ตอนที่50 เดินทางถึงเมืองหลวง
ตอนที่50 เดินทางถึงเมืองหลวง
“อย่าร้องไห้สิ ข้าอยู่นี่แล้ว ข้าอยู่นี่แล้ว โอ้ โอ้...”
หลี่หวงตรงเข้ามาลูบหัวจวิ๋นหลี่จิวด้วยความงุนงง ไฉนถึงเป็นนางที่ต้องมาปลอบประโลมคนอื่นเฉยเลย?
นี่ข้าเพิ่งโดนไล่ล่ามาเองนะ งงไปหมด...
“พี่หลี่หวง”
จวิ๋นอี้เดินเข้ามากระตุกแขนเสื้อของนางเบาๆ สีหน้าการแสดงออกของเขาดูวิตกกังวลอย่างมาก
“พี่หลี่หวงเลือดออกเยอะขนาดนี้ นี่...ไม่เป็นอะไรจริงๆ ใช่ไหม...”
จวิ๋นอี้ตาแดงก่ำ ราวกับเตรียมจะร้องไห้แล้วเช่นกัน
เพราะตอนที่จวิ๋นหลี่จิวกับจวิ๋นอี้เดินทางกลับมาถึงโรงเตี๊ยม กลุ่มชายชุดคลุมดำก็หายตัวไปแล้ว พบเห็นแค่เพียงคราบเลือดสดนองอยู่บนพื้นเท่านั้น ซึ่งให้เห็นต่างจินตนาการกันไกล
พอเหยาอวี้ที่บินตามหาทั้งคู่จนพบ ค่อยโล่งใจขึ้นมาบ้างที่ทราบว่าหลี่หวงยังไม่ตาย จากนั้นพวกเขาทั้งสามก็รีบเดินทางขึ้นหุบเขาลูกนี้ ทว่าเมื่อคืนกลางดึก ดันมีกลุ่มชายชุดคลุมดำจำนวนมากลาดตระเวนเฝ้ายามอยู่ทั่ว จวิ๋นหลี่จิวกลัวว่าจวิ๋นอี้จะได้รับบาดเจ็บ จึงไม่กล้าขยับตัวไปไหนจนกว่ากลุ่มชายชุดคลุมดำจะถอนกำลังจากออกไป
“ตอนนี้ข้าไม่รู้สึกเจ็บแล้ว ส่วนเลือดกองพวกนั้นหาใช่ของข้าทั้งหมด...”
หลี่หวงเอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยน
“พี่ใหญ่หวง ท่านโกหก! เมื่อวานร่างกายของท่านยังสาหัสอยู่เลย!”
ในเวลาเดียวกัน เจ้าจิ้งจอกน้อยพลันกล่าวแทรกขึ้นมา
“เมื่อวานก็เป็นส่วนของเมื่อวาน เจ้าดูถูกประสิทธิภาพโอสถของข้ามากเกินไปแล้ว! เจ้าจิ้งจอกโง่!”
เหยาอวี้เค้นเสียงเย็นดุใส่จิ้งจอกน้อยไปทีหนึ่ง สตรีนางนี้ นับวันไฉนถึงมีสัตว์เลี้ยงน่ารักเพิ่มขึ้นมาทีละตัวสองตัวได้? แล้วแบบนี้บทบาทของมันจะไปอยู่ตรงไหน!?
“พวกเจ้าวางใจเถอะ เรื่องอาการบาดเจ็บของนางไม่ใช่เรื่องน่าเป็นห่วง แต่...”
เหยาอวี้หยุดชะงักไปจังหวะหนึ่ง
“แต่เป็นสตรีเพศไม่ควรมีแผลเป็น เจ้าเองก็หัดรักนวลสงวนตัวบ้าง เวลาเผชิญพบอันตรายหัดถอยให้เห็นเป็น มิใช่วิ่งใส่ไม่หยุดเช่นนี้!”
เหยาอวี้กล่าวดุหลี่หวง สตรีนางนี้นี่มันอะไรกัน? ไม่รู้จักรักเรือนร่างของตัวเองเลยรึไง? หากปล่อยแบบนี้ต่อไปในอนาคต ไม่มีชายใดเหลียวมองขึ้นมา ถึงตอนนั้นจะทำอย่างไร?
เมื่อจวิ๋นหลี่จิวได้เช่นเช่นนั้น เขาก็ปั้นสีหน้าวิตกกังวลขึ้นในทันใด
ใช่แล้ว! ข้ามิอาจปล่อยให้น้องหลี่หวงได้รับบาดเจ็บได้อีกต่อไป! คราวนี้กลับเป็นข้าที่ละเลยหน้าที่ความรับผิดชอบ!
