ตอนที่ 273+274 ความคาดหวังของเขา
เจียงเหยาพยักหน้ารับ เธอสามารถเข้าใจข้อเท็จจริงเหล่านี้ ทหารหลายคนที่มีสภาพค่อยจะอะไรชอบที่จะอยู่อาศัยแบบเก่า ๆ มากกว่า โดยอยู่แบบหนึ่งครอบครัวต่อบ้านหนึ่งหลัง มีพื้นที่สนามหญ้า สามารถเลี้ยงไก่ เป็ด และปลูกผักที่ลานว่าง ๆ ได้ เพื่อความประหยัดเงินในการซื้ออาหาร และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้คนถึงชอบที่พักประเภทนั้นนัก
“ตอนแรกผมเลือกห้องที่ผมต้องการที่ตึกใหม่ และเลือกชั้น 5 ไม่ใช่เพราะเหตุผลอย่างที่คนอื่นคิด ไม่ใช่เพราะผมเป็นคนดีหรือถูกใครรังแก แต่ผมคิดว่าคุณคงอยากได้ที่ที่เงียบ ๆ ชั้น 5 สูงขึ้นมาหน่อย และเงียบ ถึงแม้ว่าจะต้องเหนื่อยเดินขึ้นทุกวันก็เถอะ แต่ก็ยังดีกว่าอยู่ชั้น 7 อีกอย่างการฝึกร่างกายให้เดินขึ้นบันไดทุกวันก็ดีด้วย”
เมื่อลู่ชิงสีเลือกที่พักใหม่ เขาได้ให้ความสำคัญต่อความชอบของเจียงเหยาเป็นอันดับแรก เมื่อนึกถึงต้นไม้ที่ถูกตัดโค่นในสวนที่บ้าน เขารู้ว่าเธอไม่ชอบให้มีเสียงรบกวนในช่วงฤดูร้อน นั่นเป็นเหตุผลที่เขาเลือกชั้น 5 โดยเฉพาะห้องทางด้านขวสที่ไม่มีต้นไม้ใหญ่อยู่เลย ชั้น 5 สูงเกินกว่าจะมีคนขี้เกียจเดินขึ้นมา
อีกอย่างห้องพักที่อยู่ชั้น 3 ลงไป จะมีแมลงและยุงไม่น้อยเลยในฤดูร้อน แมลงเหล่านั้นส่งเสียงดังตลอดทั้งคืนบนต้นไม้ จนทำให้นอนหลับไม่สนิทตลอดทั้งคืน
ในเวลานั้นลู่ชิงสีไม่แน่ใจว่าเจียงจะมาพักในช่วงสุดสัปดาห์ขณะที่เธอมาเรียนที่เมืองจินโด ทว่าเขาก็ต้องการทำให้แน่ใจว่าจะไม่มีอะไรรบกวนใจเธอ
จะเกิดอะไรขึ้น หากเจียงเหยาอุตส่าห์ปลีกเวลาอันหายากมาพักกับเขาที่นี่ แต่กลับถูกสภาพแวดล้อมในกองทัพรบกวน?
เมื่เขาได้รับที่พักแล้ว เขาไม่ได้เร่งรีบที่จะปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงอะไร ทั้งหมดที่เขาจัดการเป็นเพียงสิ่งจำเป็นและเขาหวังว่า เมื่อเจียงเหยามาแล้ว พวกเขาจะได้ช่วยกันจัดแต่งอีกครั้ง เพราะที่นี่อาจจะเป็นบ้านพักของพวกเขาไปอีกนานในอนาคต
เช่นเดียวกับการตกแต่งบ้านใหม่ของเขา เขาหวังว่าจะได้เห็นเธอเป็นผู้เลือกผ้าม่าน เลือกเฟอร์นิเจอร์ และตกแต่งทุกมุมของบ้านด้วยตาของเขาเอง เขาต้องการเห็นเงาของเธอและเธอมีส่วนร่วมกับทุกซอกทุกมุมของบ้าน
ทุกวันหลังจากที่เขาย้ายเข้า เขามักจะเฝ้ารอข่าว ว่าเจียงเหยาได้รับการตอบรับให้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยแพทย์จินโด
เจียงเหยาไม่อาจได้ยินทุกส่วนของความคิดที่ลู่ชิงสีคิด แต่เธอก็เข้าใจความรู้สึกของเขาและความรู้สึกผิดก้อนใหญ่ก็จับตัวกันขึ้นในหัวใจของเธอ
ตอนที่เธอเลือกลงทะเบียนเรียนในมหาวิทยาลัยเจียงหนานโดยไม่ได้บอกใคร ทว่าคนที่คาดว่าเธอจะมาอยู่จินโดมากที่สุดคนแรกกลับเป็นคนเขาที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ และเป็นเขาอีกที่เป็นคนแรกที่พูดแทนเธอ ถึงขั้นโกหกพ่อแม่ของเขาและพ่อแม่ของเธอ
