบาเป็นคำทิ้งท้าย
จวิ๋นหลี่จิวไม่ทราบว่าน้องสาวคนนี้กำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ เขานำทางพาทุกคนเดินทางจนไปถึงจวนตระกูลจวิ๋นทันที
หลังจากออกจากย่านการค้ามาแล้ว ยิ่งเข้าไปใกล้ตัวราชวังเท่าไหร่ก็เท่ากับว่าสถานะศักดิ์ของผู้คนแถวนี้ก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น
จวิ๋นหลี่จิวขอโอสถคลายฤทธิ์แปลงโฉมจากหลี่หวง ทั้งสามได้กลับคืนสู่รูปลักษณ์เดิมในพริบตา
ถ้าอยู่หน้าบ้านตัวเองแล้วยังต้องหลบซ่อนตัวตนอยู่อีก เช่นนั้นก็ไม่ควรอยู่มันแล้ว!
หลี่หวงกวาดสายตามองสิ่งปลูกสร้างรอบด้าน ทั้งจวนเสนาบดี จวนแม่ทัพ และจวนจักรพรรดิ...
ไม่คิดเลยว่าจวนตระกูลจวิ๋นจะตั้งอยู่ใกล้ราชวังขนาดนี้!
เมื่อจวิ๋นหลี่จิวกำลังเดินเข้าใกล้จวนตระกูลจวิ๋น ก็บังเอิญพบเจอเข้ากับคนรู้จักอีกแล้ว!
“นั่นมิใช่ขี้เมาจวิ๋นหลี่จิวหรอกรึ? ไม่ได้เจอกันเสียนาน!”
แน่นอนว่าคนมีชื่อเสียงย่อมเป็นที่จดจำได้โดยง่าย ดังนั้นแล้วในอนาคตไม่ควรทำตัวให้โดดเด่นจนเกินไป
จวิ๋นหลี่จิวเหลือบมองไปยังต้นเสียงที่พูดและเอ่ยตอบเสียงดังไปว่า
“นั่นมิใช่เจ้าหนอนหนังสือหรอกรึ? ไฉนวันนี้ถึงมาเพ่นพ่านอยู่ในอาณาเขตจองตระกูลจวิ๋นได้? เจ้าไม่กลัวโดนผู้อาวุโสของเราตบตายหรอกรึ?”
คำกล่าวหยั่งเชิงเจือติดตลกร้ายเช่นนี้ ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายเองก็ค่อนข้างคุ้นชินอยู่แล้ว ชายหนุ่มคนนั้นคลี่พัดในมือพลางพัดคลายร้อน และกล่าวขึ้นว่า
“คุณชายผู้นี้เพิ่งกลับจากราชวัง หากมิใช่เพราะที่ดินของพวกเจ้าอยู่ติดกับประตูราชวัง ข้าคงไม่เดินเหยียบอาณาเขตของตระกูลพวกเจ้าให้เป็นเสนียดจัญไรเช่นกัน”
“เช่นนั้นก็ไสหัวไปซะ! อย่าให้ที่ดินของพวกเราตระกูลจวิ๋นต้องแปดเปื้อน!”
“ข้าเองก็ไม่อยากเดินเหยียบนักหรอก! แค่เดินผ่านครู่เดียวก็ได้กลิ่นเหม็นเน่า ฉุนจมูกสิ้นดี!”