“เอาน่า เอาน่า พี่จิวเลิกปั้นหน้าเป็นตูดได้แล้วกระมัง? ทำหน้าเช่นนี้ไม่เหมาะกับท่านเลย แค่เจอหน้ากันอีกครั้งก็นับว่าโชคดีแค่ไหนแล้ว? อีกอย่างข้าไม่เป็นอะไรจริงๆ”
เป็นหน้าที่ของหลี่หวงที่ต้องกล่าวปลอบใจอีกครั้ง
เมื่อเห็นใบหน้าของจวิ๋นหลี่จิวที่บูดบึ้ง หลี่หวงพึงทราบทันทีว่า พี่ชายคนนี้ต้องกำลังกล่าวโทษตัวเองอยู่ภายในใจแน่นอน และพูดกันตามจริง นี่หาใช่ความผิดของเขาเลย ใครจะรู้ว่าจู่ๆ กลุ่มชายชุดคลุมดำจะบุกไล่ล่าเลือดเดือดปานนี้ แม้กระทั่งตัวนางเองจนปัญญาไม่รู้ใครเป็นตัวการด้วยซ้ำไป
“จริงสิ! พี่จิว เสี่ยวอี้ นี่คือคู่หูใหม่ของข้า เทียนปิง!”
หลี่หวงรีบแนะนำเจ้าจิ้งจอกน้อยให้ทั้งสองได้รู้จักทันที
“คาราวะพี่ใหญ่จิว คาราวะเสี่ยวอี้”
เทียนปิงรีบโค้งคำนับให้ทั้งสองอย่างสุภาพ และเนื่องจากจวิ๋นอี้ตามองไม่เห็น มันจึงยื่นอุ้งมือปุกปุยของมันให้อีกฝ่ายได้สัมผัส เพื่อรับรู้ถึงการมีอยู่ของตัวมันเอง!
“ช่างนุ่มนิ่มอะไรปานนี้! แต่เป็นอุ้งมือที่เล็กมากเลย! ท่านเป็นสัตว์อสูรสายพันธุ์ใดกัน? แมวป่ากระมัง?”
จวิ๋นอี้ใช้มือทั้งสองข้างลูบไล้อย่างนุ่มนวล เห็นได้ชัดว่าเขาค่อนข้างถูกอกถูกใจกับเจ้าจิ้งจอกน้อยมาก
“เสี่ยวอี้ ข้าเป็นจิ้งจอก!”
“ช่างน่ารักยิ่งนัก!”
จวิ๋นอี้กล่าวชมเชย
“ก็ต้องแบบนั้นอยู่แล้ว!”
เจ้าจิ้งจอกน้อยนรู้สึกดีใจไม่น้อยที่ได้รับคำชม
หลี่หวงเหลือบมองไปทางจวิ๋นหลี่จิวและเอ่ยถามน้ำเสียงจริงจังขึ้นว่า
“พี่จิว ท่านพอทราบหรือไม่ว่า ใครกันที่ต้องการสังหารข้า? เสมือนกับเป้าหมายของพวกนั้นจะมุ่งตรงมาที่ข้าเพียงคนเดียว”
ดวงตาคู่นั้นของจวิ๋นหลี่จิวสาดสะท้อนแววซับซ้อนขึ้นทันควัน หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพักพึงกล่าวขึ้นว่า
“คาดว่าจะเป็นคนจากเมืองหลวง”
หลี่หวงประหลาดใจอย่างมากเมื่อได้ยิน เป็นคนจากเมืองหลวง? ใครกันที่ต้องการปลิดชีพนาง?
เพราะนางไม่เคยมีความแค้นกับใครในเมืองหลวงเลย!
“มีความเป็นไปได้สูงว่า...เรื่องทุกอย่างสืบเนื่องมาจากสถานการณ์ปัจจุบันในตระกูลจวิ๋นสาขาหลัก มีบางคนไม่ต้องการให้เจ้ากลับไป”
จวิ๋นหลี่จิวตั้งใจไว้ว่าจะบอกเรื่องนี้กลับหลี่หวงหลังจากถึงเมืองหลวงแล้ว แต่ยามนี้น้องสาวตนเองกลับตกเป็นเป้าสังหาร คงไม่มีทางเลือกอื่นในแล้วเช่นกัน นอกจากจะต้องบอกความจริงที่เกิดขึ้นในปัจจุบันภายในสาขาตระกูลหลัก...