ผู้ชายคนนี้ซ่อนความคาดหวังและความปรารถนาของเขาไว้กับตัวเองเสมอ ไม่เคยบอกเธอหรือแสดงให้เธอรู้ แต่ถึงกระนั้น เขาก็ต้องทนกับความเจ็บปวดที่เธอทำกับเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ชิงสี ~” เจียงเหยาพูดออกมา เสียงของเธอสั่นเล็กน้อย พร้อมกับโอบกอดลู่ชิงสีอย่างอ่อนโยน พร้อมกับพูด “ฉันขอโทษนะคะ”
คำว่า ‘ขอโทษ’ นั้นเบาเกินไป ไร้น้ำหนัก แต่นอกเหนือจากนั้น เธอไม่รู้ว่าจะมีคำอื่นใดที่สามารถใช้แสดงความรู้สึกของเธอได้
หากเธอไม่เคยมาที่นี่ มายืนท่ามกลางบ้านที่รกร้างและว่างเปล่านี้ เธอจะไม่มีวันได้สัมผัสถึงความหมายที่ลู่ชิงสีมีต่อเธอเป็นการส่วนตัว เธอคงไม่เคยรู้สึกว่าลู่ชิงสีต้องการเธอมากแค่ไหน เพื่อสนองต่อความรู้สึกเหล่านี้และการแต่งงานในครั้งนี้
ที่เขาปรารถนาและตอ้งการให้เธออยู่เคียงข้าง มีเธออยู่ในทุกช่วงเวลาของชีวิตและโลกของเขา เพื่อเป็นคู่สามีภรรยาที่อบอุ่นและน่ารักร่วมกับเขา
“จู่ ๆ มาขอโทษอะไรกัน” ลู่ชิงสีกล่าวพร้อมรอยยิ้มที่หายากบนใบหน้าของเขา
เมื่อตอนแรกเขาได้เห็นประกาศรับสมัครที่ลู่อี้ชิงโยนใส่หน้าเธอ ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้สึกโกรธเลย และไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ผิดหวัง เพียงแค่เห็นเธอนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา เขาก็ทนไม่ได้ที่จะต่อว่าหรือตำหนิเธอ
__
เขาเป็นผู้ชาย เขาควรจะทนให้ได้ และควรจะแบกรับความทุกข์ทั้งหมดไว้เพียงลำพัง ตราบใดที่เธอมีความสุข นั่นก็เพียงพอแล้ว
“หลังจากที่เราไปงานแต่งของพี่ใหญ่ของคุณที่ในเมือง ฉันจะใช้เงินที่คุณให้มา ซื้อผาม่านสีฟ้าแขวนไว้ในห้องนอน เอาผ้าม่านโปรงอีกชั้นหนึ่งด้วย เอาสีฟ้านะ ผ้านำเข้าด้วย โอ้ใช่ ต้องมีตู้เสื้อผ้าใหญ่ ๆ อีกสักหลัง”
เจียงเหยายืนบนปลายเท้าของเธอเพื่อเปรียบเทียบขนาด “ต้องสูงและใหญ่กว่านั้น เท่ากำแพงนั้นเลย ส่วนมุมเล็ก ๆ ในนั้นจะเป็นที่สำหรับเสื้อผ้าของคุณ ที่เหลือไว้เก็บเสื้อผ้าของฉัน มีเสื้อผ้าฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาว ทั้งปีเลยนั่นแหละ! หลังจากที่ฉันเรียนจบ ฉันจะอยู่กับคุณ ฉันจะแต่งตัวสวย ๆ ให้คุณเห็นทุกวันเลย!”
“เตียงด้วย เอาเตียงใหญ่ ๆ ใหญ่พอให้เราสองคนกลิ้งไปมาได้! ผ้าห่มนวมสีส้ม สีส้มที่ดูอบอุ่นคล้าย ๆ กับสีของดวงอาทิตย์จะทำให้รู้สึกดี!” เจียงเหยาพูดพล่ามขณะที่เธอดึงลู่ชิงสีไปพร้อม ๆ กับชี้ไปที่ทางเข้าประตู “ตรงนั้น ตู้รองเท้าที่สูงพอ ๆ กับเอวของฉัน ฉันจะได้ใส่รองเท้าไว้ให้เต็มตู้ ไม่ต้องกังวลไป แน่นอนว่าต้องมีพื้นที่สำหรับใส่รองเท้าของคุณด้วย”
“และโต๊ะอาหาร โต๊ะที่มีในตอนนี้ดูไม่ได้เลย เราต้องเปลี่ยนโต๊ะใหม่ให้เป็นสไตล์ยุโรป โต๊ะอาหารสีขาวครีมสวย ๆ” เจียงเหยากล่าวด้วยท่าทางไม่ชอบใจ ขณะมองไปที่โต๊ะที่อยู่ตรงหน้าเธอ “และเก้าอี้ที่เข้าชุดกันด้วย”