หลี่หวงนิ่งเงียบไปชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็นว่า
“จวนตระกูลจวิ๋นยามนี้วุ่นวายมากเลยกระมัง?”
จวิ๋นหลี่จิวพยักหน้าตอบอย่างแช่มช้า หากมิใช่เพราะเรื่องนี้ ไฉนตัวเขาเองถึงต้องกลับไปที่จวนตระกูลจวิ๋นในเมืองหลวงด้วย? อย่างว่า ใช้ชีวิตในโลกภายนอก ท่องยุทธภพอย่างอิสรเสรี มันสบายกว่าเป็นไหนๆ!
“พวกเรารีบออกเดินทางกันเถอะ หากในเวลานี้มีคนในจวนตระกูลจวิ๋นเร่งไล่ล่าเจ้า แสดงว่าภายในนั้นคงต้องมีเรื่องด่วนเป็นแน่!”
หลี่หวงกล่าวขึ้น
จวิ๋นหลี่จิวครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะเอ่ยเสนอความคิดหนึ่งขึ้นว่า
“เช่นนั้นพวกเราต้องแปลงโฉมกันก่อน พยายามซ่อนตัวให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะอย่างไรระดับพลังบ่มเพาะของพวกมันล้วนแกร่งกล้า หากเผชิญหน้ากันคงประสบปัญหาไม่น้อย!”
แปลงโฉม? หลี่หวงพยักหน้าพลางคิดกับตัวเองในใจ นี่เป็นความคิดที่ไม่เลว
แต่การแปลงโฉมที่จวิ๋นหลี่จิวเสนอขึ้นมา มันหมายถึงการแต่งหน้าทำผมใหม่และเปลี่ยนชุดที่ใส่สวมใส่เท่านั้น กล่าวได้ว่าแค่พรางกายภายนอก เพราะบนผืนพิภพแห่งนี้ น้อยคนนักที่จะมีโอสถแปลงโฉมในครอบครอง หากจะหาซื้อมาใช้จริงคงสิ้นเปลืองเป็นอย่างยิ่ง
จวิ๋นหลี่จิวกำลังจะหยิบวิกผมปลอมที่เพิ่งซื้อมาให้ แต่จู่ๆ หลี่หวงก็หยิบอะไรบางอย่างออกมาจากแหวนมิติ พร้อมส่งขวดโอสถให้ทั้งคู่อย่างละขวด
“นี่คือโอสถแปลงโฉม โอสถตัวนี้ไม่มีผลข้างเคียง สามารถใช้ได้นานถึงสองวันติดต่อกัน ในตัวข้ามีทั้งหมดยี่สิบสี่เม็ด หากไม่พอก็มาขอข้าเพิ่มทีหลัง”
จวิ๋นหลี่จิวที่กำลังหยิบวิกผมขึ้นมาใส่ถึงกับอ้าปากค้าง จ้องมองหลี่หวงด้วยสายตาสุดเหลือเชื่อ!
โอสถแปลงโฉม!?
แม้เขาจะทราบว่าหลี่หวงเป็นนักหลอมโอสถ แต่กลับคาดไม่ถึงว่านางจะสามารถหลอมกลั่นโอสถระดับชั้นนี้ได้!
สุดยอดโดยแท้!
แถมยังปราศจากผลข้างเคียงและระยะเวลาการใช้งานยังนานมาก!
น้องสาวของเขาเป็นสัตว์ประหลาดชัดๆ!
โอสถแปลงโฉมชนิดนี้ถูกพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ระดับพลังและความเชี่ยวชาญของหลี่หวงเพิ่มสูงขึ้น ในที่สุดนางก็สามารถหลอมกลั่นโอสถแปลงโฉมที่สมบูรณ์แบบได้
หลี่หวงตบเข้าปากไปหนึ่งเม็ด ส่วนจวิ๋นหลี่จิวกับจวิ๋นอี้ก็ตบเข้าปากไปคนละเม็ดเช่นกัน
ทั้งสามปิดตาลงสนิท ไม่นานรูปลักษณ์หน้าตาของพวกเขาก็แปรเปลี่ยนไปอย่างมาก!
ร่างของหลี่หวงดูกำยำขึ้นเล็กน้อย โครงหน้ามิได้ดูเรียวดั่งสตรีอีกต่อไป กลายเป็นว่ามีใบหน้าคล้ายกับเด็กผู้ชายแทน แต่ถึงอย่างไรก็ยังคงความงดงามไว้เช่นเดิม!
ดวงตาของจวิ้นอี้ตี๋เล็กราวกับมีสี่คิ้ว ทั้งรูปร่างสรีระและใบหน้าดูเด็กลงเข้าไปอีก มือไม้ดูอ่อนปวกเปียก กลายมาเป็นขอทานตัวน้อยในสภาพผอมแห้ง
ส่วนจวิ๋นหลี่จิวจากชายหนุ่มผู้อาจหาญ กลายมาเป็นบัณฑิตร่างอรชรหน้าหยก!
“โอ้โห! เปลี่ยนไปราวกับคนละคน!”
จวิ๋นหลี่จิวหยิบกระจกขึ้นมาส่องถึงกับตะลึง แม้แต่น้ำเสียงของเขาก็ยังเปลี่ยน!
“พี่จิว ท่านต้องหาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนโดยเร็ว มีบัณฑิตที่ใส่เสื้อเปิดอกแถมยังขี้เมาปานนี้?”
ใข่แล้ว มีเพียงการแต่งกายของจวิ๋นหลี่จิวเท่านั้นที่ดูไม่เข้าพวกที่สุด บัณฑิตหน้าหยกที่ไหนชอบพกขวดน้ำเต้า กระดกสุราอยู่ตลอดเวลา แถมชุดเสื้อผ้ายังหลุดลุ่ยไม่เป็นระเบียบเช่นนี้?
หลี่หวงเองก็ต้องเปลี่ยนชุดเสื้อผ้าเช่นกัน นางหยิบชุดบุรุษเพศออกมาจากแหวนมิติ และหามุมหนึ่งไปเปลี่ยนโดยไว
จวิ๋นหลี่จิวมองขวดน้ำเต้าในมือพลางรู้สึกกลุ้มใจอย่างมาก สุดท้ายก็ต้องจำใจบอกลาน้ำเต้าประจำตัวและโยนเก็บไว้ในแหวนมิติ ก่อนจะหยิบชุดเสื้อผ้าที่ดูเรียบร้อยที่สุดออกมาใส่
หลีงจากที่ทั้งสองเปลี่ยนชุดเสื้อผ้าเสร็จสรรพ เหยาอวี้ก็ลอยกลับเข้าไปในร่างของหลี่หวง ส่วนเจ้าจิ้งจอกน้อยก็พาทั้งสามออกจากถ้ำไป
เมื่อลงมาจากหุบเขา ทั้งสามก็รีบกลับเข้าไปในเมือง ซื้อรถม้าใหม่และเร่งเดินทางออกจากเมืองราชาภูตโดยเร็ว
ผลก็คือ กลุ่มของพวกเขาถูกซักถามและตรวจสอบมากมายตลอดทาง อาทิเช่น โดนตรวจค้นรถม้า ตรวจค้นรายบุคคล เป็นต้น แต่สุดท้าย พวกเขาก็ผ่านด่านตรวจมาได้อย่างราบรื่น
ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ในที่สุดทั้งสามก็เดินทางมาถึงเมืองหลวงอย่างปลอดภัย
เหม่อมองกำแพงเมืองสูงตระหง่านเบื้องหน้า นางรู้สึกราวกับว่าได้หวนกลับมาสู่จุดเริ่มต้น!
ที่นี่คือบ้านเกิดของนาง!
ทั้งสามงทิ้งรถม้าและเลือกที่จะเดินทางเท้าเข้ามาในเมือง
เนื่องจากภายในเมืองหลวงมีการตรวจสอบและยืนยันบุคคลที่คุมเข้มอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันมิให้โดนสุ่มตรวจค้น ทั้งสามจึงพยายามทำตัวให้โดดเด่นน้อยที่สุด
เดินไปได้สักพัก จู่ๆ ก็มีทหการยามลาดตระเวนคนหนึ่งเดินเข้ามาไถ่ถาม ยามนี้ถึงตาของจวิ๋นหลี่จิวแล้ว โดยไม่ทราบเช่นกันว่าทำได้อย่างไร แต่พอเขาแสดงป้ายตราในมือให้แก่ทหารยามดู อีกฝ่ายก็ปล่อยพวกเขาออกไปทันที
หลี่หวงเดินติดตามจวิ๋นหลี่จิวด้วยความอยากรู้อยากเห็นเช่นกันว่า ป้ายตราในมืออีกฝ่ายคืออะไรกันแน่?
“น้องหลี่หวง จวนตระกูลจวิ๋นอยู่อีกไม่ไกลแล้ว เดินต่ออีกสักพักก็ถึง”
จวิ๋นหลี่จิวกล่าวชี้แนะ