“ได้ ได้ เปลี่ยนให้หมดเลย ใช้เงินทั้งหมดเท่าที่คุณต้องการได้เลย ที่รัก ถ้าเงินไม่พอ นั่นก็หมายความว่าผู้ชายของคุณมีความสามารถไม่พอ! ถ้าคุณใช้เงินไม่หมด ก็แปลว่ามาตรฐานของคุณต่ำเกินไป”
คำพูดที่ไหลลื่นของเจียงเหยาเติมเต็มดวงตา ริมฝีปาก หัวใจ และแขนขาของลู่ชิงสีให้อบอุ่น มันค่อย ๆ ซึมเข้าไปในตัวของเขา ผ่านเขาไปในตัวเขาทั้งหมดอย่างช้า ๆ
รอยยิ้มของเขายิ่งลึกขึ้นเมื่อคำพูดของเธอไหล่ริน ความอบอุ่นที่แผ่ออกมาจากตัวเขานั้นอบอุ่นยิ่งกว่าดวงทิตย์ที่อยู่นอกหน้าต่างเสียด้วยซ้ำ
“อ้อ ที่รัก ก่อนหน้านี้คุณพูดผิดไปนะ พรุ่งนี้เราจะไปงานแต่งของพี่ชายของเราต่างหากล่ะ ไม่ใช่พี่ชายของผม” รอยยิ้มของเขาแฝงไปด้วยความสุขอย่างไม่น่าเชื่อ “ถึงแม้เตียงจะเล็กกว่าที่บ้านก็เถอะ แต่คุณไม่อยากจะทดสอบดูหน่อยเหรอ ว่าขนาดนี้มันใหญ่พอให้เรากลิ้งไปมาจนพอใจได้หรือเปล่า”
“ไม่มีทาง ปล่อยฉันลงนะ ฉันยังจัดการอะไรไม่เสร็จเลย” เจียงเหยาพูดขณะที่เธอดิ้นอยู่ในอ้อมแขนของเขา “ยังมีห้องครัวอีก ฉันต้องซื้อหม้ดและกระทะ ฉันจะอยู่ที่นี่ต่อสองสามวัน ช่วงปิดเทอมหน้าหน้า หรือแม้กระทั่วปีใหม่ ฉันจะอยู่ยังไงเล่า ถ้าไม่มีของพวกนั้น”
“เราจะทำทุกอย่างที่คุณเพิ่งพูดมา” ลู่ชิงสีกล่าว ขณะอุ้มเธอไปที่เตียง วางเธอลงเบา ๆ บนฟูก พร้อมกับกดตัวเธอ เมื่อเห็นความกระตือรือร้นที่เจียงเหยาแสดงออกมา เขาก็ไม่ได้ขัดจังหวะเธอ เขาเพียงกดเธอและโน้มตัวเข้าไปใกล้ แล้วยิ้ม ถามออกมาว่า “มีอะไรที่ต้องการอีกไหม?”
“ฉันยังพูดไม่จบ” เจียงเหยาทำหน้าบึ้ง “หลังจากที่เราไดอุปกรณ์ทำอาหารครบแล้ว คุณต้องเป็นคนทำอาหาร! ฉันจะไปโรงอาหารที่กองทัพทุกวันเพื่อทานข้าวไม่ได้หรอกนะ ถ้าฉันไป ต้องถูกคนอื่นเยาะเย้ยแน่ แต่ฉันทำอาหารไม่เป็นนี่ เพราะงั้น คุณนั่นแหละที่ทำอาหารให้ฉัน”
เจียงเหยาไม่ได้ตั้งใจจะไร้เหตุผล ทว่ามันคือความจริงที่เธอทำอาหารไม่เป็น
ใครครอบครัวเจียง เธอเรียนที่โรงเรียนประจำแต่ไม่เคยซักผ้าเองเสียด้วยซ้ำ
แม่ของเธอจะให้เธอกลับบ้านทุกวันหยุดสุดสัปดาห์เพื่อนำผ้ามาให้แม่เธอซักให้ที่บ้าน เพราะกลัวว่าลูกสาวจะเหนื่อยที่ต้องซักผ้าเอง
ส่วนเรื่องอาหาร แม่ของเธอยิ่งลังเลที่จะปล่อยให้เธอทำกับข้าว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องจุไฟในครัว แม้กระทั่งเวลาที่เธอพยายามจะเข้าไปช่วยล้างจาน ก็ถูกแม่เจียงบ่นว่า ว่าเธอใช้เวลานาน
เนื่องจากถูกตามใจจนเคยตัว ทักษะการทำอาหารของเจียงเหยาจึงไม่ดีเลย แม้ว่าเธอจะออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเอง
ลู่ชิงสีหัวเราะเบา ๆ “ถ้าคุณเต็มใจที่จะทาน ผมก็เต็มใจที่จะทำ”
แม้ว่าเขาจะเหน็ดเหนื่อยจากการฝึกหนัก หากแค่เพียงได้เห็นใบหน้าที่พึงพอใจและมีความสุขของเธอ เพราะการทำอาหารของเขา เขาก็เต็มใจ ไม่ว่าจะเหนื่อยแทบตายสักเพียงไหน
เมื่อเห็นว่าเจียงเหยาทำหน้าสงสัย ลู่ชิงสีก็บีบจมูกของเธอเบา ๆ “มีอะไรอีกไหม?”